Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1802 บรรเลงพิณ
เงาร่างหลายคนพุ่งตัวออกมาจากยอดเพลิงเมฆา ทุกผู้คนนั้นต่างมีท่าทางรีบร้อนอย่างมาก
เชียนเย่ อี้ชิงเซียง เจียงเชอเหยียนและพวกต่างกลับออกมาด้วยสภาพรุ่งริ่งราวกับเป็นขอทานที่เดินทางมาจากเดินไกล
ซ่งถิง ต้วนชิงหง จงฮันหลินและพวกนั้นกลับยิ่งมีสภาพที่น่าสมเพชเสียยิ่งกว่า ตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บอย่างสาหัสจนอาจถึงแก่ความตายได้ในไม่ช้า
แม้ต้องเผชิญการล้อมจากสามยอดสัตว์อสูรนั้นคนกลุ่มนี้กลับสามารถฝ่ามันกลับออกมาได้ในที่สุด แม้ว่าจะต้องบาดเจ็บเสียหายกันไปถ้วนหน้าก็ตามที
เชียนเย่นั้นได้แต่กัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น “นรกเสียจริง! สัตว์อสูรระดับห้านั้นเป็นตัวตนที่แสนหยิ่งยโส เหตุใดพวกมันจึงได้มารวมตัวกันอยู่เช่นนี้ได้?”
ตอนนี้เจียงเชอเหยียนนั้นไม่เหลือสภาพของนางงามนางฟ้าใดๆ แล้วนางนั้นมีสภาพเหมือนกับคนบ้าก็ไม่ปาน
ได้ยินคำของเชียนเย่ นางจึงตอบกลับมาด้วยลมหายใจหนักๆ “ไอ้สัตว์อสูรพวกนั้นมันน่าจะเป็นถึงราชันของยอดเพลิงเมฆาแท้ๆ เหตุใดมันจึงออกมาในพื้นที่เดียวกันได้เช่นนี้?”
เชียนเย่หันไปหัวเราะ “ช่างมันเถอะ เมื่อสามสัตว์อสูรนี้มันปรากฏตัวออกมาพร้อมกันแล้วไอ้เด็กคนนี้ก็ย่อมไม่มีทางรอดเหลือซากร่างไปได้แน่ๆ”
คนทั้งหลายได้แต่พยักหน้ารับเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เพราะถึงแม้พวกเขาจะติดใจสงสัยปรากฏการณ์นี้มากแค่ไหนมันก็ไม่มากพอจะทำให้พวกเขาอยากเข้ายอดเพลิงเมฆาอีกครั้ง
ไม่ว่าอย่างไรดูจากร่องรอยแล้ว เย่หยวนย่อมต้องเข้าไปในบริเวณนั้นเองผลที่ตามมามันก็คงไม่มีทางเป็นอื่นใดไปได้
เมื่อยืนยันได้แน่ชัดว่าเย่หยวนตายลงแล้วพวกเขาก็ย่อมไม่มีสนใจเรื่องราวใดๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลนี้อีกต่อไปแล้ว
อี้ชิงเซียงพูดขึ้นมาด้วยท่าทางไม่พอใจ “หากไอ้เด็กคนนั้นมันจะตาย มันก็ตายไป นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะต้องมาบาดเจ็บเจอความยากลำบากเช่นนี้เพราะมันอีก!”
เจียงเชอเหยียนบอก “เอาล่ะ เลิกบ่นสักที! หากไอ้เด็กนั้นมันยังอยู่มันคงเป็นภัยต่อเราสามนิกายใหญ่อย่างมาก! ตอนนี้พวกเจ้ารีบพาเจ้าสองคนนั้นกลับไปก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นมันคงได้ตายจริงๆ แน่!”
