Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1814 รู้แจ้งทั้งนิกาย
เชียนเย่นั้นร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือด สายตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง
สำหรับคนอื่นแล้วเสียงกลองนี้คือประโยชน์อันมหาศาล
แต่กับเขาแล้วมันเหมือนเป็นคำสั่งตาย
“ผ-ผู้อาวุโสเถา ช-ช่วยข้าด้วย!”
เชียนเย่ดึงแขนของผู้อาวุโสเถาไว้ด้วยสีหน้าหมดหวัง
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างรอดูความผิดพลาดล้มเหลวของเย่หยวน ไม่มีใครคิดยึดเอาความรั้นของเย่หยวนมาเป็นจริงเป็นจัง
แต่ใครจะไปรู้ว่าไม่นานต่อมาเสียงกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่กลับจะดังสนั่นไปทั่วฟ้านิกายเงาจันทร์
ผู้อาวุโสเถานั้นอยู่ในสภาวะตื่นตกใจอย่างมากและยังไม่สามารถตั้งสติกลับมาได้
เชียนเย่ได้แต่ดึงแขนเขาติดๆ กันจนในที่สุดเขาก็สามารถกลับมาสู่โลกความจริงได้อีกครั้ง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ผู้อาวุโสเถาหันไปถามราวกับคนเพิ่งตื่นจากภวังค์
เชียนเย่ก้มตัวลงต่อหน้าผู้อาวุโสเถาบอกร้องบอก “ช-ช่วยข้าด้วย! ผู้อาวุโสเถาข้าไม่อยากตาย!”
เมื่อเสียงกลองทั้งเจ็ดดังขึ้น ร่างกายของเขาก็หมดแรงได้แต่ลงไปนอนกอง
สิ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้ในสมองตอนนี้คือการมีชีวิตอยู่ต่อไป
ผู้อาวุโสเถายกเท้าขึ้นเตะเชียนเย่ไปในทันทีที่ได้ยิน “เจ้าโง่ เจ้าไปท้าทายหาเรื่องตัวตนระดับใดมากัน?!”
เชียนเย่นั้นร้องไห้จนน้ำตาท่วมหน้า “ข้า… ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่า… มันกลับตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้จริงๆ?”
ตอนนี้เขานั้นเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจนแทบขาดอากาศตาย หากเขารู้ว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นเช่นนี้เขาก็คงไม่ยื่นหน้าออกไปให้ถูกตบหรอก
เพราะคนที่มีเรื่องกับเย่หยวนนั้นมันไม่ใช่แค่เชียนเย่แต่รวมไปถึงคนของนิกายดาบเมฆาและนิกายเหย้าอมตะด้วย
แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยื่นหน้าออกไปคิดสังหารเย่หยวนหลายต่อหลายครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลอบโจมตีครั้งแรก เขานั้นเกือบสังหารเย่หยวนลง
เรื่องนี้มันคงทำให้เย่หยวนโกรธแค้นมาก
เชียนเย่ย่อมไม่คิดว่าเย่หยวนจะทำอะไรเขาได้ ด้วยแค่ราชันพระเจ้าหกดาวต่อให้เป็นอัจฉริยะมาจากที่ไหนมันก็ต้องใช้เวลาในการเติบโตทั้งสิ้น
แต่เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนกลับใช้เวลาแค่สองร้อยปีก็อาจหาญพอจะสังหารเขาได้แล้ว
ที่สำคัญหลังจากเจียงหงออกหน้าแล้วเย่หยวนกลับยังดื้นรั้นจะไปตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ให้ได้อีก
และผลก็คือ… เขาตีได้…
เขาตีมันได้ครบจริง!
มีหรือที่ผู้อาวุโสเถาตอนนี้จะยังทำหน้าตาเป็นห่วงเป็นใย? ตอนนี้ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น
เขายกนิ้วขึ้นมาชี้ด่าเชียนเย่ “ไอ้เจ้าโง่! เจ้าไปสร้างยอดศัตรูให้แก่นิกายบุปผาเหินทั้งหมด! เจ้ารู้ไหมว่าการตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่มันหมายถึงอะไร? มันหมายถึงว่าจากนี้ไปเขาคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งคนแรกของนิกายเงาจันทร์ตั้งแต่บรรพกาลมา! มันหมายความว่าวันหน้าเขาจะเหนือล้ำกว่าทุกผู้คน! การคิดจะสังหารเจ้ามันคงเหนือแค่ต้องเอ่ยปากเท่านั้น! ถึงเวลานี้มันจะยังมีใครกล้ามาปกป้องเจ้าอีก? หา? ใครจะมาปกป้องเจ้า?”
