Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1703 เพราะตาเจ้ายังไม่บอด!
ตอนที่ 1703 เพราะตาเจ้ายังไม่บอด!
“น้องชายท่านนี้ข้าเห็นว่ากระดูกของเจ้านั้นเปี่ยมไปด้วยพลังที่เหนือล้ำ แต่เจ้านั้นมีธงพิบัติ! มาเร็ว ให้ข้าได้ช่วยทำนายแก้ไขความหายนะนั้นให้แก่เจ้าเอง!”
“น้องชายท่านนี้ ข้าผู้นี้คือทายาทโดยตรงจากตระกูลเจียน ดูสีหน้าเจ้าหม่นหมอง ดูท่าคงเพิ่งเจอเรื่องเลวร้ายมา! มาเร็ว มาให้ข้าผู้นี้ได้ช่วยบอกหาทางแก้ไขปัญหานั้นให้แก่เจ้าเอง”
“สูงใหญ่ดั่งภูผา ทอดยาวดั่งสายน้ำ เดินทางตากลมฝน น้องชายท่านมาที่นี่เพื่อหาผู้คนใช่หรือไม่?”
…
ภายในเมืองจักรพรรดิเลิศประกายนั้นมันเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศที่แสนเป็นเอกลักษณ์
เย่หยวนเดินผ่านถนนไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนหลงเข้ามาในดงหมอดูข้างถนน มีแต่คนตะโกนจะมาบอก มาดูดวงชะตาของเขาให้อย่างไม่มีหยุดพัก
บ้างก็พูดอะไรที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ จนทำให้ผู้คนอาจจะหลงเชื่อไปได้หากไม่ได้ลองฟังดีๆ
“คนพวกนี้มันคิดจะมาหลอกลวงต้มตุ๋นผู้คนกันเต็มที่เลยใช่ไหมเนี่ย? มันจะมีใครโง่หลงเชื่อจริงๆ หรือ?” เย่หยวนถามหวู่เฉินด้วยสภาพดูไม่จืด
แต่หวู่เฉินกลับตอบมา “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การหลอกลวงต้มตุ๋นใดๆ ทั้งสิ้น”
เย่หยวนนั้นประหลาดใจกับคำตอบนั้นมาจนต้องถามขึ้น “ไม่ใช่? หรือว่าพวกเขาเหล่านี้จะมองเห็นอนาคตผู้คนได้จริงๆ?”
หวู่เฉินพยักหน้ารับ “ได้สิ! วิชาของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นเกี่ยวพันกับดวงชะตา คนเหล่านี้ที่มาเปิดร้านข้างทางนั้นต่างมีสายเลือดของตระกูลเจียนอยู่ มันแค่น้อย หากผู้ที่มีดวงชะตาแข็งแกร่งจริงๆ พวกเขาจะอ่านไม่ออก แต่คนที่ดวงชะตาแข็งแกร่งปานนั้นมันจะมีมากมายได้หรือ? คนส่วนใหญ่นั้นมีแต่คนธรรมดาๆ เหล่านักยุทธเช่นเราๆ นั้นล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตโดยฝากมันไว้กับโชคชะตาเป็นส่วนใหญ่ บ้างอาจจะถึงขั้นมาที่เมืองนี้เพื่อให้หมอดูเหล่านี้ทำนายดวงชะตาก่อนจะเข้ามิติวิเศษไปเสียด้วยซ้ำ แล้วคนเหล่านั้นจะมีสักกี่คนที่ได้พบตระกูลเจียนจริงๆ? นั่นทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นตัวเลือกแรกไปทันที แม้ว่ามันอาจจะไม่แม่นยำนัก แต่มันก็ยังพอช่วยให้พวกเขาทั้งหลายลูบๆ คลำๆ หาทางเดินหลบรอดจากหายนะไปได้”
เย่หยวนเองก็ตื่นตกใจมากเมื่อได้ยิน เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องราวมันจะลึกลับซับซ้อนถึงขนาดนี้
เพราะคนเหล่านี้มันดูเลื่อนลอยจนไม่มีอะไรให้เขารู้สึกเชื่อถือได้เลย
เย่หยวนไม่คิดว่าพวกเขาทั้งหลายนี้จะมีความสามารถใดๆ ด้วยซ้ำ
เย่หยวนเองจึงตื่นตกใจมากเมื่อได้รู้ความจริง ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จะต้องแข็งแกร่งปานไหนกันถึงขนาดที่ว่าแค่เศษของสายเลือดยังทำให้มีพลังวิเศษสามารถมองดูชะตาผู้คนได้แบบนี้
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในเมืองจักรพรรดิเลิศประกายถึงได้มีนักยุทธอยู่มากมายปานนี้ ดูท่าคนทั้งหลายนี้ล้วนแล้วแต่จะมาเพื่อรับการทำนายดวงชะตาของตน