เชียนเย่และอี้ชิงเซียงหน้าถอดสีทันที พวกเขาพ่นลมออกมาจากจมูกและมุ่งหน้ากลับไปยังยอดผู้กล้าสวรรค์ทันที
…
หลังผ่านไปได้อีกหลายปี ตอนนี้ปรากฏเงาร่างหนึ่งมาถึงยังยอดผู้กล้าสวรรค์ ทำให้สายตาหลายๆ คู่ของศิษย์ในยอดนี้ต้องหันมามอง
“เอ๋ นั่นมันไป่หลี่ชิงหยานแห่งยอดพรรณสวรรค์นี่? ทำไมนางถึงได้มายังยอดผู้กล้าสวรรค์เรากัน?”
“สวยงามแท้! ที่สำคัญกว่าก็คือนางมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำอย่างมาก ข้าได้ยินว่านางเข้านิกายมาได้ไม่กี่ปีก่อน แต่ตอนนี้กลับสามารถบรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้แล้ว”
“ช่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้ ตอนนี้ทางนิกายต่างเร่งผลักดันให้นางฝึกฝนอย่างเต็มที่ คิดจะให้นางเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครานี้”
…
เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เรียกได้ว่าไป่หลี่ชิงหยานกลายเป็นดาวเด่นอย่างที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในนิกายเงาจันทร์เลย
นางนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันไปมาก แม้แต่ศิษย์เก่าก่อนหลายๆ คนยังต้องถูกนางก้าวข้ามไปได้อย่างง่ายดาย
กฎในการเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นคือต้องมีอายุขัยไม่เกินสองพันปี และยังต้องเป็นผู้ที่มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นไป
ในนิกายเงาจันทร์ทั้งสิ้นนั้นมีศิษย์อยู่หลายคนที่ผ่านเงื่อนไขนี้ได้
อย่างเช่นนั้นเจียงเชอเหยียนและเชียนเย่ พวกเขาต่างเป็นตัวเต็งของการไปร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่
เพียงแค่ว่าหากเอาพรสวรรค์ของพวกเขามาเทียบกับไป่หลี่ชิงหยานแล้วมันยังห่างชั้นกันไปมาก
ไป่หลี่ชิงหยานนั้นเริ่มแสดงผลงานออกมาได้ตั้งแต่ตอนสอบเข้า แถมด้วยอำนาจที่แข็งแกร่งของนิกายเหย้าอมตะแล้ว ทางนิกายจึงลำเอียงและเพิ่มทรัพยากรบ่มเพาะให้นางอย่างมากมาย
เมื่อมีทั้งพรสวรรค์และทรัพยากร ไป่หลี่ชิงหยานจึงพัฒนาฝีมือของตนได้อย่างก้าวกระโดดจนไม่มีใครตามหลังนางได้ทัน
ช่วงหลายปีมานี้ ไป่หลี่ชิงหยานแทบจะบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ได้แล้วด้วยซ้ำ
สำหรับศิษย์ทั่วๆ ไปแล้วการทำเช่นนี้ได้มันมิใช่เรื่องราวพลิกฟ้าดินใดๆ แต่มันก็ย่อมมิใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาอันแสนสั้น
“ศิษย์น้องท่านนี้ ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเย่หยวนอยู่ที่ใด?”
ไป่หลี่ชิงหยานหยุดศิษย์ราชันพระเจ้าเก้าดาวคนหนึ่งไว้ถาม ทำให้ศิษย์คนนั้นแทบจะสิ้นลมไปเพราะความตื่นเต้นดีใจ
เว้นเสียแต่ว่าคำถามนี้ เขาเองก็ไม่รู้ถึงคำตอบเช่นกัน
หลังถามคนมากมายไปได้แล้ว นางกลับพบว่าไม่มีใครรู้จักเย่หยวนเลย เรื่องนี้มันทำให้ไป่หลี่ชิงหยานมึนงงมาก
“บ้าน่า! ด้วยพรสวรรค์ความสามารถของเขาแล้วมีหรือที่เขาจะไร้ชื่อในยอดผู้กล้าสวรรค์นี้ได้?”
