Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1667 เล้งชิวหลิง
ตอนที่ 1667 เล้งชิวหลิง
“นี่หรือคือเขาแห่งถงเทียน?”
เย่หยวนจ้องมองไปยังยอดเขายักษ์ใหญ่ที่ปกคลุมด้วยม่านเมฆตรงหน้าด้วยความรู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองกำลังค่อยๆ หลุดลอยออกจากร่าง
อย่างที่โบราณว่าไว้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ชื่อเขาแห่งถงเทียนนั้นมันโด่งดังไปทั่วฟ้าอย่างที่ไม่มีใครจะไม่รู้จัก
ก่อนหน้านี้เย่หยวนได้คิดถึงภาพของเขาแห่งถงเทียนแห่งนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่เมื่อได้เห็นมันจริงๆ ตอนนี้ เขาก็ยังต้องสั่นสะท้านไปถึงทรวงใน
ทุกคนว่าเขาแห่งถงเทียนนั้นเป็นเขาที่มีทุกแนวคิดบนมหาพิภพถงเทียนรวบรวมไว้ที่เดียวนี้ และดูท่ามันคงไม่ผิดเสียแล้ว!
เขาลูกนั้นตั้งอยู่ไม่ไกลออกไปมาก แต่เย่หยวนกลับรู้สึกว่าตัวเขามองเห็นมันได้ไม่ชัดเจนนัก ราวกับว่ามีม่านหมอกบางอย่างมาบดบังสายตาไว้อย่างลึกลับ
เขารู้สึกได้ถึงกระแสลม คลื่นของยอดเต๋า รู้สึกว่าร่างกายทั้งร่างกำลังค่อยๆ ไกลเข้าสู่ยอดเขานั้น
“เย่หยวน! หยุดมองมันได้แล้ว!”
เย่หยวนนั้นรู้สึกราวกับตัวเองหลุดจากมนต์สะกดเมื่อได้ยินเสียนั้น ทำให้เขากลับมาได้สติในทันที
ร่างของเย่หยวนสั่นเทา เสื้อผ้าที่ใส่มาชุ่มเหงื่อไปจนเกือบทั่ว
“ก-เกิดอะไรขึ้น?” เย่หยวนถามด้วยความกลัว
“เจ้าช่วยเด็กคนนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมันกำลังแยกออกจากร่างแล้ว!” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนนั้นตื่นตระหนกไม่น้อยก่อนจะหันหน้าออกไปมองและพบว่าหนิงเทียนปิงกำลังค่อยๆ มีจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลุดไหลออกไปจากร่าง
“เทียนปิง! กลับมา!”
เย่หยวนจะโกนลั่นทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหนิงเทียนปิงดีดกลับเข้าร่างได้ทัน
“น-นายใหญ่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?” หนิงเทียนปิงถาม
หวู่เฉินบอก “พวกเจ้านั้นไม่มีพลังมากพอและกำลังจะพ่ายต่อพลังของยอดเต๋า! การมองเขาแห่งถงเทียนตรงๆ แบบนั้นมันจึงทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหลุดลอยออกจากร่าง หากถูกกลืนเข้าไปในพายุยอดเต๋าแล้วคงถูกปานจนแหลกเป็นผงแน่!”
เย่หยวนตื่นตระหนกไม่น้อยเมื่อได้ยิน ก่อนจะหันไปบอกหนิงเทียนปิงอีกครั้ง ทำให้คนทั้งสองเกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ
สมชื่อเขาแห่งถงเทียนจริงๆ แค่มองนิดเดียวก็มากพอจะพรากวิญญาณผู้คนไป
โม่ลี่เฟยเองก็พูดตามขึ้นมา “เฮ้อ เด็กน้อย ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าก็หลุดออกจากร่างไปเสียก่อนแล้ว!”
เพราะเขานั้นไม่ได้มีปราณเทวะที่รุนแรงดั่งหวู่เฉิน เขาจึงได้แต่ตะโกนออกไปอย่างไม่หยุดยั้งแต่หนิงเทียนปิงก็ไม่ได้ยินมันแม้แต่น้อย
หนิงเทียนปิงหายใจเข้าลึกก่อนจะบอก “เขาแห่งถงเทียนช่างยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ เรื่องที่ว่ามหาพิภพถงเทียนทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากมันก็คงไม่ผิดนัก!”
จู่ๆ เย่หยวนก็เกิดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดลงกลางตัว เหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างออกได้!