มันต่างจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เพราะนักยุทธส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมืองจักรพรรดิเลิศประกายนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนนอกทั้งสิ้น
ตอนนี้เหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้านั้นมีให้เห็นเกลื่อนกลาดตามถนน
จะพูดว่ามีนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าเดินกันเต็มท้องถนนไปหมดก็คงไม่ผิดนัก
“คนพวกนั้นน่าจะพอรู้ว่าศาลามายาล้ำนั้นอยู่ที่ใด ไปถามดูกัน” เย่หยวนบอกหนิงเทียนปิง
แต่จู่ๆ ก็มีเด็กสาวเดินเข้ามากล่าวทักทายเย่หยวนอย่างแผ่วเบา “นายท่าน ดูดวง? มาบ้านข้า พ่อข้ามีวิชาการดูดวงอยู่บ้าง”
เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดที่จะมาดูดวงใดๆ แต่แรกแล้วและแค่คิดที่จะถามทางเท่านั้น แต่เด็กสาวคนนี้มีสภาพร่างกายที่แสนน่าสังเวช เย่หยวนจึงใจไม่แข็งพอที่จะกล่าวปฏิเสธออกไป
“งั้น…ดูดวงหน่อยแล้วกัน! เทียนปิงเจ้าไปสิ” เย่หยวนบอก
หนิงเทียนปิงยืนนิ่งไปพักหนึ่งพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเอง “ข-ข้า?”
เย่หยวนกล่าวดุด้วยรอยยิ้ม “ข้าสั่งให้ไปก็ไปสิ จะมาเรื่องมากอะไรอีก?”
หนิงเทียนปิงจึงรีบพยักหน้าทันที “ขอรับ!”
เหล่าร้านดูดวงข้างทางนั้นมีให้เห็นกันเกลื่อนถนน แค่มองผ่านไปก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่ได้เก่งกาจใดๆ
ไม่ไกลออกไปจะมีร้านที่ป้ายเขียนด้วยลายหวัดพร้อมปล่อยคลื่นพลังออกมา ดูท่าแล้วร้านนั้นคงเป็นร้านระดับสูงไม่ผิดแน่
ที่หน้าร้านทั้งหลายนั้นมีเสียงผู้คนร้องเรียกลูกค้าไม่ขาดสาย พยายามดึงตัวคนที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามาดูดวง
พวกที่กล้าจะตะโกนเสียงดังนั้น ค่อนข้างจะมีลูกค้าไม่น้อย
ส่วนบ้านของเด็กสาวคนนี้มันช่างดูรกร้าง ไม่มีใครคิดที่จะสนใจเลยแม้แต่น้อย
ดูท่าเหล่าคนที่ออกมาตั้งร้านริมถนนแบบนี้คงเป็นผู้ที่มีสายเลือดแสนเบาบางจางกว่าสิ่งใด ทำให้แม้แต่ตระกูลเจียนก็ไม่คิดที่จะต้อนรับพวกเขา
พวกเขาจึงต้องออกมาทำมาหากินด้วยวิธีการเช่นนี้แทน
ไม่เช่นนั้นทั้งๆ ที่มีสายเลือดของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มีหรือที่จะใช้ชีวิตในสภาพทรุดโทรมแบบนี้ได้
เย่หยวนนั้นเดินเข้าไปดูด้านในและพบว่าพ่อของเด็กสาวเองก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน แค่เดินยังดูลำบาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะให้เด็กสาวตัวน้อยๆ เดินออกไปเรียกหาลูกค้าให้แทน
เมื่อเย่หยวนเห็นเขาก็เดินเข้าไปพร้อมยกมือขึ้นทันที “ท่านผู้เฒ่า ขอให้น้องชายคนนี้ของข้าได้ดูดวงทำนายรัศมีด้วยเถอะ”
คนเฒ่านั้นมองออกมาอย่างหมดแรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายในชีวิต เมื่อได้เห็นว่ามีลูกค้าเขาก็จึงพยายามจะฝืนยิ้มออกมาและบอกหนิงเทียนปิง “เชิญนั่งก่อน! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าน้องชายท่านนี้อยากดูเรื่องใด?”