ไป่หลี่ชิงหยานเดินมาหาศิษย์ที่ดูแลเรื่องถ้ำหลวงด้วยความสงสัยอย่างมาก
“ศิษย์น้องท่านนี้ ข้าไป่หลี่ชิงหยานจากยอดพรรณสวรรค์ ข้าขอถามถึงที่อยู่ของเย่หยวนหน่อย”
ตอนนี้ไป่หลี่ชิงหยานนั้นมีคลื่นพลังของยอดคนอยู่เต็มเปี่ยมแล้ว
เมื่อพูดคุยกับศิษย์ธรรมดาๆ นางนั้นเป็นดั่งนางงามนางสวรรค์เหนือชั้นฟ้า ทำให้ผู้คนมิอาจกล้ามองจ้องตานางกลับมาได้
แต่มีเพียงเรื่องของเย่หยวนนี้เท่านั้นที่นางมิอาจสลัดมันไปจากใจได้
หวังเฉียนนั้นตายไปได้หลายปีแล้ว ศิษย์ที่ดูแลหน้าที่นี้ย่อมกลายเป็นคนใหม่ แต่ต่อให้ไป่หลี่ชิงหยานไม่ต้องแนะนำตัวเขาก็รู้จักนางมาแต่ไกล และแน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดจะปฏิเสธ
เขาเปิดดูในบันทึกและไม่นานก็พบชื่อเย่หยวนเข้า แต่มันกลับทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงไปทันที “ศิษย์น้อยเย่ท่านนี้ถูกส่งไปยังยอดเพลิงเมฆา ดูท่า…”
ไป่หลี่ชิงหยานสะดุ้งตกใจทันที นางรีบพุ่งตัวเข้าไปถามด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด “ดูท่าอะไร?”
ศิษย์คนนั้นตอบกลับ “ยอดเพลิงเมฆานั้นเป็นยอดรกร้างมีสัตว์อสูรอยู่ทุกหนแห่ง แถมยังมีถึงราชันสัตว์อสูรระดับห้าอยู่ด้วย ศิษย์ที่คิดขึ้นไปเปิดถ้ำหลวงบนนั้นไม่เคยมีใครกลับมาได้ เรื่องของศิษย์น้อยเย่คนนี้ มันไม่มีข่าวใดมาหลายต่อหลายปีแล้ว ดูท่า… เขาคงสิ้นชีพลงในยอดเพลิงเมฆาแล้ว”
ไป่หลี่ชิงหยานผงะกลับมาด้วยท่าทางไม่ยอมรับ “บ้าบอ! ด้วยพลังฝีมือของเย่หยวนมีหรือที่เขาจะตายด้วยน้ำมือของสัตว์อสูรได้?”
นางรู้ดีว่าเย่หยวนนั้นไปที่ใดมาบ้าง มีหรือที่นางจะยังคิดว่าเขาจะตายลงได้?
ศิษย์คนนั้นเห็นท่าทางโกรธสุดตัวของไป่หลี่ชิงหยานเขาจึงมิกล้าแม้แต่จะหายใจ ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าเปิดปากพูดใดๆ ต่อ
ระหว่างนั้นเขาก็สงสัยอยู่อย่างเต็มหัวใจว่าเย่หยวนคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงทำให้นางฟ้าท่านนี้โกรธเกรี้ยวได้ปานนั้น?
เมื่อเห็นว่าศิษย์คนนั้นไม่คิดพูดอะไรอีก ไป่หลี่ชิงหยานจึงได้แต่เม้มปากแน่นและหันหลังพุ่งตัวออกจากยอดผู้กล้าสวรรค์ไปหาเจียงเชอเหยียน
“ศิษย์พี่ เรื่องเย่หยวนท่านเป็นคนทำหรือ?” ไป่หลี่ชิงหยานถามขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แสนเย็นเยือก
เจียงเชอเหยียนเองก็รู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้มันคงปกปิดได้ไม่นานและยิ้มตอบกลับไป “เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยว ทุกอย่างมันเป็นฝีมือของเชียนเย่ หากเจ้าอยากแก้แค้นก็ไปจัดการกับเขาเลย”
ไป่หลี่ชิงหยานหน้าถอดสีลงทันที “แก้แค้น? เย่หยวนเขา… ตายลงแล้วจริงๆ?”