ผู้อาวุโสเถานั้นต่างจากก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีเขาเห็นความดื้อรั้นของเย่หยวนเป็นแค่เรื่องตลก
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับพิสูจน์แล้วว่าตัวเองนั้นมีความสามารถแค่ไหน ตอนนี้มันเท่ากับว่านิกายบุปผาเหินได้สร้างยอดศัตรูที่แสนทรงพลังขึ้นมาแล้ว
นิกายบุปผาเหินนั้นคงถูกกดทับจากผู้อื่นจดไม่อาจโงหัวขึ้นได้ในวันหน้า
สถานการณ์ที่สามนิกายใหญ่แย่งชิงอำนาจกันมันคงต้องจบลงในไม่ช้านี้
เดิมทีแค่การปรากฏตัวของไป่หลี่ชิงหยานจากนิกายกายเหย้าอมตะมันก็สร้างความกดดันมหาศาลให้แก่นิกายบุปผาเหินแล้ว
ตอนนี้มันยิ่งเจอกับหายนะซ้ำซ้อนกันเข้ามาอีก
เชียนเย่ได้แต่ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับว่าร่างกายของเขาทั้งหมดไร้เรี่ยวแรงใดๆ
ผู้อาวุโสเถาหันไปมองเขาด้วยสายตาสงสารก่อนจะค่อยๆ ออกมาอย่างแผ่วเบา “ใจเย็นก่อน เรื่องราวของกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นมันยิ่งใหญ่ มันหมายความว่าคนทั้งนิกายจากหัวจรดหางนั้นติดค้างเขาอยู่หนึ่งเรื่อง การมาใช้มันเพื่อสังหารคนนั้น ข้าว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันคงไม่โง่ขนาดนั้นหรอก”
…
หลังจากเสียงกลองทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้วมันก็ไม่ได้หายไปไหน เสียงสะท้อนนั้นยังคงดังก้องไปทั่วทั้งนิกายเงาจันทร์อย่างไม่หยุดพัก
ตอนนี้เหล่าศิษย์นิกายเงาจันทร์แทบทั้งหมดเริ่มเข้าทำการเก็บตัวหลังจากได้ยินเสียงกลองนี้
ยอดเต๋าที่เสียงกลองนี้ส่งออกมามันผสานไปด้วยวรยุทธบ่มเพาะและเป็นประโยชน์แก่พวกเขามาก
เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ถูกตีขึ้นหลังจากก่อตั้งนิกายเงาจันทร์มานับหมื่นๆ ปี
ผ่านจุดนี้ไปมันคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ตอนนี้แม้แต่เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดก็ยังเริ่มเข้าสู่สภาวะเก็บตัวเช่นกัน
กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ ยอดเต๋าที่มันสะสมอยู่ภายในนั้นเหนือล้ำกว่าที่สมบัติล้ำค่าใดๆ จะมี
แต่ตอนนี้เป็นเย่หยวนที่ได้แต่อยู่อย่างเบื่อหน่าย
ร่างกายของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยหยาดเหงื่อเพราะการตีกลองนั้นมันไม่ได้ง่ายดายเลย
สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ก็ไม่อาจจะตีมันได้ หากเย่หยวนไม่ได้มีเขาน้อยแห่งถงเทียนแล้วเขาเองก็คงไม่อาจจะตีมันได้เช่นกัน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเย่หยวนก็ยังต้องใช้กำลังไปอย่างมากมายมหาศาลในการตีเจ้ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่
หลังนั่งพักอยู่นานในที่สุดเย่หยวนก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย
เพราะเขารับรู้ได้ว่าตอนนี้นิกายเงาจันทร์ทั้งหมดคงกำลังเข้าสู่สภาวะเก็บตัวทำความเข้าใจเสียงกลองนี้ คงไม่มีใครมาเพื่อหาตัวว่าเขาคือใครแน่
ส่วนเรื่องเชียนเย่ เขานั้นไม่ได้กังวลมากมาย
เขารู้ดีว่าด้วยเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่านิกายบุปผาเหินมันจะโง่เง่าเพียงใดพวกเขาก็คงไม่มีทางปล่อยให้เชียนเย่หนีรอดออกไปที่ไหนได้
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงเริ่มนั่งลงทำการบ่มเพาะปราณ
เสียงกลองนี้มันลั่นดังสะท้อนอยู่นานราวหนึ่งเดือน
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้มีศิษย์นิกายเงาจันทร์ทั้งหลายตั้งแต่หัวจรดหางได้รับประโยชน์กันไปไม่มากก็น้อย
หลายต่อหลายคนถึงขั้นบรรลุได้หลังจากได้ยินเสียงกลองนั้น
จนในที่สุดเสียงกลองก็จางหายไป ทำให้เหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดเริ่มลืมตาตื่นขึ้นมา
แต่สายตาที่พวกเขาใช้มองเย่หยวนนั้นมันแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
พวกเขารู้ดีว่านิกายเงาจันทร์ทั้งหมดนั้นติดหนี้บุญคุณเย่หยวนครั้งใหญ่
เรื่องที่ว่านั้นก็คือการที่เขาช่วยส่งคำสอนของบรรพบุรุษออกมาให้ฟัง
ประโยชน์ที่เสียงกลองนี้ก่อให้แก่นิกายเงาจันทร์นั้นมันเหนือล้ำ!