แต่ทว่ามันก็เหมือนเขาไม่อาจจะเข้าใจมันได้
นี่เป็นความเข้าใจที่ผ่านมาและผ่านไปราวสายฟ้า เร็วจนเย่หยวนจับความคิดนั้นไว้ไม่ทัน
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับถูกมดทั้งรังรุมกัดกินหัวใจ ความคันในอกในใจนี้มันยากเกินกว่าที่จะทนทานได้
“นายใหญ่ เป็นอะไรไป?” หนิงเทียนปิงเห็นท่าทางแปลกๆ ของเย่หยวนจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“เด็กน้อย เงียบปากก่อน! ดูท่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว อย่าได้ไปกวนเขา” โม่ลี่เฟยบอก
หนิงเทียนปิงนั้นไม่ค่อยเข้าใจความหมายนั้นสักเท่าใด แต่ก็เงียบปากลงตามที่อาจารย์สั่ง
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นพยายามนึกย้อนกลับไปถึงเสี้ยววินาทีนั้น แต่ก็ยังไม่สามารถจำความคิดที่แล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วนั้นได้
สุดท้ายเขาจึงได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา
“เด็กน้อย เจ้าเข้าใจอะไรแล้วหรือ?” หวู่เฉินถาม
แต่เย่หยวนกลับยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “มันรู้สึกเหมือนข้าจะใกล้จะเจาะกระดาษนี้ขาดแล้ว ขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่กลับไม่สามารถที่จะผ่านมันไปได้”
หวู่เฉินเบิกตากว้าง “ไม่ต้องรีบไป ดูท่าการเดินทางมาครั้งนี้จะไม่พลาดแล้ว! เมื่อเจ้าได้เข้าเขาแห่งถงเทียนไป บางทีความคาใจใดๆ ทั้งหลายมันอาจจะคลี่คลายลงทันทีเลยก็ได้”
เย่หยวนพยักหน้ารับเมื่อได้ยินและพยายามบอกตัวเองว่าเช่นนั้นด้วย
“นายใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
หนิงเทียนปิงนั้นเห็นท่าทางของเย่หยวนเมื่อสักครู่นี้เขาก็พอรู้ได้ว่าเย่หยวนน่าจะจับความคิดที่แล่นผ่านมาไว้ไม่ได้
แต่เย่หยวนนั้นปรับอารมณ์กลับมาได้แล้วจึงเดินเข้าไปตบบ่าหนิงเทียนปิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากข้าสามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้จริง เจ้านี่แหละจะเป็นคนแรกที่ข้าจะช่วยหลอมโอสถให้!”
หนิงเทียนปิงหันมามองและกล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจ “นายใหญ่ ท่าน… เจอโอกาสในการบรรลุแล้วเช่นนั้นหรือ?”
เย่หยวนพยักหน้ารับและตอบไปด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่ามันจะเป็นแค่เสี้ยววินาที แต่ข้าก็รู้ได้ว่ามันเป็นทางที่ถูกต้อง”
หนิงเทียนปิงหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ เมื่อใดก็ตามที่นายใหญ่บรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เรามากลับไปแสดงให้คนพวกนั้นมันได้รู้กันเถอะ!”
เขานั้นรู้ว่าเย่หยวนทรมานมามากแค่ไหนช่วงหลายร้อยปีหลังๆ มานี้ และเขาก็ยังชื่นชมในความคิดของเย่หยวนไปด้วยในเวลาเดียวกัน
เพราะหากเป็นอัจฉริยะคนอื่น พวกเขาคงได้แต่ทิ้งตัวเองไว้ในห้วงแห่งความสิ้นหวังแล้ว
ตอนนั้นเองที่พวกเขาได้เห็นกลุ่มนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้ากลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางอยู่ไม่ห่างไกลไปนัก
ในกลุ่มนั้นมีชายหนุ่มเสื้อขาว เขากล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าดูถูกดูแคลน “เอ๋ ศิษย์พี่หญิงท่านดูนั่น มีเด็กอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคิดจะเข้าไปในเขาแห่งถงเทียนด้วย! ช่างประเมินตัวเองสูงเกินจริงเสียแท้ๆ”
คนที่นำหน้ามานั้นเป็นหญิงสาวรูปงาม
หญิงสาวคนนั้นเองก็สวมใส่ชุดสีขาวสะอาด มีท่าทางที่ผ่าเผยและสง่ามาก ผิวของนางนั้นสวยงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์
เพียงแค่ว่าพลังกดดันที่ออกมาจากร่างงามๆ นั้นมันทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างไปนับหมื่นกิโลเมตรต้องเหงื่อตก
หญิงสาวคนนั้นหันมามองเย่หยวนด้วยคิ้วขมวดแน่น “เขาแห่งถงเทียนนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผู้มีพลังบ่มเพาะต่ำกว่าอาณาจักรราชันพระเจ้าเจ้ารู้หรือไม่? นี่มันมิใช่สถานที่สำหรับเจ้าหรอกนะ”
เย่หยวนหันไปมองหญิงสาวคนนั้นด้วยความตื่นตกใจไม่น้อย
เพราะหญิงสาวคนนี้มีอายุแทบไม่ต่างไปจากตัวเขาเลย แต่กลับมีพลังบ่มเพาะถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว
พรสวรรค์ระดับนี้มันมากพอที่จะชนะทุกคนในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย!
แม้แต่หนิงเทียนปิงที่ว่าเป็นยอดอัจฉริยะแล้ว เขาก็ยังต้องรู้สึกอับอายและไร้ค่าเมื่อมาเจอแม่นางคนนี้
ความแตกต่างมันห่างชั้นเกินไป!
