Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1868 ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์
‘ครืน!’
เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนจนทำให้โลกทั้งใบต้องตกอยู่ในความตื่นตะลึง
ด้านในโถงบังคับกฎนั้นมันเต็มไปด้วยความโกลาหลอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“เกิดอะไรขึ้นอีก? เหตุใดมันถึง… รู้สึกเหมือนจะเกิดหายนะขึ้น?” ฟางเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีรู้สึกได้ถึงลางร้ายในหัวใจ
ตอนนี้ฟางเทียนนั้นควบคุมและดูแลทุกสิ่งอย่างบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่ามันเป็นฝ่ามือของตน
แต่ไม่นานก่อนหน้านี้มันกลับมีแรงสั่นสะท้านอย่างไม่อาจคาดวัดเกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แรงสั่นนี้มันทำให้แม้แต่เขาผู้ควบคุมก็ยังรู้สึกได้ถึงลางร้าย
กวนควางเทียน หลู่หลินเฟย เถิงหยุนและพวกยอดฝีมือทั้งหลายต่างสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันแสนรุนแรงนี้จนต้องรีบมุ่งหน้ามารวมตัวอย่างพร้อมเพรียง
“ผู้อาวุโสฟาง มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
“ทำไมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรามันถึงต้องพบเจอแต่หายนะเรื่องราวไม่คาดฝันกันนะ? เฮ้อ!”
ทุกคนที่มาถึงต่างมีคำพูดบ่นกล่าวของตัวเอง บ้างเหนื่อยหน่าย บ้างหมดหวัง และบ้างก็ตื่นกลัวจนถึงขีดสุด
ฟางเทียนส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เรื่องนี้… ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน คลื่นพลังนี้มันดูจะเหมือนกับคลื่นของประตูปิดโลก แต่มันกลับส่งตรงมาจากเทือกเขาสุสานเทพ ทำให้ข้า… ไม่อาจรับรู้ถึงเรื่องราวภายในได้”
ทุกคนหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินฟางเทียนพูดเช่นนั้น เพราะแม้แต่ผู้ควบคุมยังไม่อาจสัมผัสถึงมันได้ย่อมหมายความว่าเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมันแสนยิ่งใหญ่
ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางผู้คนด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ทุกคน!”
เมื่อได้เห็นผู้มาถึงทุกผู้คนต่างก็แสดงท่าทางดูใจดำออกมาจนนอกหน้า!
แน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เจอเรื่องร้าย เย่หยวนต้องปรากฏตัวขึ้นมาเสมอ
“เย่หยวน ดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมา! มันเหมือนว่าจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นที่เทือกเขาสุสานเทพ…”
ฟางเทียนยังอธิบายไม่ทันจบก็ถูกเย่หยวนขัดขึ้นทันที “ผู้อาวุโสฟางเทียน ข้าเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จากที่นั่น! เรื่องราวนี้มันไม่ธรรมดา ตอนนี้มียอดฝีมือจากมหาพิภพถงเทียนจำนวนมากได้เข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้และเรื่องนี้มันอาจจะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ!”
เมื่อทุกผู้คนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าขาวซีดออกมาตามๆ กัน
พวกเขาไม่ได้คิดได้ฝันเลยว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตได้ถึงขั้นนั้น
“เย่หยวน นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฟางเทียนถามขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดๆ
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “เรื่องนั้นข้าก็ไม่ทราบ! แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือเรื่องราวทั้งหมดนี้จอมเทพนิรันดร์เป็นผู้จัดฉากขึ้นมา แต่เรื่องเป้าหมายของเขานั้นข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ ตอนนี้เรื่องราวทั้งหลายมันได้เกิดกว่าที่ข้าจะควบคุมไหวแล้ว ผู้อาวุโสฟางเทียน สิ่งที่พวกท่านต้องทำคือการรักษาความเสถียรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้! จากนี้ไปสั่งอย่าให้ใครก็ตามเข้าไปยังเทือกเขาสุสานเทพ พวกเจ้าทั้งหลายวางใจเถอะ ตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องพังพินาศลงแน่! เอาล่ะ เรื่องที่ข้าจะบอกก็มีเท่านี้ ข้าต้องขอตัวก่อน จำไว้ อย่าให้ใครเข้าไปในเทือกเขาสุสานเทพเด็ดขาด!”
