Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1742 วิหารนักบวช
เมืองจักรพรรดิต้นทรราชนั้นเป็นเมืองจักรพรรดิระดับสูงในฝั่งที่ราบเทพอสูรใกล้เทือกเขาเทพอสูร
เผ่าอสูรนั้นแตกต่างจากมนุษย์ ด้วยความที่มีเผ่าพันธุ์อันหลากหลาย ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ที่สำคัญเผ่าอสูรบางเผ่ายังฉลาดปราดเปรื่องไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย
เหล่าอสูรพวกนั้นจะแปลงกายเป็นมนุษย์และสร้างรูปร่างหน้าตาของตัวเองขึ้น
เพราะฉะนั้นในที่ราบเทพอสูรนี้มันจึงเกิดเมืองต่างๆ ขึ้นมาตามๆ กัน
เหมือนกับมนุษย์
แน่นอนว่ามันยังมีเผ่าอสูรแสนฉลาดบางเผ่าที่ไม่คิดอยากจะแปลงกาย
พวกเขาทั้งหลายนั้นจะใช้ชีวิตอยู่บนเทือกเขาเทพอสูร ปกครองดินแดนแสนกว้างใหญ่ ปกครองเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย
นอกวิหารนักบวชของเมืองจักรพรรดิต้นทรราช มีกลุ่มอสูรหนุ่มกำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าหมดแรง
วันนี้เป็นวันที่ทางวิหารนักบวชจะเปิดรับศิษย์ ทำให้เหล่าอสูรหนุ่มทั้งหลายต่างมารวมตัวกันที่วิหารนักบวชเพื่อเข้ารับการทดสอบ อยากจะเป็นนักบวชฝึกหัด
ในเผ่าอสูรนี้นักบวชจากวิหารนักบวชนั้นเป็นสิ่งที่แสนจะสูงส่ง
วิหารนักบวชนั้นคล้ายกับสมาคมนักหลอมโอสถของฝั่งมนุษย์ แต่มันก็แตกต่างกัน
ต่อให้อสูรตนใดจะสามารถทำการหลอมโอสถได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นนักบวชได้
พวกเขาต้องมีฝีมือระดับหนึ่งและได้รับการยอมรับจากทางผู้อาวุโสของวิหารเท่านั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงจะได้เป็นนักบวชอย่างแท้จริง
เมื่อได้เห็นนักบวชแล้ว พวกเขาก็จะนับได้ว่ามีสถานะสูงส่งอย่างมากในหมู่เผ่าอสูรด้วยกัน
แต่ให้จะเป็นอสูรที่ยังไม่สามารถแปลงกายได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้าที่จะมาลบหลู่นักบวชง่ายๆ
เพราะว่าวิหารนักบวชนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาจากขั้วอำนาจอันแสนยิ่งใหญ่ในเผ่าอสูร มันจึงมีตำแหน่งและสถานะสูงส่งมากในเผ่าอสูร
“เห็นนั่นไหม? นั่นมันนักบวชฝึกหัดกงหลินที่ท่านอาจารย์ฮั่วหรงรับเข้าไปคราก่อน ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ขึ้นเป็นนักบวชแล้วเมื่อปีก่อน”
“ข้าล่ะอิจฉาเขาจริงๆ! นักบวชฝึกหัดนี่มันจะสอบยากเกินไปแล้ว ข้าอุตส่าห์ลงสอบตั้งหลายสิบครั้งก็ยังไม่ผ่านเสียที!”
“เจ้ายังเคยเข้าสอบแค่สิบกว่าครั้ง? ข้านี่สอบมาเป็นร้อยครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ผ่านเสียที!”
“เฮอะ เหมือนกันแหละ! การสอบแต่ละครั้งมันล้วนมีตัวเต็งชนะมาก่อนแล้ว และคราวนี้มันก็คงไม่พ้นมู่หยวนชุนใช่ไหม?”
…
เหล่าอสูรหนุ่มกำลังคุยกันอย่างดุเดือด บ่นออกมาตามๆ กันว่าการสอบนักบวชฝึกหัดมันแสนจะยากเย็น
ดูท่าแล้วการจะขึ้นเป็นนักบวชในเผ่าอสูรนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
การทดสอบของนักบวชฝึกหัดนี้มันจะเกิดขึ้นทุกๆ สิบปี หากไม่ผ่านหลายสิบหลายร้อยรอบมันก็เท่ากับว่าเสียเวลาไปกว่าพันปี
และการใช้เวลากว่าพันปีกับอะไรบางอย่างและยังไม่สามารถขึ้นไปได้ถึงจุดเริ่มต้น มันก็แสดงได้อย่างดีแล้วว่าเรื่องที่กำลังทำนั้นมันยากเย็นเพียงใด
ตอนนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินผ่านเข้าไปในวิหารทำให้ผู้คนต้องมองตามอย่างอดไม่ได้
“เอะ มนุษย์! ทำไมมนุษย์ถึงมายังวิหารนักบวชกัน?”
