Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1857 หน้าด้านไม่มีเปลี่ยน
การตายของเทพสวรรค์ทั้งสามนั้นไม่ได้หยุดการเคลื่อนทัพของผู้คนเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือแค่ไหนเมื่อเข้าไปในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนแล้วแต่ต้องตายลงสิ้น
หนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะเข้าไปในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันพักอยู่ที่เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานเพื่อพูดคุยถึงหนทางที่จะเข้าไปในถ้ำเทพสวรรค์นี้
ท่านเจ้าเมืองพูดขึ้น “จอมเทพสวรรค์นิรันดร์นั้นเป็นเทพสวรรค์ระดับสูงจากเมื่อห้าล้านปีก่อน เขานั้นมีพลังที่เหนือล้ำจนสามารถสังหารเทพสวรรค์ทั่วๆ ไปลงได้อย่างง่ายดาย”
อีกคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นมา “จากมุมมองของข้าแล้วมันคงเป็นการยากที่เราเหล่าเทพถ่องแท้จะเข้าไปภายในได้”
“จอมเทพสวรรค์นิรันดร์คนนี้นั้นมีพลังที่เหนือล้ำ สมบัติที่เขาทิ้งไว้นั้นมันย่อมมีมากมายมหาศาล ให้ยอมแพ้เช่นนี้ใครจะไปยอม? ที่สำคัญ… หากเราสามารถสืบทอดความรู้ที่จอมเทพสวรรค์นิรันดร์สั่งสมมาได้ล่ะก็…”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวอออกมาบรรยากาศในห้องก็ร้อนแรงขึ้นทันที
นี่คือความรู้ที่เทพสวรรค์สั่งสมมาทั้งชีวิต จะมีใครไม่อยากได้?
ที่สำคัญมันมิใช่แค่เทพสวรรค์ทั่วๆ ไป แต่เป็นถึงเทพสวรรค์ระดับสูง!
ในหมู่ผู้คนทั้งหลายนี้มันย่อมไม่มีใครที่จะก้าวเดินไปได้จนถึงจุดนั้น
กู่เทียนเฉกล่าวขึ้น “ตอนนี้มีข่าวลือว่านักยุทธที่มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ลงไปจะสามารถเข้าเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร้ภัย แถมยังมีเทพถ่องแท้ที่ได้ลองทำดูแล้วด้วย ตราบเท่าที่เรากดพลังบ่มเพาะของตัวเองไว้ให้อยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์เราก็ย่อมหลบรอดจากการโจมตีของเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ด้านในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเองมันก็มีอันตรายเต็มเปี่ยม ข้าคิดว่าพวกเราทั้งหลายต้องทำการอย่างเป็นกลุ่มพวกร่วมมือกันให้ถึงที่สุด จากนั้นค่อยช่วยกันหาทางเปิดถ้ำออก ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินคำของกู่เทียนเฉทุกคนต่างก็พยักหน้ารับออกมาพร้อมๆ กัน
เพราะแม้ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นจะเป็นถึงเทพถ่องแท้ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าจอมเทพสวรรค์นิรันดร์พวกเขาก็เป็นได้แค่หมูหมากาไก่ข้างทาง
จะพันคนหรือหมื่นคนที่เข้าไปมันก็เท่ากับรนหาที่ตายอยู่ดี
เพราะฉะนั้นการร่วมมือกันก่อนในตอนแรกมันจึงมิใช่เรื่องที่แย่มากนัก
“ในเมื่อทุกคนไม่คิดขัด เราก็มาเตรียมตัวออกเดินทางไปเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ในอีกสิบวันกันเถอะ” กู่เทียนเฉกล่าวบอก
หลังคุยกันเสร็จเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายก็แยกจากกันไป เหลือทิ้งไว้เพียงเจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นที จี้ฉุนที่ยังคงอยู่ต่อ
“หืม? พี่จี้รอคุยกับข้าหรือ? มีธุระใดรึ?” กู่เทียนเฉแสร้งถามขึ้น
จี้ฉุนนั้นได้แต่กล่าวว่าอีกฝ่ายในใจก่อนจะปั้นยิ้มกลับมา “หึๆ สหายข้า เมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นทีข้าและเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานของเจ้านั้นอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมาช้านาน เจ้าศิษย์ไม่เอาไหนของข้า ซัวหานนั้นมันก็หลงใหลชื่นชอบชิวหลิงน้อยมานาน เจ้าไม่คิดว่าเราเหล่าคนเฒ่าคนแก่ควรจะทำให้ความรักของพวกมันสมหวังแล้วหรือ?”