เจียงหงหรี่ตาลงทันทีที่สัมผัสได้ “เฉียวฟู เจ้ารู้แจ้งอีกแล้วรึ?”
เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาต่างก็หันไปมองเฉียวฟูเป็นตาเดียวด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
เฉียวฟูนั้นมีคลื่นพลังที่รุนแรงกว่าเก่าเมื่อตอนเดือนก่อนมาก
ดูท่าแล้วประโยชน์ที่เขาได้รับจากเสียงกลองนั้นมันจะเหนือล้ำว่าคนอื่นๆ
เพราะเมื่อก้าวมาถึงจุดที่พวกเขาทั้งหลายยืนอยู่นี้ การจะพัฒนาตัวเองไปข้างหน้านั้นมันช่างเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น
เฉียวฟูหัวเราะลั่น “โอกาสดีๆ เช่นนี้มีหรือที่เฒ่าคนนี้จะปล่อยไป? หากเทียบเรื่องพรสวรรค์แล้วข้าอาจไม่สามารถเทียบเคียงเย่หยวนได้ แต่หากเทียบกับพวกเจ้าแล้วมันก็ยังเหนือกว่าหลายขุม”
ผู้อาวุโสคนอื่นรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเฉียวฟูมันช่างโอหัง ทำให้ทุกๆ คนต่างมีใบหน้าดำคร่ำเครียดไม่พอใจอย่างมาก
เวลานั้นเองกลับปรากฏร่างของชายวัยกลางคนค่อยๆ เดินออกมาจากความว่างเปล่า
เมื่อเห็นผู้มาเยือนคนนี้เหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดก็รีบจัดแจงเสื้อผ้ายกมือขึ้นคำนับทันที
“ขอคารวะท่านเจ้านิกาย!” คนทั้งเก้าพูดออกมาพร้อมกัน
ชายวัยกลางคนคนนั้นพยักหน้ารับ “อืม พวกเจ้าทั้งหลายทำดีมาก!”
คนทั้งเก้ารีบตอบกลับไป “มิกล้า!”
ชายวัยกลางคนหันหน้ามองผ่านคนทั้งเก้าและไปหยุดสายตาอยู่ที่เย่หยวน
เย่หยวนเองก็ก้มหัวลงคารวะเช่นกัน “เย่หยวนขอคารวะท่านเจ้านิกาย!”
เย่หยวนนั้นย่อมรู้สึกได้ทันทีว่าคลื่นพลังจากชายวัยกลางคนคนนี้มันเหนือล้ำกว่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอด
ดูท่านิกายเงาจันทร์นั้นจะมีรากฐานที่ลึกล้ำจริงๆ!
ชายวัยกลางคนยิ้มตอบกลับมา “ตั้งแต่ที่นิกายเงาจันทร์ข้าตั้งขึ้นมีคนมากมายคิดอยากตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ แต่มันกลับไม่เคยมีใครที่ทำสำเร็จมาก่อน ไม่นึกเลยว่าคนผู้แรกที่ทำได้สำเร็จมันกลับกลายเป็นแค่เด็กหนุ่มอาณาจักรราชันพระเจ้าคนหนึ่ง เย่หยวน คำสั่งของเหล่าบรรพบุรุษนั้นเรามิกล้าขัด ตอนนี้เจ้าจงกล่าวออกมาเถอะว่าเจ้าต้องการสิ่งใด แน่นอนว่าหากเจ้ายังไม่ได้คิดถึงมันเจ้าจะมาบอกข้าทีหลังก็ย่อมได้”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ไม่จำเป็น เรื่องนั้นข้าได้คิดมานานแสนนาน คำขอของเย่หยวนผู้นี้มิใช่เรื่องอื่นใด ข้าแค่ต้องการสังหารเชียนเย่เท่านั้น!”
…………………………