Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1660 การคัดเลือกสมบัติแห่งนภาฤกษ์
ตอนที่ 1660 การคัดเลือกสมบัติแห่งนภาฤกษ์
ในที่สุดการต่อสู้ก็เริ่มมีลดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้วงแสงหลายต่อหลายวงเริ่มมีเจ้าของที่แน่นอน
แต่ผู้ที่ได้ครองวงแสงนั้น ส่วนมากจะเป็นนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวหรือไม่ก็อาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาว พวกนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวนั้นมีจำนวนน้อยมาก
หลังจากจิงลู่หนีเย่หยวนมาด้วยความกลัว เขาก็ได้เข้าไปท้าสู้กับคนผู้หนึ่งและแย่งวงแสงมาได้มาในที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไปครอบร้อยอึดใจ วงแสงหลายต่อหลายวงก็เริ่มปล่อยหมอกหนาออกมา
จู่ๆ เย่หยวนก็รู้สึกได้ว่าจิตศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองถูกดึงออกไปจากร่างมุ่งตรงไปยังประตูกดสวรรค์โบราณ
ฟุบ ฟุบ ฟุบ…
พวกเขาลอยออกมาจากวงแสงและพุ่งเข้าไปในประตูกดสวรรค์โบราณกันติดๆ
เหล่านักยุทธที่ไม่มีปัญญาพอจะครอบครองวงแสงได้แต่มองภาพตรงหน้านั้นอย่างอิจฉา ริษยาผู้คนที่ได้เข้าไปเอาสมบัติกลับออกมา
เย่หยวนรู้สึกสายตาพร่ามัวเล็กน้อยก่อนที่จะพบว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่มากมายไปด้วยดวงดาว
“นี่หรือคือนภาฤกษ์กดสวรรค์? ช่างวิเศษเสียจริงๆ”
“ดวงดาวในนี้แต่ละดวงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติทั้งสิ้น! ยิ่งดวงดาวใดมีแสงสว่างจ้าก็จะยิ่งหมายความว่ามันเป็นสมบัติที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น!”
“แล้วจะรออะไรกันอีกเล่า? ไปกัน!”
…
เมื่อเห็นสมบัติวางรออยู่ตรงหน้าเหล่านักยุทธทั้งหลายต่างก็เริ่มเสียความเยือกเย็นและมุ่งหน้าออกไปหามันอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
พวกดาวที่แสงไม่ค่อยสว่างนั้นไม่มีใครคิดที่จะสนใจ พวกเขาทั้งหลายสนใจแค่ดวงดาวที่ส่องสว่างเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น
ติดเพียงแค่ว่าหลังจากเดินหน้าไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทางดีพวกเขาต่างกลับพบว่าร่างของตัวเองหนักอึ้งไม่สามารถขยับเขยื้อนไปด้านหน้าได้อีก
“เฮอะๆ ช่างไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ สมบัติที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงมีหรือที่จะให้ใครก็ได้คว้ามันไป?” หวู่เฉินหัวเราะเยาะเหล่าคนตรงหน้า
ไข่มุกสยบวิญญาณนั้นฝังตัวเองอยู่ในวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนจึงสามารถเข้ามาด้านในนี้ได้ด้วย
เย่หยวนกล่าว “ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าตัวข้าจะไปได้แค่ไหน!”
หวู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบหนวด “หึๆ เมื่อมีชายแก่คนนี้อยู่ด้วย เจ้าย่อมไปได้จนถึงที่สุด!”
เย่หยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาหลังได้ยิน
เพราะเขาว่ากันว่าสมบัติเหล่านี้ถูกทิ้งไว้โดยยอดคนอาณาจักรเทพถ่องแท้ แต่ไข่มุกสยบวิญญาณนั้นเป็นสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ หวู่เฉินจึงไม่คิดจะกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้เลย
“อาณาจักรเทพถ่องแท้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับสามารถสร้างมิติที่มีความนึกคิดได้! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าสมบัติใดกันที่จะแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้?”
“ของที่ดีที่สุดย่อมไม่อยู่ที่นี่ มันต้องซ่อนตัวอยู่ลึกในนภาฤกษ์นี้!” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนจึงหันไปยิ้มบอกหนิงเทียนปิง “เทียนปิง เราไปร่วมกับเขาด้วยเถอะ”
“หึๆ ได้! ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพรสวรรค์ของตัวเองมันจะไปได้ถึงแค่ไหนกัน!” หนิงเทียนปิงกล่าวขึ้นด้วยรอยิ้มกว้าง
พูดจบคนทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าสู่นภาฤกษ์อันกว้างใหญ่ทันที
“ให้ตายสิ แค่อีกนิดเดียว ขยับสิโว้ย!”
นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวคนหนึ่งพยายามดิ้นรนจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจนถึงหู แต่ร่างกายของเขากลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากดวงดาวอันเจิดจ้าแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น
เป็นตอนนั้นเองที่มีร่างสองร่างเดินผ่านหน้าเขาไปด้วยท่าทางสุดแสนสบาย ต่างกับสภาพของเขาในตอนนี้อย่างถึงที่สุด
หนิงเทียนปิงได้เห็นว่าดวงดาวตรงหน้านั้นช่างสว่างจ้าจนอดใจไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นหยิบมันมา
นักยุทธคนนั้นจึงตะโกนลั่นเมื่อเห็น “นั่นมันของข้า! เจ้าห้ามเอามันไป!”
หนิงเทียนปิงหันไปมองอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเขียนชื่อติดไว้รึ?”
ชายคนนั้นแทบจะสำลักเมื่อได้ยิน แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ
เมื่อเทียบกันแล้วมันช่างดูน่าชัง!
ในนภาฤกษ์อันไพศาลนี้ ยิ่งคนได้เข้าไปลึก มันก็ยิ่งหมายความว่าพวกเขามีพรสวรรค์มาก
ตอนนี้เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อมาให้ถึงตรงนี้ แต่ตอนนี้เรื่องนั้นมันดูราวกับเป็นแค่เรื่องตลก
หนิงเทียนปิงค่อยๆ สัมผัสมันดูและขมวดคิ้วแน่น “นายใหญ่ นี่เป็นวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าดูท่าทางไม่เลวเลย”
ร่างของนักยุทธคนนั้นสั่นเทา เมื่อได้ยินแบบนั้นเขายิ่งไม่อยากปล่อยให้คนอื่นสมบัตินี้ไป
แต่เย่หยวนกลับกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “แค่วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าเรานำของออกไปจากที่นี่ได้แค่ชิ้นเดียวนะ ทิ้งมันไปเถอะ”
“ขอรับ!” หนิงเทียนปิงโยนมันทิ้งกลับลงที่เดิมอย่างว่าง่าย
คำพูดของทั้งสองนั้นทำให้นักยุทธคนนั้นต้องหยุดนิ่งไป นี่มันจะไม่สบายเกินไปหน่อยรึ?
จากความไม่ยอมในตอนแรกของเขาตอนนี้มันเปลี่ยนกลายเป็นความประหลาดใจ
วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าพวกเขาไม่คิดที่จะสนใจมันเลยหรือ?
เพราะวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้านั้นสามารถขายได้ในราคาหนึ่งถึงสองพันล้านได้ง่ายๆ เลย
นักยุทธคนนั้นมีน้ำตาขึ้นมาคลอเบ้า เขาได้แต่คิดกับตัวเองว่าถ้าจะล้อเล่นกับจิตใจผู้คนมากขนาดนี้ก็เอาไปเสียให้มันจบๆ จะดีกว่า
แบบนี้มันจะเจ็บปวดจนเกินไป
เย่หยวนและหนิงเทียนปิงไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย พวกเขาจากไปทันที
ระหว่างที่นักยุทธคนนั้นยังคงพยายามใช้พลังทั้งหมดที่มีจะก้าวออกไปด้านหน้า หวังว่ามือของเขาจะเอื้อมไปถึงวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้านั้นได้
เพียงแค่ว่าไม่ว่าเขาจะพยายามหนักแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะขาดกำลังไปอีกนิดหน่อย
นักยุทธกว่าร้อยคน ทุกคนต่างมีเป้าหมายของตนเอง แต่คนที่จะไปถึงวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้จริงๆ มันก็มีน้อยมาก
ส่วนด้านในจริงๆ นั้นพวกเขาไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้เลย
“ฮ่าฮ่าฮ่า วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าสูงสุด วรยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แสงชาดเก้าสว่าง! ด้วยวรยุทธบ่มเพาะนี้ข้าจะสามารถบ่มเพาะไปถึงจนอาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นสูงสุดได้เลย!”
เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งนภาฤกษ์ด้วยน้ำเสียงที่ดีใจอย่างสุดขีด
ไม่ไกลไปนักก็มีนักยุทธหลายคนหันมามองอย่างอิจฉา
“สมแล้วจริงๆ ที่เป็นยอดอัจฉริยะที่ได้รับการคาดเดาว่าจะก้าวไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ ถึงกับสามารถที่จะนำวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าสูงสุดมาครองได้!”