พูดจบร่างของเย่หยวนก็จางหายไปจากสายตาของทุกคนอีกครั้ง
พวกเขาทั้งหลายต่างมีใบหน้าที่แสนทุกข์เพราะพวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันความเครียดจากตัวเย่หยวน
เย่หยวนนั้นเดิมทีเป็นคนที่สงบนิ่งไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมาให้มาก แต่ตอนนี้เขากลับดูแตกต่างจากปกติไปมากทีเดียว
หลังจากพ้นวิกฤตเรื่องของเผ่าปีศาจแล้วพวกเขาก็ไม่เคยได้เห็นเย่หยวนกังวลอะไรขนาดนี้อีกเลย
คนที่แข็งแกร่งอย่างเทพนอกรีตบาปสวรรค์ก็ยังถูกเย่หยวนปั่นหัวจนอยู่หมัด
เมื่อร่างกายของเขาหายไป เย่หยวนก็ได้กลับมายังเทือกเขาสุสานเทพอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย
แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าใบหน้าของเย่หยวนกลับยิ่งบิดเบี้ยวหนักกว่าเก่า
ไม้ศักดิ์สิทธิ์คุนหวู่ที่ปกติแล้วจะตั้งตระหง่านสูงถึงชั้นเมฆกลับได้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยใดๆ
“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสคุนหวู่เขา…”
หวู่เฉินเองก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา “ข้าเองก็ไม่ทราบ! ตอนนั้นข้าได้ตกสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เรื่องราวระหว่างเขาและจอมเทพนิรันดร์นั้นข้าก็ไม่อาจทราบได้”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวล ตอนนี้เขาไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าแท้จริงแล้วจอมเทพนิรันดร์กำลังคิดวางแผนใดอยู่กันแน่ถึงได้ลากเหล่ายอดฝีมือมากมายเข้ามาถึงบ้านของตนเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหายตัวไปของไม้ศักดิ์สิทธิ์คุนหวู่ที่ตั้งตระหง่านมานับหมื่นๆ ปีนี้ด้วยเช่นกัน
เย่หยวนกล่าวขึ้น “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าเรื่องราวครั้งนี้มันต้องไม่ธรรมดา ช่างเถอะ ตอนนี้คงได้แต่ต้องค่อยๆ เดินไปทีละก้าว แค่หวังว่าจอมเทพนิรันดร์จะไม่คิดใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นเบี้ยตัวหนึ่งด้วย!”
พูดจบร่างของเย่หยวนก็ได้จางหายไปอีกครั้ง
…
“ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์! ค่ายกลจะมีทั้งหมดเก้าระดับผู้ที่สามารถผ่านสามระดับแรกจะได้เข้าสู่ยอดเขาต่อไป ผู้ที่สามารถผ่านได้หกระดับจะได้สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ และสำหรับผู้ที่ผ่านได้ทั้งเก้าระดับจะได้รับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!”
บนยอดเขานั้นเกิดเสียงของจอมเทพนิรันดร์ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง
ที่ด้านหน้าของเหล่ายอดฝีมือตอนนี้มีค่ายกลดาบแสนยิ่งใหญ่วางตระหง่านอยู่
ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้เห็นยอดเขาสูงที่อยู่ห่างออกไป บนยอดนั้นมันมีวังใหญ่โตที่ปล่อยคลื่นพลังอันแสนรุนแรงจนทำให้จิตใจของผู้คนต้องสั่นสะท้าน
แค่เห็นก็รู้ได้แล้วว่าเหล่าสมบัติที่แท้จริงทั้งหลายนั้นมันต้องอยู่ในวังแห่งนั้นแน่นอน
แต่ว่าคำพูดของจอมเทพนิรันดร์มันกลับทำให้เหล่ายอดฝีมือต้องแทบคลั่ง
สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!
นี่คือสิ่งที่เหล่าเทพสวรรค์ยังต้องคลั่งเมื่อได้ยิน แต่สิ่งของนั้นมันกลับมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งหลาย!
แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าการจะผ่านความยากทั้งเก้านั้นมันคงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
แต่หากพวกเขาผ่านหกระดับแรกไปได้ การได้รับสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำเองก็เป็นเรื่องดีไม่น้อย
เพราะเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายในที่นี้ มิใช่ทุกคนที่จะมีสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำใช้
เรื่องเช่นนี้แม้มันจะเกิดขึ้นตรงหน้าก็ไม่แน่ว่าจะเฝ้าหวังถึงมันได้
“ข้าเอง!” นักยุทธ์อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวคนหนึ่งไม่อาจทนได้จนต้องรีบมุ่งหน้าเข้าไปในค่ายกลก่อนเป็นผู้แรก
ไม่มีใครคิดห้ามเขา แน่นอนว่ามันย่อมมีใครสักคนที่ชอบทำตัวคิดเป็นหัวหอกลองเรื่องราว และการปล่อยให้มีคนอื่นเข้าไปก่อนเช่นนี้มันก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา ทำให้พวกเขาได้มีเวลาวิเคราะห์ถึงค่ายกลดาบนี้
‘ฟุบ!’
ยอดฝีมือผู้นั้นกระโดดเข้าไปในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์
ในวินาทีต่อมาก็มีแสงดาบนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาพยายามที่จะเสียบแทงร่างของเขา
แต่พลังฝีมือของนักยุทธ์นภาสวรรค์เก้าดาวคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะถูกดาบแสงแทงเข้าไปมากเท่าไหร่ มันก็ไม่อาจจะสร้างบาดแผลให้เขาได้เลย
“เฟนหมิงนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่น้อยเลย ได้ยินว่าครั้งหนึ่งเขาเคยท้าสู้กับนักยุทธ์ระดับเดียวกับพร้อมกันถึงสามคนแต่ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายแพ้พ่าย พลังฝีมือของเขาสำหรับนักยุทธจรแล้วถือว่าเด็ดขาดทีเดียว!”
“ดูท่าเขาคงได้สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำไปครองแน่!”
“อาณาจักรนภาสวรรค์แต่กลับมีสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำในครอบครอง ข้าน่าอิจฉาเสียจริง!”
…
เฟนหมิงนั้นดูท่าจะมีชื่อในหมู่นักยุทธจรไม่น้อย
เมื่อเขาเริ่มลงมือคนอื่นๆ จึงได้แต่ร้องชื่นชมออกมา
แต่ขณะเดียวกันพวกเขาทั้งหลายก็ได้เข้าใจถึงพลังของค่ายกลดาบนี้
ที่สำคัญนภาสวรรค์เก้าดาวในหมู่คนที่มาครั้งนี้มันก็นับว่าเป็นผู้มีพลังสูงมากแล้ว
แน่นอนว่าไม่นานเฟนหมิงก็สามารถผ่านสามระดับแรกไปได้ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
จากนั้นมันก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏออกมาที่มุมหนึ่งของมหาค่ายกล
“ตอนนี้เจ้าจงเลือกว่าจะพอหรือท้าทายต่อ!” ในมหาค่ายกลเกิดเสียงดังขึ้น
“ข้าขอเลือกที่จะท้าทายต่อ!” เฟนหมิงพูดตอบอย่างไม่คิดลังเล
จากนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายมันก็จางหายไปพร้อมๆ กับเสียงของเขา ก่อนที่มหาค่ายกลจะเริ่มทำงานอีกครั้ง
แต่จู่ๆ สถานการณ์มันก็พลิกกลับทันที!
ภายในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์ตอนนี้มีคลื่นพลังดาบอันแสนดุดันมากมายปะทุขึ้นพุ่งผ่านค่ายกลดาบมา
ในหมู่ยอดฝีมือที่มองดูอยู่ด้านนอก ตอนนี้หลายๆ คนรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังดาบที่เหมือนจะพุ่งผ่านตัวเองไป!
น่ากลัว!
ระดับสี่นั้นมันยากขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาล!
เฟนหมิงหน้าถอดสีไปในทันทีแต่จะมาเสียใจตอนนี้มันก็คงไม่ทันเสียแล้ว
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ…’
ดาบแล้วดาบเล่าที่พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงตัดลม ตอนนี้มีหรือที่เฟนหมิงจะยังมีเวลาเก็บออมแรงอีก? เขาต้องใช้พลังฝีมือทั้งหมดที่มีออกมาในคราเดียว
‘ฉัวะ!’
ดาบแสงหนึ่งพุ่งผ่านเกราะปราณเทวะของเขาเข้ามาได้
หลังจากดาบแรงแทงเข้า ดาบแสงอีกมากมายอย่างนับไม่ถ้วนก็ตามเข้ามาแทงร่างของเฟนหมิงจนพรุนเป็นรังผึ้ง
ที่ด้านนอกค่ายกลดาบ เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างได้แต่ยืนมองภาพนี้อย่างเงียบงัน
…………………………