Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1684 โอสถที่แปลกไป
ตอนที่ 1684 โอสถที่แปลกไป
เมื่อเย่หยวนจากไปเล่งหยูก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง “นี่… เขาน่าจะเพิ่งบรรลุได้ไม่นานมิใช่รึ? แต่กลับสามารถที่จะหลอมโอสถระดับนั้นได้แล้ว?”
ซวนอี้หยุดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบมา “พลังของอาณาจักรเต๋านั้นมันต่างจากอะไรที่เราจะเข้าใจได้ สำหรับพวกเรา เรายังอยู่ในอาณาจักรที่เห็นภูเขาเป็นภูเขา แต่กับเขาบางทีตอนนี้เขาอาจจะไปถึงอาณาจักรที่ไม่เห็นภูเขาเป็นภูเขาอีกแล้วก็ได้! สิ่งที่เขาได้พบเจอนั้นคือยอดวิถีแห่งโอสถ เรียนรู้ได้มากกว่าเท่าตัวด้วยเวลาที่น้อยกว่าเท่าตัว มันต่างจากอะไรที่คนธรรมดาๆ จะนึกภาพได้มาก”
เล่งหยูนั้นไม่เข้าใจว่าอะไรคือวิถีโอสถ แต่เขาก็รู้ถึงฝีมือของซวนอี้ดี
การที่ซวนอี้พูดถึงขนาดนั้นมันก็หมายความว่าความรู้ด้านโอสถของเย่หยวนนั้นมันเหนือล้ำกว่าที่เขาจะจินตนาการได้แล้ว
ก่อนที่จู่ๆ เล่งหยูจะนึกอะไรขึ้นมาได้และถามซวนอี้ออกไป “เจ้ารู้สึกว่าอาณาจักรของเขามันต่างไปหน่อยไหม? ดูไม่เหมือนกับอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวทั่วๆ ไปเลย!”
ซวนอี้เองก็พยักหน้ารับ “การเห็นเขาเมื่อสักครู่นี้มันให้ความรู้สึกราวกับเขาได้เกิดใหม่ขึ้นมา ที่สำคัญกว่านั้นข้ายังไม่เห็นเลยว่าพลังที่แท้จริงของเขามันเป็นยังไง มันเหมือนจะเป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่!”
เล่งหยูหายใจเข้าลึก “ข้ารู้สึกเลยอนาคตของเด็กคนนี้มันต้องสูงส่งจนเกินกว่าที่เราคนใดจะจินตนาการได้แน่ๆ”
ซวนอี้พยักหน้า เพราะตัวเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
หลังจากผ่านไปได้หลายชั่วโมง ในที่สุดเย่หยวนก็ออกมาจากการเก็บตัว
เย่หยวนยื่นโอสถสองเม็ดให้พวกเขาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่น้อย “นี่คือโอสถหยางแกร่งบริสุทธิ์และโอสถเสริมอายุขัยยืนยาว ให้พี่เจิ่งได้กินมันเถอะ”
ดูท่าแล้วโอสถทั้งวสองเม็ดนี้มันคงหนักหนาไม่น้อยสำหรับตัวเขาในตอนนี้
โอสถหยางแกร่งบริสุทธิ์นั้นคือโอสถที่มีฤทธิ์ช่วยขับพลังหยินออกจากร่าง ส่วนโอสถเสริมอายุขัยยืนยาวนั้นคือโอสถที่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเลือดของผู้กินมันเข้าไป ช่วยเพิ่มพูนพลังงานให้แก่ผู้ได้รับมันไป
เจิ่งชีนั้นใช้ดาบคลั่งเลือนสลายออกไปในตอนนั้น ทำให้พลังชีวิตของเขามันเหือดแห้งมานานมากแล้ว มันจึงยากมากที่จะมีโอสถตัวใดช่วยเสริมสร้างสิ่งที่เหือดแห้งขนาดนั้นได้
เพราะเช่นนั้นซวนอี้ถึงได้แต่กุมขมับกับสภาพตรงหน้าเพราะเขาไม่สามารถที่จะหลอมโอสถเสริมอายุขัยยืนยาวให้ได้ถึงขั้นสูง
แต่เมื่อซวนอี้ได้เห็นโอสถทั้งสองเม็ด ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านและตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ “ข-ขั้นเทวะ! เจ้าเพิ่งจะบรรลุอาณาจักรมาได้หมาดๆ แต่กลับสามารถหลอมโอสถสองอย่างนี้ได้จนถึงขั้นเทวะเลย คาดไม่ถึงโดยแท้!”
โอสถทั้งสองนั้นไม่ใช่โอสถที่ง่ายดายนัก มันยากมากถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ซวนอี้ก็ยังไม่สามารถจะหลอมมันได้ถึงขั้นสูง แต่เย่หยวนที่เพิ่งจะบรรลุมาได้หมาดๆ กลับสามารถหลอมมันได้ถึงขั้นเทวะ มีหรือที่เขาจะยังทนไม่ตื่นตกใจได้?
มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหลังจากบรรลุขึ้นระดับสี่มาได้ ทักษะในการหลอมโอสถของเย่หยวนนั้นก็ได้เหนือล้ำกว่าเขาไปในทุกๆ ด้านแล้ว
ตอนนี้มันคงได้เวลาเปลี่ยนตำแหน่งยอดนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้ว!
เย่หยวนยิ้ม “พี่ซวนอี้ เวลากว่าสี่ร้อยปีนี้ข้าไม่ได้แค่คิดจะบรรลุอาณาจักรอย่างเดียวเสียหน่อย! เหล่าโอสถระดับสี่ทั้งหลายนั้นข้าล้วนแล้วแต่คุ้นชิ้นกับมันมาแล้วทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ยังขาดก็คือการบรรลุเท่านั้น”
ซวนอี้ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ต่อให้เป็นอย่างนั้น มันก็ยังสุดยอดอยู่ดี!”
สี่ร้อยปี?
ซวนอี้นั้นหมดตัวอยู่กับโอสถระดับสี่มากว่าสี่หมื่นปี แต่เย่หยวนกลับใช้เวลาแค่สี่ร้อยปีในการก้าวขึ้นไปอยู่เหนือเขา
เรื่องแบบนั้น… มันอาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะกับคนธรรมดาก็ได้ละมั้ง?
แต่ซวนอี้ไม่ได้รู้สึกอิจฉาริษยาใดๆ แม้แต่น้อย เขานั้นกลับรู้สึกดีใจแทนเย่หยวนเสียด้วยซ้ำ
เพราะตอนนี้เย่หยวนนั้นคือตัวตนที่เหนือล้ำของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปแล้วเรียบร้อย
เย่หยวนยิ้ม “พี่เล่งหยู พี่เจิ่งนั้นมีร่างกายที่อ่อนแอมากจนไม่สามารถจะดูดซับโอสถได้ด้วยตัวเอง ท่านโปรดช่วยเขาในเรื่องนั้นด้วย”
เล่งหยูพยักหน้ารับ “ได้ ข้าจะพาเขาไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากคนทั้งสองจากไป เย่หยวนก็คิดที่จะกลับเข้าเก็บตัวเพื่อพักฟื้นปราณเทวะของตัวเขาเองก่อนที่คนใช้ด้านนอกจะมารายงานว่าหนิงจื่อหยวนแห่งตระกูลหนิงได้มาขอพบ
เมื่อซวนอี้ได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้แต่หัวเราะเย้ยออกมา “เฮอะ พวกเห็นแก่ได้! ตอนนั้นที่เจ้าไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้มันกลับคิดโยนหินลงถมบ่อน้ำในงานประชุมผู้อาวุโส ตอนนี้เมื่อมันเห็นว่าเจ้าบรรลุแล้วมันกลับมาตามหาตัวเจ้าเสียอย่างนั้น!”
เย่หยวนตอบ “โลกเรามันก็เป็นแบบนี้! เจ้าออกไปบอกพวกเขาเถอะว่าข้ากำลังช่วยผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งชีอยู่ ไม่ว่างพบแขกหน้าไหน”
คนใช้คนนั้นไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งและออกมาไปอย่างว่าง่าย
เพราะคนทั้งสองฝั่งนั้นต่างเป็นยอดคนที่เขาไม่มีปัญญาพอจะไปลบหลู่ได้เลย!
…
ที่ด้านนอกคฤหาสน์เจิ่ง หนิงจื่อหยวนมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
เขานั้นคือผู้นำตระกูลหนิง เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาว แต่กลับถูกไล่กลับบ้านทั้งๆ อย่างนี้!
“นี่ เทียนปิง เด็กคนนี้มันจะไม่โอหังเกินไปหน่อยรึ? ผู้นำตระกูลถึงขนาดมาขอพบด้วสยตัวเองแบบนี้ แต่เขากลับไม่คิดที่จะออกมาพบเสียด้วยซ้ำ!” หนิงจื่อหยวนถามด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
หนิงเทียนปิงได้แต่หันไปมองและถอนหายใจยาว “ท่านผู้นำ นี่ไม่ใช่ว่าข้าเข้าข้างนายใหญ่หรอกนะ แต่ตั้งแต่ที่เขากลับเข้ามาเหยียบประตูเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้อีกครั้ง เมืองนี้มันก็ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว! ด้วยความสามารถทางโอสถของเขา ซึ่งท่านเองก็น่าจะทราบดี ตราบเท่าที่เขาคิดจะทำ เขาก็สามารถจะช่วยบ่มเพาะตระกูลเล็กๆ ขึ้นมาให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่เทียบตระกูลหนิงได้ง่ายๆ ในเวลาไม่กี่ร้อยปี! ท่านคิดว่าเขามีสิทธิที่จะโอหังหรือไม่ล่ะ?”
หนิงจื่อหยวนแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น และตอนนี้เขาก็กำลังเสียใจกับเรื่องนั้นอยู่อย่างมาก
เขาในฐานะผู้นำตระกูล กลับมีตาที่ไม่กว้างไกลเท่าเด็กหนุ่มในตระกูลคนนี้
ค่าตอบแทนที่หนิงเทียนปิงจะได้รับจากเย่หยวนนั้นมันมากมายอย่างหาที่สุดมิได้!
