Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1913 อาณาจักรเต๋าขั้นสุด
ภายในห้องลับนี้มันเปี่ยมไปด้วยแสงที่หมุนวน
ไป๋เฉินนั้นปล่อยจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนและปล่อยเต๋าที่เขาได้บ่มเพาะทั้งสิ้นออกมาสู่โลกภายนอก
พลังจิตวิญญาณของเย่หยวนค่อยๆ กระจายตัวออกมาเพื่อสัมผัสหาถึงความลับที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของไป๋เฉิน
และภาพเช่นนี้มันก็เกิดขึ้นติดๆ กันมานับเดือนแล้ว
ทุกวันเย่หยวนจะทำการตรวจสอบจนพลังจิตวิญญาณของเขาหมดสิ้นลง
จู่ๆ แสงนั้นก็จางลงทำให้ภายในห้องกลับมาสู่สภาวะความสงบอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านอาจารย์! ท่านไหวหรือไม่?”
ได้เห็นท่าทางของเย่หยวนที่เหนืออ่อนจนแทบล้มพับลงไป๋เฉินจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปประคองร่างเย่หยวนไว้
แต่เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาโบกปัด “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่วันนี้ใช้แรงมากไปหน่อยก็เท่านั้น”
“ท่านอาจารย์ ช่างมันเถอะ! คนที่หลอมซับผลวิญญาณเต๋านั้นมันไม่มีทางพัฒนาตัวไปต่อได้แล้วล่ะ”
เมื่อไป๋เฉินเห็นเย่หยวนเหนื่อยอ่อนทุกวี่วันเช่นนี้เขาก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก แต่ก็เป็นเพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่อาจทนดูมันได้อีกต่อไป
เพราะการกระทำนี้มันย่อมจะเสียเปล่าอย่างแน่นอน
ตั้งแต่บรรพกาลมามียอดฝีมือมากมายแค่ไหนคิดอยากทำลายโซ่ตรวนนี้แต่มันกลับไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
แม้จะไม่ต้องพูดถึงอดีตอันแสนห่างไกล แต่ในทุกวันนี้เองมันก็ยังมีสุดยอดจอมเทพโอสถมากมายอยู่ แต่เรื่องราวของโอสถเช่นนั้นมันกลับไม่เคยปรากฏขึ้นที่ใดมาก่อนเลย
ไป๋เฉินรู้ดีถึงความเก่งกาจของเย่หยวน แต่เรื่องราวเช่นนี้มันไม่อาจจะทำให้สำเร็จได้ด้วยแค่ความเก่งกาจ
เย่หยวนมองดูไป๋เฉินและยิ้มขึ้น “หรือว่าเจ้าจะยอมอยู่หน้าประตูอาณาจักรเทพถ่องแท้ไปทั้งชีวิต?”
ไป๋เฉินพูดขึ้นมาด้วยท่าทางขุ่นเคือง “ข้านั้นย่อมไม่คิดยอม เพียงแค่ว่า… การต้องมาเห็นท่านอาจารย์ใช้พลังจนหมดทุกวันเช่นนี้มันทำให้ไป๋เฉินกลัวว่าตนจะทำให้อาจารย์ท่านผิดหวัง เส้นทางที่ข้าเดินนี้ข้าเป็นคนเลือกมาเอง ตอนนี้ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดจาวกวนมากแค่ไหนแต่ข้าก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้จริงๆ”
ไป๋เฉินนั้นเข้าใจดีว่าเวลาของเย่หยวนนั้นแสนล้ำค่า
การมาเสียเวลากับไป๋เฉินเช่นนี้มันเป็นบาปที่มหัน
หากเรื่องราวนี้มันพอมีหวัง ก็ยังพอว่า แต่ตอนนี้พวกเขานั้นอยู่ในทางตันที่ไม่มีแสงสว่าง กลัวว่าจะต้องเสียเวลานับปี หรือนับสิบๆ ปีไปอย่างไร้ค่าไม่ได้ประโยชน์อะไร
และความเสียเปล่าเช่นนั้นมันย่อมวัดเป็นค่าเสียหายไม่ได้
เย่หยวนบอก “หากยังไม่ยอมแพ้ก็ดีแล้ว ภายใต้สวรรค์นี้มันไม่มีคำว่าแน่นอน ก่อนหน้านั้นในโลกใบน้อยที่อาจารย์อยู่เองพลังเต๋าสวรรค์ภายในนั้นมันก็เหือดแห้งจนสิ้นทำให้ไม่มีใครจะอาจสามารถขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้มานับแสนๆ ปี แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นอาจารย์เจ้าก็ได้หาเส้นทางด้วยยอดเต๋าจนสามารถขึ้นมาสู่อาณาจักรพระเจ้าได้”
ไป๋เฉินสูดหายใจเข้าลึกด้วยความตื่นตะลึง “ที่แท้ท่านอาจารย์เองก็มาจากโลกใบน้อยเช่นกัน? เข้าสู่อาณาจักรพระเจ้าด้วยวิชาโอสถ… ช่างเหนือล้ำจริง!”