หนิงเทียนปิงบอก “เรามาที่เมืองจักรพรรดิเลิศประกายเพื่อหาคน ผู้เฒ่า ท่านแค่ช่วยดูให้หน่อยว่าการเดินทางในครั้งนี้มันจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่!”
ชายแก่พยักหน้ารับและหยิบกระดองเต่าเสี่ยงทายออกมาก่อนจะเริ่มใส่ปราณเทวะของตนเข้าไป
ปราณเทวะลึกลับแพร่ออกมา แต่เย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะต้องส่ายหัวออกมา
เพราะปราณเทวะลึกลับนี้มันช่างแสนที่จะอ่อน เทียบกับเจียนเจิ้นเทาแล้วมันต่างกับราวสุดปลายฟ้ากับก้นเหว ไม่แปลกใจเลยที่คนเช่นนี้จะตกต่ำเหลือแค่ซากเช่นนี้
ชายแก่คนนั้นเขย่าไปมาสักพัก ก่อนที่จะขมวดคิ้วแน่น “น้องชายท่านนี้ ขออภัยที่เฒ่าผู้นี้เสียมารยาท แต่การเดินทางของเจ้า…ดูท่าจะไปไม่สวยนัก แต่ว่าด้วยความช่วยเหลือจากผู้สูงส่งท่านหนึ่งปัญหาทั้งหมดมันจะผ่านไปได้ด้วยดี”
หนิงเทียนปิงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยิน “ฮ่าๆ งั้นก็ดีแล้ว! ท่านผู้เฒ่า เท่าไหร่?”
ระหว่างที่ว่าไป หนิงเทียนปิงก็เตรียมจะควักเงินจ่าย แต่เป็นเย่หยวนที่เกิดสงสัยจนถามขึ้นมาก่อน “ผู้เฒ่า เมื่อท่านรู้ศาสตร์แห่งการดูรัศมีด้วย งั้นท่านจะช่วยดูดวงชะตาข้างหน้าของเขาให้หน่อยได้หรือไม่”
ชายแก่พยักหน้ารับและปล่อยปราณเทวะออกมาอีกครั้งพร้อมๆ กับมองดูที่หนิงเทียนปิง
เมื่อมองดูแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและส่ายหัวออกมาอย่างแรง “น้องชายทั้งสองท่าน ขออภัยในความไร้ความสามารถนี้ด้วยแต่เฒ่าคนนี้ไม่อาจจะมองดูชะตาวันข้างหน้าของพวกเจ้าได้เลยแม้แต่น้อย”
เย่หยวนยิ้ม “ท่านพูดมาเท่าที่เห็นก็พอ ไม่ต้องเกรงใจใดๆ”
ชายแก่มีใบหน้าที่ไม่ค่อยดีนักก่อนจะบอก “งั้น…ก็ได้! น้องชายท่านนี้มีอนาคตที่แสนยิ่งใหญ่ ลำพังพลังของเฒ่าคนนี้ไม่สามารถจะมองมันออกได้เลย แต่ด้วยประสบการณ์ของเฒ่าคนนี้แล้ว สีชะตาของเขาไม่น่าจะต่ำกว่าสีครามเป็นแน่!”