หนิงจื่อหยวนเองรู้แล้วว่าตอนนี้หนิงเทียนปิงไม่ได้ใช้วรยุทธบ่มเพาะของตระกูลหนิงอีกต่อไป ตอนนี้วรยุทธที่เขาใช้บ่มเพาะมันคือวรยุทธระดับหกขั้นสูง
และโอกาสนี้ เย่หยวนก็เป็นคนที่มอบให้หนิงเทียนปิงอย่างเต็มอกเต็มใจ
เรื่องราวนี้มันเป็นยอดความลับที่หนิงเทียนปิงบอกแค่หนิงจื่อหยวนคนเดียว
แล้ววรยุทธบ่มเพาะระดับหกขั้นสูงมันคืออะไร?
มันก็คือวรยุทธบ่มเพาะที่สามารถพาเขาขึ้นไปถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ขั้นสูงได้!
ด้วยความสามารถของหนิงเทียนปิงนั้น การไปให้ถึงอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันเป็นได้แค่การละเล่น
หลังหยุดไปหน่อย หนิงจื่อหยวนก็เปลี่ยนน้ำเสียงและพูดกับหนิงเทียนปิงต่อ “โอ้ เทียนปิง ตอนนี้เจ้าเป็นหนึ่งในคนสนิทของเย่หยวน ทำไมเจ้า… ไม่ช่วยพูดอะไรให้ตระกูลหนิงเราหน่อยล่ะ? อย่าให้เขาได้โกรธเคืองตระกูลหนิงเราไปมากกว่านี้เลยนะ?”
หนิงเทียนปิงเองก็ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ท่านผู้นำ ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยพูดให้ตระกูลหนิงหรอกนะ แต่ว่านี่คือนายใหญ่ ท่านไม่เข้าใจหรอก นายใหญ่นั้นเป็นแยกความอ่อนโยนและความโหดร้ายออกจากกันอย่างเด่นชัด! ตราบเท่าที่คนผู้นั้นเป็นคนที่เขายอมรับนับถือ เขาก็ยอมที่จะเสี่ยงชีวิตอย่างไม่คิดที่จะลังเลแม้แต่น้อย แต่หากนั่นเป็นคนที่เขาไม่ยอมรับนับถือแล้ว ต่อให้ท่านจะเลียเขาจนลิ้นท่านฉีกมันก็ไม่มีประโยชน์! หากตระกูลหนิงอยากจะคืนดีกับนายใหญ่ให้ได้ ท่านผู้นำ ท่านต้องแสดงความจริงใจออกมา หากท่านทำให้นายใหญ่สามารถอภัยเรื่องราวที่ผ่านมาได้ ข้าก็จะช่วยเอาหน้าเขาประกันและทำให้เขาชอบตระกูลหนิงมากขึ้นอีกแม้สักนิด แต่ท่านผู้นำ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วจริงๆ”
หนิงเทียนปิงนั้นติดตามเย่หยวนมาจนพอเข้าใจนิสัยของเย่หยวนได้ในระดับหนึ่ง
หากอยากจะเปลี่ยนมุมมองที่เย่หยวนมีต่อใครสักคน ต่อให้เป็นเขามันก็คงเป็นไปไม่ได้
ในสายตาของเย่หยวนนั้น หนิงเทียนปิงก็คือหนิงเทียนปิง ตระกูลหนิงก็คือตระกูลหนิง ทั้งสองนี้แยกกันอย่างเด่นชัด
เย่หยวนนั้นจะไม่มีทางเอาใจใส่ตระกูลหนิงมากเป็นพิเศษเพราะเห็นแก่หน้าของหนิงเทียนปิงเด็ดขาด
ได้ยินคำหนิงเทียนปิงแบบนั้น หนิงจื่อหยวนก็เกิดกลัวขึ้นมาจับใจ
เขาได้รู้แล้วว่าตอนนี้ตระกูลหนิงเดินมาถึงริมหน้าผาแล้วเรียบร้อย!
…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเจาในห้องลับหนึ่ง เล่งหยูกำลังค่อยๆ ช่วยให้เจิ่งชีดูดซับโอสถเข้าร่างไป แต่จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและหยุดมือดึงปราณเทวะกลับออกมาทันที
เขามองหน้าเจิ่งชีด้วยความตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด “โอสถนี้… มันดูแปลกๆ เจิ่งชีเจ้ารู้สึกถึงมันหรือไม่?”
เจิ่งชีนั้นฟื้นตัวกลับมาได้ราวร้อยละห้าสิบถึงหกสิบแล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ยักหน้า “อาจารย์ปู่ ข้ารู้สึกแล้ว! ดูท่า… ข้าคงจะกำลังบรรลุอาณาจักร!”
เล่งหยูเบิกตาโพลงเมื่อได้ยิน “หะ? โอสถสองเม็ดนี้มันควรจะแค่ช่วยให้เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บสิ แต่ตอนนี้เจ้ากลับกำลังจะบรรลุอย่างนั้นรึ?”