กู่เทียนเฉหัวเราะขึ้นมา “เรื่องราวของคนหนุ่มสาวก็ให้คนหนุ่มสาวจัดการเองเถอะ เจ้าเองก็รู้ว่าศิษย์คนนี้ของข้านั้นมันอยากเลือกคู่ครองด้วยตัวของมันเอง เรื่องนี้ต่อให้เป็นข้าก็คงไปบังคับมันไม่ได้”
พูดจบกู่เทียนเฉก็จากไปทันทีโดยไม่คิดที่จะต่อรองใดๆ กันต่ออีก
จี้ฉุนขมวดคิ้วแน่นด้วยความมึนงงและสับสนไม่เข้าใจว่ากู่เทียนเฉกำลังต้องการเรียกร้องอะไรกันแน่
เพราะที่ผ่านๆ มานั้นกู่เทียนเฉค่อนข้างที่จะสนับสนุนความสัมพันธ์ของซัวหานและเล้งชิวหลิง แม้ว่าเล้งชิวหลิงจะไม่เคยแสดงท่าทีสนใจใดๆ ออกมาก็ตาม
แต่ตอนนี้แม้แต่กู่เทียนเฉเฒ่าคนนี้ก็มีท่าทีไม่เอาด้วยเสียแล้ว
…
ด้วยความที่เป็นศิษย์คนโปรดของจี้ฉุน ซัวหานจึงได้ติดตามมายังเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานด้วย
เพราะแท้จริงแล้วเหล่าเทพถ่องแท้ที่มาในครานี้ก็มักจะพาศิษย์หรือลูกหลานติดตามมาด้วยแทบทุกคน
โอกาสใหญ่อย่างการสืบทอดสมบัติของเทพสวรรค์นั้นต่อให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายจะได้รับแบ่งมันไปแค่ส่วนเล็กๆ มันก็มากพอที่จะสร้างประโยชน์มหาศาล
ที่สำคัญถ้ำเทพสวรรค์ในครานี้มันยังจำกัดไว้ให้แค่นักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ลงไปเท่านั้นถึงจะเข้าได้ด้วย
ณ เวลานี้ซัวหานได้เดินมายังคฤหาสน์พันทะยานด้วยตัวคนเดียว
“นี่ศิษย์น้อง ข้าสงสัยเหลือเกินว่าศิษย์น้องเล้งชิวหลิงอยู่ในคฤหาสน์พันทะยานหรือไม่?” ซัวหานเดินเข้าไปถามศิษย์คนหนึ่งด้วยคำพูดสุภาพแต่ท่าทางนั้นมันกลับไม่ได้สุภาพตาม
ศิษย์คฤหาสน์พันทะยานคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง “เจ้าเป็นใคร? คฤหาสน์พันทะยานไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตหรอกนะ”
ซัวหานยิ้มออกมา “ข้าคือซัวหานแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นที และศิษย์น้องเล้งที่ข้าถามถึงก็คือคู่หมั้นของซัวคนนี้ จริงๆ จะนับว่าข้าเป็นคนแปลกหน้ามันก็ไม่ถูกนัก”
ซัวหานพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่ว ราวกับกลัวว่าจะมีใครไม่ได้ยิน
ศิษย์คนนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยินก่อนจะบอกขึ้น “ที่แท้เป็นศิษย์พี่ซัวนี่เอง ขออภัยๆ! ศิษย์พี่เล้งนั้นกำลังอยู่ที่ลานฝึก เดี๋ยวข้าพาท่านไปเอง”
ชื่อเสียงของซัวหานในหมู่เมืองหลวงจักรพรรดินั้นก็โด่งดังไม่น้อย ดูท่าศิษย์คนนี้เองก็คงเคยได้ยินมาก่อน
ที่สำคัญข่าวลือเรื่องซัวหานและเล้งชิวหลิงนั้นมันก็ไม่ได้เป็นความลับต้องปิดบังใดๆ ในคฤหาสน์พันทะยานนี้ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองคิดที่จะจับคู่คนทั้งสองด้วย
แน่นอนว่าศิษย์คนนี้ย่อมไม่กล้าขัดขืนใดๆ อีกฝ่าย
“ที่แท้เขาคือซัวหานนี่เอง สมชื่อเป็นยอดอัจฉริยะแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นที ถึงขั้นสามารถตามความเร็วการบ่มเพาะของศิษย์พี่เล้งได้ทัน”
“อืม! ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าเมืองคิดจะจับคู่คนทั้งสองเข้าด้วยกัน สมกันดั่งกิ่งทองใบหยกจริงๆ!”
“แต่ว่าช่วงหลังมานี้ศิษย์พี่เล้งเริ่มจะสนิทกับเจ้าเด็กเย่หยวนคนนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเลย”
“หึ ไอ้เด็กคนนั้นมันแค่นภาสวรรค์สองดาว มีหรือที่มันจะคู่ควรกับศิษย์พี่เล้ง?”
