Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1690 แตกตื่นทั้งเมือง
ตอนที่ 1690 แตกตื่นทั้งเมือง
ผู้อาวุโสตระกูลหนิงที่เดิมทีมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาว หนิงชางไห่ได้บรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาว!
ผู้อาวุโสตระกูลหนิงอีกคนที่เดิมทีมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรราชันพระเจ้าห้าดาว หนิงจงไคก็สามารถบรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวได้!
…
ผู้นำตระกูลหนิง หนิงจื่อหยวน สามารถบรรลุผ่านคอขวดและเข้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวได้ในที่สุด!
เรื่องราวในครั้งนี้มันทำให้คนแตกตื่นกันไปทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ราวกับไฟป่าที่โหมไหม้
แค่ชั่วข้ามคืน แต่ตระกูลหนิงกลับเปลี่ยนไปราวได้จุติใหม่!
เหล่าผู้อาวุโสตระกูลหนิงที่วันๆ ได้แต่รอเวลาตาย ไม่มีความหวังในการจะบรรลุใดๆ กลับสามารถบรรลุได้!
ข่าวเรื่องนี้มันทำให้ผู้คนตกตะลึงมาก
แต่แน่นอนว่าเรื่องที่ใหญ่ที่สุดย่อมต้องเป็นเรื่องการบรรลุของหนิงจื่อหยวน!
การเป็นราชันพระเจ้าเก้าดาวมันหมายความว่ายังไง?
มันหมายความว่าเขาได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองจักรพรรดิ!
นอกจากเหล่ายอดคนอาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว ก็เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวนี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุด!
ที่สำคัญกว่านั้นการได้เข้าอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวมันก็หมายความว่าหนิงจื่อหยวนได้มีโอกาสไปแตะฐานของอาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว
ไม่ว่าเขาจะสำเร็จได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็มีโอกาสแล้ว
ในเมืองนี้จะยังมีใครที่มีโอกาสทำแบบนั้นอีก?
“นี่ ข่าวนี้คงไม่ได้มั่วใช่ไหม? เฒ่าพวกนั้นมันมีแต่รอวันลงโลง แต่กลับที่จะบรรลุขึ้นมาได้จริงๆ รึ?”
“จะมั่วไปได้อย่างไร? เฒ่าพวกนั้นมันดีใจจนเนื้อเต้น ออกมาอวดอ้างต่อหน้าคนทั้งเมืองยกใหญ่!”
“นี่มัน… มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยรึ? หรือว่า… คงไม่ได้มีใครในตระกูลหนิงเกิดตรัสรู้ขึ้นมาใช่ไหม?”
“ตรัสรู้กับพ่อเจ้าสิ?! ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนนั้นสัญญากับเหล่าผู้อาวุโสว่าจะช่วยหลอมโอสถให้แต่กลับไม่มีใครคิดเชื่อคำเขา มีแค่หนิงจื่อหยวนที่กล้าจะขอให้เขาหลอมโอสถให้! สุดท้ายตระกูลหนิงเลยเกิดเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืนแบบนี้ขึ้นมา!”
“นี่มัน… จะจริงรึ? ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนเพิ่งจะบรรลุมาได้ไม่นานมิใช่รึ? เขาจะมีความรู้ความสามารถด้านโอสถมากมายขนาดนั้นแล้ว?”
…
เหล่ายอดฝีมือในเมืองต่างคุยกันถึงเรื่องนี้อย่างไม่วางปาก
สำหรับนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้ว ยังจะมีอะไรที่น่าสนใจไปกว่าการบรรลุอีก?
