Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1691 ลมแห่งอินทรีสวรรค์เปลี่ยนทิศ
ตอนที่ 1691 ลมแห่งอินทรีสวรรค์เปลี่ยนทิศ
ฉีเฟิงนั้นหน้าหมองคล้ำดำจนแทบสนิท!
แต่เขาก็ไม่สามารถจะกล่าวเถียงใดๆ ออกไปได้
เขาอยากก้มหัวกระดิกหางไหม?
แน่นอนสิว่าอยาก!
อยากจนแทบคลั่งเลยล่ะ!
จะมีใครบ้างที่จะปฏิเสธโอกาสในการบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว?
หากเย่หยวนให้โอกาสเขาได้ก้มกราบ เขาก็ย่อมต้องทำอย่างแน่นอน!
แต่ปัญหาคือ เย่หยวนจะให้โอกาสเขาไหม?
หนิงจื่อหยวนนั้นปล่อยคลื่นพลังที่แสนหนักหน่วงออกมาจากร่าง
นั่นคือพลังที่เป็นของอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวอย่างแน่นอน!
ตัวเขา ฉีเฟิงนั้นหลงใหลในพลังนั้นอย่างมาก!
เมื่อหันไปดูอีกครา ตอนนี้เขาก็ได้เห็นว่าเหล่าผู้เฒ่าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง ยังจะมีร่องรอยของไม้ใกล้ฝั่งให้ได้เห็นอีกหรือ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงชางไห่คนนั้นที่บรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาวได้ในคราเดียว ตอนนี้เขาจึงมีสิทธิที่จะเข้าร่วมสมาคมผู้อาวุโสของเมืองแล้วด้วย!
ตระกูลหนิงกำลังจะได้ที่นั่งผู้อาวุโสไปอีกตำแหน่ง!
เรื่องนี้มันแสนจะยิ่งใหญ่
“หึ ผู้นำตระกูลเรานี่ฉลาดจริงๆ ครานี้ตระกูลหนิงเราคงเฉิดฉายแสงจ้าจนเงาทับตระกูลหนิงสิ้นแน่!”
“ในวันข้างหน้า ตระกูลหนิงเราจะรับทำตามคำสั่งผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนอย่างไม่ขัด!”
“โอ้ พวกเจ้าเองก็รีบๆ ไปหาทางทำให้ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนใจเย็นลงเถอะนะ! ฮ่าๆ”
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหนิงนั้นต่างแสดงท่าทางอวดดีออกมาอย่างมากมาย ภาพตรงหน้านี้มันเหมือนกับภาพของตัวร้ายที่ได้เหลิงในพลังไม่มีผิด
แต่ทว่าพวกเขานั้นก็มีสิทธิที่จะอวดดีได้
เพราะพวกเขารู้ดีว่าในวันข้างหน้าคงไม่มีตระกูลใดเทียบเคียงตระกูลหนิงได้อีกแล้ว
เย่หยวนนั้นคงไม่ใจจืดใจดำกับตระกูลอื่นๆ ไปได้ตลอด แต่เขานั้นก็คงไม่มีทางดูแลตระกูลอื่นดีเหมือนตระกูลหนิงแน่
มันคือความแตกต่างในสายสัมพันธ์ที่มี
หนิงจื่อหยวนนั้นหัวเราะ “ฉีเฟิง อย่าได้หาว่าข้าไม่เตือนเลยนะ เจ้าคงพยายามใช้สมองที่มีเพื่อหาวิธีจะตัดสายสัมพันธ์กับหรงซูเอาเถอะ นั่นคงเป็นความหวังสุดท้ายของเจ้าแล้ว ฮ่าๆๆ”
พูดจบหนิงจื่อหยวนก็พากลุ่มคนเดินจากไป
ฉีเฟิงนั้นได้แต่ขมวดคิ้วอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
และไม่ใช่แค่ฉีเฟิง แต่รวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วย
เพราะในคำพูดนั้นของหนิงจื่อหยวนมันแฝงคำใบ้ไว้อยู่!
…
เวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาสามเดือนมานี้หรงซูต้องทนทุกข์ทรมานถูกกัดกินจิตใจไปจนทำให้ร่างของเขาผอมบางลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากมาจากนรกฟอกเทพได้หรงซูก็กัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น “เย่หยวน เจ้าคิดว่าได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบรึ? ชายแก่คนนี้จะสั่งสอนเจ้าเองว่าอะไรมันควรยุ่งไม่ควรยุ่ง!”