หลังจากหายตกใจแล้วเย่หยวนก็ยกมือขึ้นคารวะอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณที่ตักเตือน แต่ทว่า… เย่ผู้นี้มีเรื่องสำคัญมากที่จำเป็นต้องเข้าไปจริงๆ”
แม้ว่าคำพูดของแม่นางคนนี้มันจะไม่ค่อยรื่นหูนัก แต่เย่หยวนก็ไม่ได้คิดอะไรกับมันมากมาย
เพราะยังไงเสียนางคนนี้ก็เตือนออกมาด้วยความหวังดี ไม่ได้มีท่าทางจะเย้ยหยันใดๆ
ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มชุดขาวที่มาด้วย
แต่พลังของคนกลุ่มนี้มันก็เหนือล้ำมากจริงๆ
พวกเขาทั้งหลายล้วนแล้วต่างเป็นคนหนุ่มสาว แต่ว่าแต่ละคนกลับมีพลังบ่มเพาะที่เหนือล้ำกว่าหนิงเทียนปิงทั้งสิ้น
แต่หนิงเทียนปิงนั้นมีอายุกว่าพันปีเข้ามาแล้ว
ในเรื่องของพรสวรรค์ ความต่างของทั้งสองฝ่ายนั้นมันมากจนมองไม่เห็นฝุ่นเลย
“เฮอะ มีเหตุผลใดกันที่ต้องขึ้นไป? คงเพราะว่าตัวเจ้าไม่มีปัญญาจะบรรลุถึงได้มาเสี่ยงโชคที่เขาแห่งถงเทียนนี้ล่ะสิ อายุตั้งกว่าห้าร้อยปีแล้วแต่กลับไม่สามารถบรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ ช่างไร้พรสวรรค์เสียจริงๆ ข้าไม่รู้เลยว่ามันมีพวกบ้านนอกอย่างเจ้ามาที่นี่กันปีละกี่คน และสุดท้ายคนพวกนั้นก็ได้แต่ต้องถูกเขาแห่งถงเทียนนี้บดขยี้ลง หากเจ้ายังอยากเข้าไปรนหาที่ตายก็จงไปเถอะ พวกเราเองก็ไม่มีหน้าที่ต้องห้ามเจ้า” ชายชุดขาวว่า
เมื่อหนิงเทียนปิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็ตะโกนลั่นกลับไปอย่างโกรธเคือง “เจ้าจะไปรู้อะไร? หากไม่ใช่ว่าเพราะเหตุผลบางอย่างนายใหญ่คงบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าไปได้ตั้งแต่สามร้อยปีก่อนแล้ว!”
ตอนไม่พูดก็ยังดี แต่พอได้ยินคำนั้นของหนิงเทียนปิงชายชุดขาวกลับยิ่งมีสีหน้าแสนจะดูถูกหนักกว่าเก่า “กลายเป็นว่าหมอนี่ติดอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ามาเกือบสามร้อยปีแล้ว! สามร้อยปีแต่กลับไม่มีปัญญาจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วยังจะมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะอีกหรือ? เฮอะ เฮอะ ช่างเป็นกบในกะลาเสียจริงๆ เห็นศิษย์พี่ชิวหลิงของเราหรือไม่? นางบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ตั้งแต่อายุแค่ร้อยปี ตอนนี้เวลาผ่านไปสี่ร้อยปีนางก็สามารถกลายเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว! ที่นางมาเขาแห่งถงเทียนในครานี้ก็เพื่อจะหาโอกาสในการบรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ เจ้าน่าจะ… รู้สึกได้ถึงความต่างนี้ใช่ไหม?”
หนิงเทียนปิงแทบจะกระอักเมื่อได้ยิน เพราะเขาไม่มีอะไรจะเถียงกลับอีกฝ่ายไปได้เลย
อัจฉริยะแบบนี้เขาคงได้แต่จ้องมองไปชั่วชีวิต
ด้วยเวลาแค่สี่ร้อยปีกลับสามารถบรรลุจากอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว มันช่างเป็นความเร็วการบ่มเพาะที่เหนือล้ำ
หญิงชุดขาวคนนั้นร้องขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไป๋ชิง!”
ชายชุดขาวได้เห็นว่าแม่นางเล้งชิวหลิงโกรธแบบนั้นเขาจึงเลือกที่จะหุบปากลงทันที
เล้งชิวหลิงหันมามองเย่หยวนอีกครั้ง “ข้าแค่จะมาเตือนเท่านี้ ลาก่อน!”
พูดจบนางก็นำพากลุ่มศิษย์น้องทั้งหลายมุ่งหน้าเข้าสู่เขาแห่งถงเทียนไป
“นายใหญ่ พวกนั้นมันจะอวดดีเกินไปแล้ว!” หนิงเทียนปิงบอก
แต่เย่หยวนกลับทำแค่ยิ้มรับ “พวกเขานั้นมีประสงค์ดี ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”