เพราะเช่นนั้นเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหลายจึงแตกตื่นกันยกใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลใหญ่ที่มีตำแหน่งที่นั่งผู้อาวุโสในเมือง มันกลายเป็นความวุ่นวายอย่างถึงที่สุด
เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลต่างล้วนกำลังกล่าวว่าผู้นำ ด่าว่าทำไมผู้นำตระกูลของตนถึงไม่ไปขอให้เย่หยวนหลอมโอสถให้บ้าง
ที่บ้านใหญ่ตระกูลฉี ผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนต่างชี้หน้าด่าฉีเฟิงอย่าไม่ไว้หน้าใดๆ
ฉีเฟิงและหนิงจื่อหยวนนั้นเป็นสองยอดคนที่ยืนอยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งสองนั้นเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาวเสมอกัน ทั้งยังมีตำแหน่งผู้อาวุโสของเมืองเช่นกันด้วย
ตระกูลฉีและตระกูลหนิงเองก็เป็นคู่แข่งที่ปะทะกันมานานแสนนาน
ฉีเฟิงและหรงซูนั้นสนิทกันไม่น้อย พวกเขาจึงช่วยกันกดดันตระกูลหนิงมาตลอด
เรื่องในครั้งนี้ฉีเฟิงจึงเลือกที่จะอยู่ข้างหรงซูอย่างไม่ลังเลใดๆ
วันนั้น หนิงจื่อหยวนมีท่าทางที่แสนจะอนาท ฉีเฟิงได้แต่ดูถูกเมื่อเห็นมัน เขานั้นเหยียดหยามท่าทางก้มหัวขอร้องนั้นของหนิงจื่อหยวนมาก
ตั้งแต่แข่งขันรู้จักกันมาเขาไม่เคยคิดที่ตจะปริปากว่าใดๆ หนิงจื่อหยวนลับหลังเขาเลย
แต่ใครจะไปรู้ว่าเวลาผ่านไปได้เดือนหนึ่ง หนิงจื่อหยวนคนนั้นกลับสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวได้
ข่าวนี้มันทำให้ฉีเฟิงตื่นตะลึง!
และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังกลับมาตั้งสติไม่ได้ จึงปล่อยให้เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเข้ามารุมล้อมด่าทอเขาอย่างไม่ไว้หน้าใดๆ
“ฉีเฟิง นี่หรือคือหน้าที่ผู้นำตระกูลที่เจ้าควรทำ?”
“ฉีเฟิง เจ้ามันเกินไปจริงๆ ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนนั้นถูกเชิญขึ้นรับตำแหน่งโดยท่านเจ้าเมือง แต่เจ้ากลับไม่คิดจะไว้หน้าเขาสักนิด!”
“สะใจไหมล่ะ? ตอนนี้พวกตระกูลหนิงนั้นเชิญหน้าชูฟ้ากันยกใหญ่! แต่ดูเรา! ลองหันมามองดูตระกูลเรา!”
…
เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่อย่างแท้จริง หลายต่อหลายคนนั้นแก่กว่าฉีเฟิงมาก จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาใดๆ เลย
ฉีเฟิงนั้นถูกดุว่าจนหน้าเขียวคล้ำ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไร
คนเฒ่าพวกนี้มันไม่รู้จักทำงานทำการวันๆ มีแต่หาเรื่องด่าคนอื่นไปทั่ว
“เอาล่ะๆ พอก่อน ผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้าเองก็กำลังหาทางแก้อยู่นี่ไง?”
ฉีเฟิงบอกปัดคนเหล่านี้อยู่สักพักก่อนที่จะสามารถไล่พวกเขาออกไปได้
แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะปวดหัวหนัก เพราะเรื่องราวในตอนนี้มันเหนือล้ำกว่าที่เขาคาดคิดไปมากมายแล้ว
เรื่องราวในครั้งนี้มันเป็นการพลิกกระดานเกินไป!
แค่นึกก็พอรู้แล้วว่าตอนนี้ที่หน้าคฤหาสน์ของผู้อาวุโสเย่หยวนนั้นคงมีผู้คนไปกันจนมากล้นแน่ๆ
ฉีเฟิงนั้นเข้าใจจนได้ว่าทำไมเย่หยวนถึงกล้าที่จะโยนหรงซูลงนรกฟอกเทพไปแบบนั้น
เพราะเขามั่นใจในพลังฝีมือความรู้ของตัวเอง!
หากไม่มีฝีมือที่แท้จริง ก็อย่าได้ไปทำอะไรให้เกินตัว
เย่หยวนและซวนอี้นั้นสนิทสนมกันมาก ไม่มีทางหรอกที่เย่หยวนจะไม่รู้ถึงพลังอำนาจที่หนงซูมีในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้
แต่เขาก็ยังกล้าจะโยนหรงซูลงนรกฟอกเทพไปหลังรับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขานั้นมีไม้เด็ด
สิ่งที่เย่หยวนต้องการนั้นมันก็เพียงแค่การปลดล็อกเท่านั้น
และตระกูลหนิงก็เข้ามาช่วยเรื่องนั้นและเป็นตัวปลดล็อกให้อย่างดี!
ฉีเฟิงได้เข้าใจทันทีว่าคราวนี้กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว!
มาคิดได้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
ก้าวแรกพลาด ก้าวต่อๆ ไปย่อมพลาดตาม!