เขานั้นเป็นผู้ดูแลดินแดนนภาบรรพตและแน่นอนว่าเขาต้องเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของเต๋าสวรรค์
เมื่อขาดพลังจากเต๋าสวรรค์ไปแล้วต่อให้จะเป็นคนเก่งกาจมากพรสวรรค์เพียงใดมันก็ไม่อาจจะเอื้อมขึ้นไปถึงอาณาจักรพระเจ้าได้
แต่อาจารย์ของเขากลับทำได้!
เย่หยวนยิ้มออกมา “โลกใบนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่เจ้าเห็นมันอาจจะมิใช่ความเป็นจริง ตอนนั้นหากข้าคิดยอมแพ้ไปเพราะไม่มีพลังจากเต๋าสวรรค์แล้ว ทุกวันนี้มันก็คงไม่มีอาจารย์ของเจ้าผู้นี้”
ไป๋เฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะไม่ยอมแพ้!”
เย่หยวนพยักหน้าออกมา “เหตุผลที่ผู้ซึมซับผลวิญญาณเต๋าไม่อาจบ่มเพาะได้อีกมันก็เป็นเพราะว่าเต๋าที่เจ้ามีนั้นหาใช่เต๋าของตัวเจ้าไม่! ความเข้าใจความรู้ของผู้อื่น สุดท้ายแล้วมันก็เป็นของผู้อื่น ต่อให้เจ้าจะหลอมซึมซับมันสุดท้ายมันก็ยังเป็นความเข้าใจของชีวิตผู้อื่น มันเหมือนกับการใส่เสื้อผ้า เมื่อเสื้อผ้าของเจ้านั้นเป็นของที่เดิมทีตัดเพื่อให้ผู้อื่นใส่แล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็คงไม่อาจใส่กับตัวเข้าได้พอดีแน่ เพราะฉะนั้นจิตศักดิ์สิทธิ์และร่างกายของเจ้ามันจึงไม่อาจรับเส้นทางของผู้อื่นได้ดีนัก”
ไป๋เฉินหยุดคิดก่อนจะบอก “แต่เรื่องเช่นนี้มันเป็นอะไรที่แสนเป็นนามธรรม จิตศักดิ์สิทธิ์ ร่างกาย ผลวิญญาณเต๋า การจะทำให้สามสิ่งนี้ผสานเป็นหนึ่งนั้นมันจะเป็นไปได้หรือ?”
เต๋าสวรรค์นั้นเป็นนามธรรม ร่างกายของจิตศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งไร้คำบรรยายเช่นกัน
ยอดเต๋าหมุนวน แต่ร่างกายมนุษย์เองมันก็เป็นโลกใบน้อยๆ ที่กำลังหมุนวนตามกฎใดสักอย่างอยู่
การบ่มเพาะของนักยุทธ คนรู้ว่าต้องทำอย่างไรแต่มีใครรู้บ้างว่ามันมีที่มาอย่างไร
เพราะการจะตรวจสอบความลับของร่างกายมนุษย์นั้นมันก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นมาแต่เก่าก่อน ไม่ต้องพูดถึงการนำความลับอันยากหยั่งถึงทั้งสามนี้มารวมกันเลย
ตั้งแต่บรรพกาลมามีนักหลอมโอสถมากมายคิดทำมัน แต่กลับไม่มีใครประสบความสำเร็จ
เย่หยวนยิ้มขึ้น “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร? ข้ารู้สึกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่โอสถครองวิญญาณผสานเต๋านี้สำเร็จ ความเข้าใจในวิชาโอสถของข้าจะต้องพัฒนาขึ้นได้อย่างมาก!”