เจียงเชอเหยียนเล่าเรื่องที่นางเจอในวันนั้นออกมาด้วยรอยยิ้ม ทำให้ใบหน้างามๆ ของไป่หลี่ชิงหยานซีดเผือดลงในทันทีพร้อมด้วยอารมณ์ที่สุดแสนยากจะอธิบาย
“ข้า… ข้าเป็นอะไรไป? ข้านั้น… เกลียดชังเขามากแท้ๆ! ทำไมกัน… ทำไมข้าจึงรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาได้?”
เมื่อเจียงเชอเหยียนเห็นภาพตรงหน้านางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “เด็กคนนั้นมันยิ่งยโสและโอหังในฝีมือของตัวเองจนเกินไป มันไม่รู้จักการควบคุมตัวเอง สักวันไม่ช้านานมันก็คงต้องตายลงในนิกายเงาจันทร์เราอยู่ดี เท่านี้ก็ดีแล้วนี่? เจ้าจะได้ตั้งใจทำการบ่มเพาะและมุ่งหน้าขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ให้เร็วที่สุด จากนั้นเจ้าจะได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่”
ไป่หลี่ชิงหยานไม่คิดสนใจคำพูดนั้นและกลับออกมาด้วยท่าทางซึมๆ
หลายวันต่อมา ไป่หลี่ชิงหยานในชุดสีขาวสะอาดตาก็เดินมาจนถึงยอดเพลิงเมฆา
ไป่หลี่ชิงหยานที่มิได้แต่งหน้าตาใดๆ ในชุดสีขาวสะอาด มันราวกับว่านางนั้นเป็นหญิงสาวที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย
เบื้องหน้านางนั้นมีพิณเจ็ดสายวางอยู่
“เจ้าคนชั่วช้า! พิณของไป่หลี่ชิงหยานคนนี้จะถูกเล่นให้คนที่รักฟังเท่านั้น! แต่เจ้ากลับใช้วิธีสกปรกบังคับข้าและตามข้าไปในเทือกเขาเงาจันทร์! ข้าเกลียดชังเจ้า! ตอนนี้เจ้าและข้าอยู่ห่างกันคนละโลก คำสัญญาในวันนั้นข้าย่อมไม่มีทางรักษามันไว้ได้แล้ว วันนี้ข้าจะขอบรรเลงพิณของข้าเพื่อหวังว่าเจ้าที่อยู่ยังโลกหน้าจะได้ยินเสียงของมันบ้าง”
นิ้วทั้งสิบของนางดีดลงไปบนพิณเจ็ดสาย เสียงของเครื่องสายขนาดใหญ่ถูกส่งออกมาดังสะท้อนไปทั่วทั้งยอดเพลิงเมฆา
หลุมศพที่อยู่ห่างไกลนับหมื่นพัน มิมีคำพูดหอมหวานใดๆ เอ่ยต่อกัน
ในเสียงของพิณนั้นเปี่ยมไปด้วยความเศร้าและอ่อนโยนอย่างเจ็บปวดดังสะท้อนไปทุกหนแห่ง
เมื่อสิ้นเสียงพิณลง ไป่หลี่ชิงหยานกลับพบว่าใบหน้าของตนนั้นเต็มไปด้วยคราบของน้ำตา
“ที่แท้สายพิณของข้าก็ถูกเจ้าปั่นป่วนมาตั้งแต่แรกแล้ว” ไป่หลี่ชิงหยานพูดขึ้นมาส่งท้าย
…………………………