“เฮ้อ ช่องว่างของทุกคนมีแต่จะกว้างขึ้น!”
“หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก วรยุทธบ่มเพาะที่จิงลู่ได้นี้คงเป็นของที่ดีที่สุดในครั้งนี้แล้วล่ะมั้ง?”
…
เมื่อได้ยินคำพูดชื่นชมของทุกคน จิงลู่ก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก
เพราะว่าในนภาฤกษ์แห่งนี้ เขาเป็นคนที่เดินนำมาได้ไกลที่สุด
แน่นอนเลยว่าตัวเขานี่แหละที่มีพรสวรรค์สูงที่สุด!
ยอดวรยุทธบ่มเพาะของเมืองจักรพรรดิทำนองสุริยะนั้นช่วยทำให้บรรลุไปได้ถึงแค่อาณาจักรนภาสวรรค์สามดาว
เพราะฉะนั้นหากไม่สามารถไปเจอวรยุทธดีๆ เข้าเพิ่ม อนาคตของจิงลู่เองก็คงจบลงที่ตรงนั้นเช่นกัน
แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว!
ด้วยวรยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แสงชาดเก้าสว่างนี้มันจะช่วยให้เขาสามารถบ่มเพาะจนบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวได้ หากจากอาณาจักรเทพถ่องแท้ไปเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
จิงลู่เชื่อมั่นในหัวใจว่าด้วยความสามารถของตัวเอง เขาจะสามารถบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวได้อย่างแน่นอน
ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีคนสองคนเดินผ่านมาด้วยท่าทางสุดแสนสบาย
ภายใต้สายตาอันชื่นชมของทุกคน เย่หยวนและหนิงเทียนปิงค่อยๆ เดินมาจนถึงที่จิงลู่อยู่อย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนปิงหันไปมองจิงลู่และกล่าวเย้ย “แค่วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าดูสิว่าเจ้าทำหน้าตาดีใจแค่ไหน น่าสมเพชจริงๆ”
หนิงเทียนปิงนั้นไม่ชอบหน้าจิงลู่มาตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว
เมื่อได้เห็นท่าทางอวดเก่งนั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องด่าออกมาเสียหน่อย
เมื่อจิงลู่ได้เห็นคนทั้งสอง ใบหน้าเปี่ยมสุขของเขาก็หายไปอย่างทันควัน
เพราะดูท่าทางของคนทั้งสองนี้แล้ว พวกเขาน่าจะยังมีแรงเหลืออีกมาก
ขณะที่ตอนนี้ตัวเขาเองไม่สามารถที่จะก้าวเดินต่อไปได้แล้ว
“ฮึ่ม! จะอวดอ้างอะไร? ยิ่งไปด้านหน้ามันก็จะยิ่งมีแรงต้านมาก! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะไปได้ไกลกว่าข้านัก!” จิงลู่ยิ้มเยาะ
“โอ้? เรอะ? งั้นก็มาดูกัน!” หนิงเทียนปิงไม่คิดจะต่อปากต่อคำอีก
เย่หยวนหันมาหรี่ตามองจิงลู่และหันไปหาหนิงเทียนปิง “ไปกันเถอะ แค่กบน้อยในกะลา อย่าได้ไปสนใจมันเลย”
พูดจบเย่หยวนก็นำหนิงเทียนปิงเดินหน้าต่อไป ทิ้งจิงลู่ที่โกรธจนหน้าดำไว้เบื้องหลัง
และแรงต้านที่ด้านหน้ามันก็รุนแรงมากขึ้นและมากขึ้นจริงๆ ไม่นานนักหนิงเทียนปิงเองก็ไม่สามารถจะเดินหน้าไปได้อีก
พลังต้านในตอนนี้มันหนักหนาจนเกินกว่าที่เขาจะก้าวเท้าไปได้แม้สักก้าว
“นายใหญ่ ข้า… ข้าไปไม่ไหวแล้ว!” หนิงเทียนปิงบอก
แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะดื้อด้านใดๆ
เพราะหนิงเทียนปิงรู้ดีว่าที่เขาเดินมาได้จนถึงตอนนี้มันล้วนแล้วแต่เพราะนายใหญ่
หากให้เขาใช้แค่กำลังของตัวเอง เขาคงไม่มีปัญญามาถึงแม้แต่ที่จิงลู่ยืน
เย่หยวนหันมามอง และพยักหน้ารับ “อืม งั้นเจ้าจงหยุดอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะเข้าไปดูต่ออีกหน่อย”