…
เย่หยวนใช้เวลาถึงสามปีในการตรวจสอบร่างกายของไป๋เฉิน
ในเวลาสามปีมานี้แทบจะเรียกได้ว่าเย่หยวนได้ทุ่มจนสุดแรง ใช้สมองจนสุดตัวใช้พลังจิตวิญญาณของตนออกมาทุกวันอย่างไม่มีการหยุดพัก
สภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันเหมือนตอนที่เขากำลังหาทางสร้างโอสถท้าทายสวรรค์ เป็นสภาพที่ไม่ต่างจากคนบ้า
นั่นทำให้ไป๋เฉินนั้นได้เข้าใจถึงความบ้าคลั่งของเย่หยวน
เป็นตอนนี้เองที่เขาได้รู้ว่าที่เย่หยวนมีวันนี้ได้มันมิใช่เพียงแค่เพราะโชคชะตา
คนอื่นๆ อาจจะบอกว่าเย่หยวนมากพรสวรรค์ แต่ไม่ได้เห็นเลยว่าเบื้องหลังพรสวรรค์นั้นเขาใส่ความพยายามเข้าไปมากเพียงใด
เพียงแค่ว่าเรื่องราวที่บ้าคลั่งขนาดนี้มันมิใช่สิ่งที่นักยุทธคนอื่นๆ จะสามารถทนรับได้
ไป๋เฉินนั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหากเป็นตัวเขาที่ต้องมาสำรวจความลึกลับของร่างกายเช่นนี้แล้วเขาคงเสียสติไปก่อนแน่
หากไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ มันย่อมไม่อาจจะเอื้อมถึงได้
สามปีต่อมาในที่สุดเย่หยวนก็บอกกับไป๋เฉินว่าเขาจะเข้าสู่การเก็บตัว
ภายในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเย่หยวนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเขาน้องแห่งถงเทียน
“ผู้อาวุโส จิตศักดิ์สิทธิ์มันคืออะไรกัน?” เย่หยวนถามขึ้น
เวลาสามปีที่เขาตรวจสอบมานี้เย่หยวนได้รู้ว่าหากคิดอยากสร้างโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าจริง สุดท้ายแล้วกุญแจสำคัญมันก็อยู่ที่จิตศักดิ์สิทธิ์
และในเรื่องนี้มันคงไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปกว่าหวู่เฉิน
หวู่เฉินกล่าวขึ้น “คำถามนี้มันย่อมไม่มีใครตอบได้ แต่ทว่ามนุษย์นั้นไม่อาจมีชีวิตโดยขาดจิตได้ จิตนั้นสามารถคงอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยตัวเอง แต่ร่างกายนั้นไม่อาจจะแยกจากจิตได้ มันจึงนับเป็นพลังงานทางจิตใจอย่างหนึ่งที่เชื่อมร่างกายเข้ากับเต๋าสวรรค์ทำให้นักยุทธทั้งหลายสามารถใช้จิตศักดิ์สิทธิ์นี้ในการเข้าถึงเต๋าสวรรค์และทำการบ่มเพาะเต๋า หากคิดจะให้คำจำกัดความมันจริงๆ แล้วข้าก็คิดว่า… ส่วนขยายของเต๋าสวรรค์ คงเหมาะที่สุด”
“ส่วนขยายของเต๋าสวรรค์…” เย่หยวนทวนคำของหวู่เฉินก่อนจะปล่อยให้สติของตัวจมลงสู่เขาน้อยแห่งถงเทียน
“ชีวิตมากมายที่มีความคิดล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางเต๋าสวรรค์”
“ร่างกายนั้นตายลงหากขาดจิต ใบไม้ใบหญ้าทั้งหลายเองก็ตายลงหากขาดวิญญาณ”
“หากจะบอกว่าจิตศักดิ์สิทธิ์เป็นเชือก ด้านหนึ่งมันก็คงยึดติดกับโลกกายภาพ ส่วนอีกด้านนั้นเชื่อมเข้ากับยอดเต๋า…”
“…”
ในที่สุดเย่หยวนก็เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
ด้านบนเขาน้อยแห่งถงเทียนคลื่นเต๋าค่อยๆ ขยายตัวหนาแน่นขึ้น
จิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนลอยออกจากร่างไปสู่ยอดของเขาน้อยแห่งถงเทียน
จนในที่สุดเงาร่างนั้นของเขาก็ค่อยๆ เจือจางลงแตกสลายกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วน ก่อนจะค่อยๆ จางหายลงไป!
ในพื้นที่แห่งนี้ตัวตนของจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนมันไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
แต่เมื่อลองสัมผัสดูอย่างจริงจังก็จะรู้ได้ว่าจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นอยู่ในทุกที่
เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้หวู่เฉินก็ได้แต่เบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ “เด็กคนนี้บรรลุอีกแล้ว! จิตผสานเต๋า สัมผัสถึงต้นตอของยอดเต๋า ต่อให้เป็นเทพสวรรค์ก็คงไม่อาจเข้าใจมันได้!”
เวลาหนึ่งร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้เย่หยวนลืมตาทั้งสองขึ้นด้วยใบหน้าแตกฉาน
จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขากลับมาสู่ร่างพร้อมด้วยความรู้สึกพองโตมันย่อมหมายความว่าเขาจะบรรลุขึ้นแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเหล่าผนึกปราณเทวะขั้นกลางนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏต่อหน้าเย่หยวน
เย่หยวนจึงเริ่มดูดกลืนพวกมันทั้งสิ้นอย่างไม่มีความลังเล
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแต่ในที่สุดเย่หยวนก็ได้บรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรลายพระเจ้าเจ็ดดาวในคราเดียว!
“อาณาจักรเต๋าที่อยู่ในขั้นสุด! เมื่อไหร่กันนะที่ข้าจะสามารถก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลที่ห่างไกลนั้นได้!” เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์
…………………………