…
เมื่อซัวหานได้ยินเหล่าศิษย์รอบๆ พูดคุยกันในช่วงแรกๆ เขานั้นรู้สึกดีอย่างมากจนไปได้ยินชื่อของเย่หยวนเข้า มันจึงทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปทันที
ชื่อนี้มันคือฝันร้ายของเขาอย่างแท้จริง
ต่อให้เวลาจะผ่านมาหลายร้อยปีแต่ความทรงจำมันก็ยังชัดเจนอยู่ใจสมอง
แน่นอนว่าเขานั้นเกลียดชังเย่หยวนจนถึงกระดูก เขาคิดที่จะแก้แค้นแก่เย่หยวนเสมอมา แต่ฝ่ายเย่หยวนนั้นกลับหายหน้าไปเลยตั้งแต่ลงเขาแห่งถงเทียนมา เพราะฉะนั้นแผนแก้แค้นใดๆ ของเขามันจึงต้องล่มหายไปด้วย
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะได้ยินได้ฟังชื่อนี้เข้าอีกครั้ง
“หรือว่า… เย่หยวนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่เขาแห่งถงเทียน? ไม่มีทางน่า! คนพวกนี้บอกว่าเย่หยวนคนนี้เป็นนักยุทธนภาสวรรค์สองดาว! ด้วยความสามารถของไอ้เจ้าเด็กคนนั้นมันย่อมไม่มีทางที่จะบ่มเพาะได้รวดเร็วปานนั้นแน่!”
ไม่นานนักซัวหานก็ทิ้งความคิดนี้ไป
เขาและเล้งชิวหลิงนั้นคล้ายกันตรงที่ว่า พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่คิดว่าเย่หยวนคนนี้เป็นเย่หยวนคนนั้น
เมื่อเดินตามศิษย์คนนั้นมาซัวหานก็ได้มาถึงลานฝึก เหล่าศิษย์ของคฤหาสน์พันทะยานต่างกำลังฝึกซ้อมกันอย่างแข็งขันโดยมีเล้งชิวหลิงนั่งมองดูอยู่ที่ด้านข้างลาน
เมื่อได้เห็นเล้งชิวหลิง ซัวหานก็เบิกตากว้างกล่าวขึ้นทักทายทันที “ศิษย์น้องเล้ง ไม่ได้เจอกันนานปีแต่เจ้ายังคงงดงามไม่มีเปลี่ยนเลย!”
เล้งชิวหลิงหันหน้ากลับมาดูและเมื่อเห็นว่ามันเป็นซัวหานคิ้วของนางก็ขมวดแน่นทันที
ไอ้เจ้าหมอนี่มันตามติดยิ่งกว่าผีร้ายวิญญาณหลอน!
“นี่คือคฤหาสน์พันทะยาน เจ้าจะมาเพื่อสิ่งใด?” เล้งชิวหลิงพูด
แต่ซัวหานกลับไม่คิดสนใจและยิ้มตอบกลับมา “ศิษย์น้องเล้งว่าอะไรเช่นนั้นกันเล่า ข้าก็ต้องมาเพื่อพบเจอว่าที่เจ้าสาวอยู่แล้ว มันผิดด้วยหรือ?”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวคนทั้งหายก็ร่ำร้องกันขึ้นทันทีพร้อมพยายามคาดเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่
แต่เล้งชิวหลิงกลับแสดงท่าทีสุดเย็นชาอย่างขยะแขยงออกมา “พูดอะไรไร้สาระอีกแล้วข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก! ไป รีบไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!”
ซัวหานหัวเราะลั่น “ทำไมศิษย์น้องเล้งถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย? ตอนนี้ท่านอาจารย์ท่านได้ไปพูดคุยเรื่องงานแต่งของเราให้แก่ข้าแล้ว ไม่นานเจ้ากับข้าก็ย่อมต้องเป็นทองแผ่นเดียวกัน”
นั่นกลับยิ่งทำให้ใบหน้าของเล้งชิวหลิงกลับเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ จนมันแทบกลายเป็นน้ำแข็ง
“หึๆ ไม่ได้เจอกันมานานปี คุณชายซัวก็ยังคงหน้าด้านไม่เปลี่ยน! ยังไม่ทันรู้เรื่องราวความเข้ากันได้ของชีวิตก็เที่ยวมาอวดอ้างตัวต่อหน้าผู้คน ระวังว่าจะไม่มีหน้าไปพบผู้คนเอานะ”
เวลานั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านข้างเล้งชิวหลิง
เมื่อซัวหานมองดูที่ใบหน้าของชายคนนี้เขาก็ต้องระเบิดความคับแค้นออกมาทันที!
…………………………