กำหนดเวลาที่เย่หยวนให้มาคือสามเดือน ตอนนี้เวลาหนึ่งเดือนได้ผ่านไปแล้ว
เวลาสองเดือนที่เหลือ เหล่าตระกูลทั้งหลายคงพยายามกันอย่างสุดความสามารถเพื่อจะแย่งชิงตำแหน่งนั้นกัน
เวลามันสั้นเกินไป!
มันไม่มีทางเลยที่เย่หยวนจะไปทุ่มเวลาให้กับตระกูลเดียวได้เหมือนตอนตระกูลหนิง
ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดมันตกอยู่ในกำมือเย่หยวนแล้ว
เขาอยากจะหลอมโอสถให้ใครก็ย่อมหลอมให้ได้!
เขาไม่อยากหลอมโอสถให้ใคร เขาก็ย่อมผลักไสได้
ฉีเฟิงถอนหายใจยาวก่อนจะค่อยๆ ลุกและเดินตรงไปยังคฤหาสน์เย่
และอย่างที่คาด ตอนนี้ที่หน้าคฤหาสน์เย่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนราวกับมีงานเลี้ยงอะไรกันเกิดขึ้น
เว้นแต่ว่าสีหน้าของพวกเขาทุกคนนั้นเปี่ยมไปด้วยความกังวลราวกับเป็นนักโทษที่มารอฟังคำตัดสินคดี
เดิมทีนั้นเมื่อทุกคนเห็นฉีเฟิง พวกเขาทั้งหลายจะต้องเข้ามาทักทายทันทีแน่
แต่วันนี้กลับไม่มีใครคิดจะสนใจเขาแม้สักคน
ฉีเฟิงเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เขาสนิทด้วยยืนรอยู่เช่นกันจึงเข้าไปถาม “พี่เขา ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ท่านพบใครอยู่?”
คนๆ นี้มีนามว่าเจายี่บิน ผู้นำตระกูลเจา
เมื่อเจายี่บินหันมาเห็นฉีเฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “จะเป็นใครได้อีก? พวกตระกูลหนิงไง พวกบ้านั่น เหอะ ดูหน้าตาอวดดีของมันสิ!”
เมื่อเขาพูดจบสายตาทุกคู่รอบๆ ก็หันมาหาทันที
“เจายี่บิน หากเจ้าอยากว่ากล่าวใดๆ ท่านผู้อาวุโสใหญ่ก็จงทำไป แต่อย่าได้มาสร้างปัญหาให้เรา!”
“ใช่! ตอนนตระกูลหนิงนั้นได้รับความชอบจากผู้อาวุโสใหญ่ อวดดีสักหน่อยจะเป็นไรไป?”
“เจ้าแค่ไม่พอใจที่เห็นว่าหนิงชางไห่บ่มเพาะตามเจ้าทันใช่ไหมล่ะ?”
…
คนหนึ่งพูด ก็เปิดปากด่าทันที พวกเขานั้นรุมว่าเจายี่บินจนแทบจะเป็นจะตาย
ทั้งอย่างนั้นเจายี่บินกลับไม่โกรธเคืองใดๆ และได้รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองจนกล่าวขอโทษต่อทุกคนทันที “ทุกคนโปรดใจเย็นก่อน! ใจเย็นๆ กันก่อน! ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความผิดเจาคนนี้เพียงผู้เดียว!”
หลังจากเขากล่าวขอโทษออกมาแล้วความโกรธแค้นของทุกผู้คนจึงดับมอดลง
เมื่อฉีเฟิงได้เห็นภาพนี้เขาก็ได้แต่ยืนงง
นี่ทุกคนเครียดกันจนถึงขั้นนี้แล้วหรือ?
ก่อนที่เจายี่บินจะหันมามองแรงใส่ฉีเฟิงและหยุดพูดลงไป
ฉีเฟิงนั้นพูดอะไรไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าการบรรลุของตระกูลหนิงมันนำพาเรื่องราวแบบไหนมาสู่จิตใจของผู้คน
ตอนนี้ทุกคนต่างล้วนแล้วแต่เกรงกลัวที่จะเผลอไปลบหลู่เย่หยวน!
ตอนนั้นเองที่หนิงจื่อหยวนได้นำเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลเดินออกมาจากคฤหาสน์เย่
เมื่อหนิงจื่อหยวนเห็นฉีเฟิง เขาก็หัวเราะออกมา “ฉีเฟิง วันนั้นพวกเจ้าว่ายังไงนะ? ก้มหัวลงกระดิกหาง? ตอนนี้ต่อให้พวกเจ้าเอาหัวมุดดินและกระดิกจนหางหลุด ผู้อาวุโสใหญ่ท่านก็อาจจะไม่สนใจพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อยก็ได้! ฮ่าๆๆ”