“เขาเดินไปทางโต๊ะรับสมัคร หรือว่า…เขาคิดที่จะสมัครการสอบนักบวช?”
“ฮ่าๆ เจ้ามนุษย์นี่สมองเพี้ยนหรือ? มนุษย์จะไปหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?”
“มนุษย์พลังบ่มเพาะแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวกลับไม่ตายตั้งแต่หน้าประตูเมือง แค่เรื่องนี้มันก็ปาฏิหาริย์แล้ว!”
…
แน่นอนว่ามนุษย์คนที่กำลังถูกพูดถึงนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหนนอกไปเสียจากเย่หยวนที่มาถึงยังที่ราบเทพอสูรผ่านทางเทือกเขาเทพอสูร
เย่หยวนถามถึงเส้นทางที่ปลอดภัยจากพวกด้วนเผิงและในที่สุดก็ผ่านเทือกเขาเทพอสูรมาได้อย่างปลอดภัย
แต่ว่าที่ราบเทพอสูรนั้นเป็นพื้นที่แสนกว้างใหญ่ หากอยากหาอิ้งหมัวหู่ให้เจอแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ยากราวงมเข็มในมหาสมุทร
และเย่หยวนก็ได้ยินเรื่องของวิหารนักบวชจากหวู่เฉินมา เขาจึงคิดวิธีได้ว่าเขาจะใช้เส้นสายพลังที่ยิ่งใหญ่ของวิหารนักบวชนี้ในการช่วยตามหาตัวอิ้งหมัวหู่ นั่นทำให้เย่หยวนเลือกที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการทดสอบนักบวชฝึกหัดที่กำลังจัดขึ้นพอดี
“ผู้อาวุโส ข้าอยากลงสมัครเข้าสอบเป็นนักบวช” เย่หยวนบอกออกมาต่อชายแก่ที่โต๊ะรับสมัคร
ชายแก่หันมามองเย่หยวนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะส่ายหัวออกมา “มนุษย์จะมาทำประโยชน์อะไรให้วิหารนักบวชเราได้? ไปเสียเถอะ หากยังคิดสร้างเรื่องราวใดต่ออย่าหาว่าเฒ่าคนนี้เสียมารยาท!”
เย่หยวนยิ้มและปล่อยปราณอสูรเทวะออกมา
นั่นทำให้เฒ่าคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีและถามขึ้นมาอย่างมึนงง “ทำไมมนุษย์เช่นเจ้าจึงได้มีปราณอสูรเทวะที่บริสุทธิ์ขนาดนี้กัน?”
เพราะว่าร่างกายของพวกอสูรนั้นแตกต่างจากมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขามีปราณที่แตกต่างกัน แยกออกได้อย่างง่ายดาย
เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้น้อยนั้นแท้จริงแล้วเป็นลูกครึ่งอสูร เรื่องปราณอสูรเทวะนั้นจึงมิใช่ปัญหาเลย”
การที่เย่หยวนมีปราณอสูรเทวะนั้นย่อมไม่ใช่เพราะว่าเขามีสายเลือดอสูรใดๆ เพียงแต่เพราะว่าปราณเทวะโกลาหลของเขานั่นเอง
เฒ่าคนนั้นหันมามองเย่หยวนอย่างสงสัย “เช่นนั้นเจ้าคงใช้ชีวิตในแดนมนุษย์มาแสนนาน? โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันไม่ใช่ของง่ายๆ ที่ใครอยากทำก็หลอมทำได้ในทันทีที่เริ่มเรียนนะ! เห็นพวกนั้นไหม? บ้างฝึกฝนมานับพันปีแต่ก็ยังหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณภาพไม่ได้ เจ้าน่ะ…ลืมเรื่องนี้ไปเสียเถอะ!”