หนิงเทียนปิงนั้นดีใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ครามนั้นคือสีดวงชะตาที่นับได้ว่าอยู่ค่อนไปทางสูงมากทีเดียว
เพราะเหล่านักยุทธทั่วๆ ไปจะมีแค่สีเหลืองหรือต่ำกว่านั้น
ดูท่าตั้งแต่ที่เขาได้พบเย่หยวน ชะตาของเขามันจะมีแต่พุ่งสูงพัฒนาขึ้นไปไม่หยุด!
หนิงเทียนปิงบอก “งั้น…นายใหญ่ข้าล่ะ?”
เมื่อหนิงเทียนปิงถาม สีหน้าของชายแก่คนนั้นก็แย่ลงอย่างชัดเจนก่อนจะบอก “น้องชายท่านนี้…ไร้สีใด ดูเหมือนจะ…หลุดจากการจัดอันดับ!”
สิ่งที่ชายแก่เห็นจากตัวเย่หยวนนั้นมันไม่มีอะไรที่โดดเด่น ศาสตร์การดูรัศมีของเขานั้นมันไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย
เขาได้ดูคลื่นพลังผู้คนมาก็มากมาย แต่ยังไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีสภาพเช่นนี้มาก่อนเลย
“ฮ่าๆ! ขยะที่ไม่ติดอันดับกลับกล้ามาคิดดูดวงด้วย! นี่เด็กน้อย เจ้ายังอยากจะมีหน้าเดินในเมืองนี้ไหมเนี่ย?”
จู่ๆ ก็เกิดเสียงหัวเราะลั่นออกมาจากด้านนอก ชายหนุ่มคนหนึ่งพาคนติดตามหลายคนเดินตามมาช้าๆ ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน
เด็กสาวหน้าถอดสีและรีบผลักตัวเย่หยวนไปทันทีด้วยน้ำเสียงสุดสั่นเครือ “ท-ท่านรีบไป ขออภัยแต่ท่านรีบไป!”
เย่หยวนนั้นไม่มีทางขยับเพราะแรงผลักนั้นอยู่แล้ว เขาหันไปมองหน้าของชายหนุ่มด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น “เจ้าเองก็รู้ศาสตร์แห่งการดูรัศมี?”
ชายหนุ่มนั้นเหมือนได้ยินสุดยอดมุขตลกและหัวเราะลั่นออกมาอีกครั้ง “ข้าก็รู้? เจ้าล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย? นายน้อยผู้นี้คือนายน้อยเจียนหยู่ ทายาทสายตรงจากตระกูลเจียน เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้วิชาของตระกูลหรือ?”
เย่หยวนได้รู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายจึงพูดขึ้น “งั้นเจ้าเองก็คิดว่าอนาคตของข้ามันไม่ติดอันดับ?”
เจียนหยู่บอกอย่างดูถูก “บ้าบอ! นายน้อยผู้นี้ได้มองดูรัศมีของเจ้าแล้ว และมันกลับเบาบางเสียยิ่งกว่าน้ำเปล่า! นายน้อยผู้นี้ไม่เคยพบเจอใครที่มีพลังต่ำตมขนาดนี้มาก่อนเลย นี่เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?”
เย่หยวนยิ้ม “เช่นนั้นวิชาการดูของเจ้ามันก็คงต่ำตมแล้ว ความสามารถของเจ้ามันยังไม่ถึง!”
เจียนหยู่เปลี่ยนสีหน้าไปทันที “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงกล้ามากล่าวว่าศาสตร์การดูรัศมีของข้าเช่นนี้?”
ในฐานะทายาทตรงตระกูลเจียน เจียนหยู่ผู้นี้จึงมั่นใจในศาสตร์การดูของตัวเองมาก ได้ยินเย่หยวนพูดแบบนั้นเขาจึงโกรธขึ้นเป็นฟืนเป็นไฟ
เย่หยวนบอก “แน่นอนว่าข้านั้นมีสิทธิว่า เพราะ…ตาเจ้ายังไม่บอดยังไงล่ะ!”