หรงซูไม่คิดจะกลับที่พักเสียด้วยซ้ำและมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านตระกูลฉีทันที
แต่สิ่งไม่คาดฝันมันก็เกิดขึ้นตรงหน้าเขา เพราะคนที่ออกมาต้อนรับเขานั้นหาใช่ฉีเฟิง แต่เป็นฉีซงแทน
คนที่ตระกูลฉีส่งออกมารับเขาคือฉีซง เมื่อได้เห็นหรงซูฉีซงก็ยกมือขึ้นคารวะทันที “ฉีซงคารวะผู้อาวุโสที่สาม”
หรงซูหน้าเสียทันทีที่ได้ยิน “ฉีซง เจ้าเรียกข้าว่ายังไงนะ?”
จากผู้อาวุโสใหญ่ลงมาเป็นผู้อาวุโสที่สอง จากผู้อาวุโสที่สองลงมาเป็นผู้อาวุโสที่สาม เรื่องนี้มันทำให้หรงซูปวดใจอย่างมาก และยังเป็นเรื่องที่หรงซูอับอายที่สุดด้วย
แต่ฉีซงคนนี้กลับพูดมันออกมา!
แต่ว่าฉีซงก็ตอบกลับมาอย่างเรียบเฉย “ผู้อาวุโสที่สาม เรื่องราวทั้งหลายนี้ล้วนเป็นการตัดสินใจของท่านเจ้าเมือง! ข้า…ฉีซงผู้นี้เป็นแค่ผู้น้อยคนหนึ่ง ผู้อาวุโสที่สามเองก็ถูกขังในนรกฟอกเทพมาถึงสามเดือนแล้ว ขออย่าได้ทำให้ผู้น้อยต้องลำบากไปกว่านี้เลย”
หรงซูกัดฟันกรอด เพราะคำพูดของฉีซงมันทำเอาเขาพูดไม่ออก
ใช่แล้ว เย่หยวนนั้นตั้งกฎขึ้นมา แล้วจะยังมีใครกล้าท้าทาย? ทำแบบนั้นมันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
หรงซูตอบอย่างไม่พอใจออกมา “เราอยู่กันตามลำพัง เจ้าจะยังกลัวอะไรอีก? ไอ้เจ้าเย่หยวนมันจะสามารถใช้มือปิดฟ้าได้จริงๆ หรือ? ชายแก่คนนี้ได้ออกมาครานี้ มันจะต้องได้ชดใช้คืนด้วยความตาย!”
ฉีซงหัวเราะเยาะในใจแต่ก็ยังทำหน้าตานิ่งเฉยได้ “ผู้อาวุโสที่สาม หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ฉีซงนี้เป็นแค่ผู้น้อย ขออย่าได้ทำให้ผู้น้อยต้องลำบากไปมากกว่านี้เลย”
หรงซูนั้นไม่พอใจมากแต่ก็ยกมือขึ้นมาโบกปัดไป “ช่างมันเถอะ ช่างมัน! แล้วฉีเฟิงไปไหน? เรียกเขาออกมาหาข้าหน่อย!”
ฉีซงบอก “ผู้อาวุโสที่สามมาผิดเวลาเสียจริงๆ ท่านผู้นำเพิ่งจะได้โอกาสดีและเข้าสู่การเก็บตัวไปได้ไม่นาน และดูท่าคงไม่ออกมาอีกในเร็ววันแน่”
เมื่อหรงซูได้ยินเขาก็ระเบิดความโกรธที่มีออกมา “หะ?! ในเวลาแบบนั้นมันกลับกล้าเข้าเก็บตัวรึ! หรือว่ามันอยากจะเห็นเย่หยวนมายืนเยี่ยวรดหัวตระกูลฉีกัน? ไอ้สารเลวนี่!”
หรงซูนั้นแสดงอารมณ์อันผิดหวังออกมา ดูท่าเขาคงโกรธไม่น้อยจริงๆ
ไม่เลือกที่จะเข้าช้าหรือเร็วกว่านี้แต่กลับมาเลือกเข้าเก็บตัวในจังหวะเวลานี้พอดี เวลาสที่หรงซูออกมาจากนรกฟอกเทพ
หากเป็นเมื่อก่อนฉีซงก็คงไม่มีปัญหาใดๆ แน่กับท่าทางนี้
แต่ตอนนี้เขาไม่พอใจมาก
เจ้าหรงซูคนนี้มันคิดจริงๆ หรือว่าตระกูลฉีเป็นแค่สุนัขรับใช้ของมัน?