ชายเฒ่าคนนี้มีหน้าที่ในการรับสมัคร เขาย่อมต้องมีหน้าที่คัดกรองผู้สมัครไปด้วยในระดับหนึ่ง
หากให้หมูหมากาไก่ไร้ที่มาไร้ฝีมือเข้าร่วมการทดสอบ การทดสอบนักบวชนี้มันคงไร้ค่าลงมาก
เย่หยวนเองก็เข้าใจถึงความกังวลในเรื่องนี้ของชายชราได้ทันทีและตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ หากข้าไม่ผ่านข้าพร้อมที่จะรับการลงทัณฑ์จากวิหารนักบวชเต็มที่!”
นั่นทำให้ชายชราผงะไปเล็กน้อย แต่เขาก็หัวเราะออกมาในที่สุด “หึ ช่างอวดอ้างไร้ยางอาย! ด้วยอายุของเจ้านั้นต่อให้เป็นในหมู่นักหลอมโอสถฝั่งมนุษย์ เจ้าเองก็คงนับว่าเป็นคนหนุ่มมากใช่ไหม? โอสถศักดิ์สิทธิ์และโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันแตกต่างกันคนละเรื่องด้วยการหลอมคนละระบบ แล้วคนอย่างเจ้าเนี่ยนะคิดอยากผ่านการทดสอบของวิหารนักบวช?”
ที่ด้านหลังเย่หยวนปรากฏอสูรหนุ่มคนหนึ่งขึ้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความดูถูก เขาคนนี้ก็คือมู่หยวนชุนที่ทุกผู้คนพูดถึงนั่นเอง
โอสถศักดิ์สิทธิ์และโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันหลอมขึ้นด้วยระบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะมาทำการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์
ฝั่งเผ่าปีศาจนั้นยังมีระบบที่คล้ายกับมนุษย์ การหลอมของพวกเขาเองก็ได้รับสืบทอดวิทยาการมาจากมนุษย์มันจึงไม่ได้แตกต่างกันมากมาย
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงใช้วิถีโอสถของคนสร้างชื่อเสียงไปทั่วทั้งเผ่าปีศาจได้ ถึงกับทำให้เหล่าผู้นำของเผ่าปีศาจต้องหันมาสนใจ
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น!
แม้ว่าเย่หยวนจะสามารถเข้าใจในศาสตร์ของโอสถอสูรอย่างมากตอนที่ยังอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่หลังจากเหล่าอสูรขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้ามาได้รากฐานของพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันแตกต่างจากตอนที่พวกเขายังเป็นอสูรธรรมดานัก
แม้แต่จอมเทพนิรันดร์เองก็ไม่สามารถที่จะหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เลยเพราะว่าตัวเขานั้นไร้ซึ่งปราณอสูรเทวะ
เพราะเช่นนั้นเองนี่แหละเย่หยวนจึงได้มาร่วมการทดสอบของวิหารนักบวชที่ดูเหมือนจะเป็นการทดสอบระดับต่ำที่สุด
เพราะครานี้เย่หยวนพร้อมเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้นใหม่
เพราะเอาจริงๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เลย
แน่นอนว่าตอนนี้ขอบเขตความรู้ด้านโอสถของเย่หยวนนั้นมันแตกต่างอย่างเทียบไม่ได้กับนักหลอมโอสถทั่วๆ ไปแล้ว
หากให้เทียบก็คงเป็น ‘แม่น้ำทุกสายย่อมไหลลงทะเล’
ความเข้าใจในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนนั้นมันเหนือล้ำจนถึงขั้นเห็นเหตุการณ์ก็รู้ถึงหลักการได้
แม้ว่าระบบการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นจะแตกต่างไป แต่มันก็ยังเป็นการหลอมโอสถอย่างหนึ่งเช่นกัน
เย่หยวนมีความมั่นใจมากว่าตัวเองจะเข้าใจมันได้มากพอที่จะทำให้วิหารนักบวชยอมรับในตัวเขา
เย่หยวนหันไปมองดูที่มู่หยวนชุน “พลังในการหลอมโอสถนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับพลังฝีมือไหม?”
มู่หยวนชุนหัวเราะ “บ้าบอ! แน่นอนสิว่าเกี่ยว พลังในวิถีโอสถนั้นมันเกิดขึ้นมาจากการสั่งสมบ่มเพาะนานปี! แค่เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจแล้วเจ้ายังคิดจะเข้ารับการทดสอบอีกรึ? ข้าล่ะหมดคำจะพูดกับตัวปัญหาอย่างเจ้าจริงๆ!”
เย่หยวนตอบกลับไป “งั้นข้าจะบอกเจ้าให้ สามัญสำนึกของเจ้ามันใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอกนะ!”
………………………….