ฉีซงบอก “เรื่องนี้ข้าเองก็ทำอะไรช่วยท่านไม่ได้ หากผู้อาวุโสที่สามมีเรื่องด่วนใดก็ขอโปรดให้มาใหม่วันหลัง”
ตอนนี้สีหน้าของหรงซูนั้นดูไม่จืด เขาหันมองหน้าฉีซงอย่างรุนแรงก่อนจะเดินจากไป
เมื่อหรงซูจากไป ฉีเฟิงก็ค่อยๆ ปรากฏกายออกมาและได้ยินฉีซงกล่าวขึ้นมาอย่างเคืองแค้น “ท่านผู้นำ เจ้าเฒ่าคนนี้มันคิดว่าตระกูลฉีเราเป็นแค่สุนัขของมันจริงๆ มันคือว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ในทุกวันนี้ยังเป็นเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เมื่อสามเดือนก่อนอีกรึ? หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าอยากจะขอแนะนำให้เราตัดสายสัมพันธ์ที่มีกับมันทั้งหมดไปเสียจะดีกว่า”
ฉีเฟิงตอบ “เจ้าคิดว่าแค่ตัดไปแล้วผู้อาวุโสใหญ่จะยอมรับเรารึ? พวกเราไปพัวพันมากจนเกินไปแล้ว! เฮ้อ…ตอนนี้ตระกูลฉีเราคงได้แต่เก็บเนื้อเก็บตัวให้เรียบร้อยอย่าได้ไปสร้างเรื่องใดๆ หากผิดพลาดไปตอนนี้มันคงไม่มีทางกู้คืนได้ไปตลอดกาลแน่!”
ฉีซงนั้นเปลี่ยนสีหน้าไปทันที “ท่านผู้นำ นี่ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่?”
ฉีเฟิงหันมามอง “เรื่องราวมันหนักหนากว่าที่เจ้าคิดมาก! วิชาของท่านผู้อาวุโสใหญ่นั้นมันเหนือล้ำกว่าที่ข้าหรือเจ้าจะเข้าใจได้ไปแล้ว! หากเขาอยาก เขาก็สามารถจะชุบเลี้ยงตระกูลใดก็ได้เหมือนกับที่เขาทำกับตระกูลหนิง! ถึงตอนนี้มันจะไม่ใช่สภาพที่ตระกูลหนิงและตระกูลฉีแย่งชิงอำนาจกันแล้ว ตระกูลฉีเราคงถูกทับหายไปจากสายตาผู้คนแน่ เจ้าคิดว่ามันหนักหนาไหมล่ะ?”
ฉีซงใจสั่นรัว เพราะวันนี้จู่ๆ เขาก็ได้รู้ว่าตระกูลฉีอยู่ในจุดที่วิกฤตหนักจนเกินกว่าจะมองออกได้จาเปลือกนอกแล้ว
ที่สำคัญ สิ่งที่ฉีเฟิงพูดมันยังไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลตัวเลย
ในเวลาแค่สองเดือน เมืองนี้ก็มีผู้บรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางมาได้กว่ายี่สิบคนแล้ว!
หากคนอื่นบรรลุกันหมดแล้วเรายังอยู่กับที่ ถึงตอนนั้น…ก็คงไม่พ้นต้องถูกเขี่ยจากอำนาจเป็นแน่
ตอนนี้มิใช่แค่ผู้อาวุโสหอยุทธ แม้แต่ผู้อาวุโสหอโอสถเองก็ไม่สามารถจะนั่งเฉยๆ ได้อีกต่อไป
ผู้อาวุโสหโอสถไม่อยากบรรลุหรือ?
พวกเขาต้องอยากบรรลุบ้างแน่อยู่แล้ว!
แต่ลำพังตัวพวกเขาเองนั้นไม่มีปัญญาพอจะหลอมโอสถเพื่อช่วยการบรรลุ
แต่ปัญหานั้นเย่หยวนแก้ไขให้ได้!
จะขอร้องเขาไหม?
จะยอมรับเขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ไหม?
ในเวลาสามเดือนมานี้ กระแสลมในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มันได้เปลี่ยนทิศอย่างไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
หลังถูกปฏิเสธตั้งแต่หน้าประตูไปอีกหลายที่ หรงซูก็ได้รับรู้ถึงความแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้น
คนเหล่านั้นเหมือนจะตกลงกันมาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเก็บตัวหรืองานสำคัญ แต่พวกเขาล้วนปฏิเสธเขาราวกับหรงซูเป็นตัวเชื้อโรค ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
ระหว่างที่เขาทนทุกข์ในนรกฟอกเทพมานั้น เขาก็พยายามคิดหาทางที่จะออกมาเพื่อแก้แค้นอย่างมากมาย
แต่หลังออกมาได้ หรงซูกลับพบว่าตัวเขาได้กลายเป็นผู้เดียวดายไปเสียแล้ว
สมองที่เต็มไปด้วยแผนการ แต่กลับไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้แม้แต่อย่างเดียว
จนในที่สุดหรงซูก็กลับมาหาศิษย์ของเขา ซ่งฉีหยาง เมื่อถามศิษย์หรงซูจึงได้รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาหายไป
หรงซูนั้นใจสั่นรัว เขาไม่เคยนคิดเคยฝันเลยว่าเย่หยวนที่เพิ่งจะบรรลุมาได้ไม่นานคนนั้นกลับจะสามารถมีความรู้ความสามารถด้านโอสถได้อย่างน่ากลัวเพียงนี้แล้ว!