Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1937 เทพสวรรค์เปียวหยู่
“เย่หยวนนี้มีอายุแค่พันกว่าปีต่อให้มันจะเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะวิชามาตั้งแต่ในท้องแม่มันก็คงไม่มีทางจะเก่งกาจไปกว่าสามผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าหรอกใช่ไหม?”
“ตาข้านี่มันมืดบอดเสียจริง! ชีวิตที่ผ่านมาหลายต่อหลายปีของข้าคงเสียเปล่าแล้ว!”
“ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านเปียวหยู่จึงได้ลงมาตอบรับเอง แท้จริงแล้วท่านเห็นถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของเย่หยวน!”
…
จากคำด่าว่าดูถูกจนกลายเป็นความตื่นตะลึงสุดใจ ความเข้าใจของผู้คนทั้งหลายที่มีต่อเย่หยวนนั้นมันได้ขึ้นไปถึงระดับที่สูงล้ำกว่าเก่ามาก
แต่สิ่งที่ยังขัดใจทุกผู้คนก็คือเย่หยวนนั้นยังเยาว์เกินไป!
วิชาฝีมือของนักหลอมโอสถนั้นมันเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะหล่อหลอมความรู้อันยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์มากล้ำเพียงใดมันก็ย่อมไม่มีทางเก่งกาจได้ในเวลาอันแสนสั้น
แต่เย่หยวนนั้นกลับทำลายสามัญสำนึกของพวกเขาลงสิ้น
สามผู้อาวุโสมองดูเย่หยวนอย่างตื่นตะลึงไม่อาจสรรหาคำพูดใดๆ ได้
พวกเขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเย่หยวนจะมีฝีมือที่เหนือล้ำได้มากถึงขั้นนี้
พลังฝีมือในระดับนี้ดูท่าเขาคงอยู่ในอาณาจักรเต๋ามานานแสนนานแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาก้าวไปได้ไกลเพียงใด พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่อาจประเมินได้เลย
เมื่อพบเจอกับเย่หยวนพวกเขาทั้งสามคนนั้นรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้มายืนอยู่ต่อหน้าไม้ใหญ่
ความรู้สึกเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายเคยจะรู้สึกก็แค่ตอนที่พบเจอเทพสวรรค์เปียวหยู่เท่านั้น
“ผู้อาวุโสทั้งสามขอบคุณที่ชี้แนะ!” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ
คนทั้งสามนี้ย่อมมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย จะกล่าวว่าพวกเขาทั้งสามนั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่เย่หยวนเคยพบเจอมาในวิชาการหลอมโอสถเลยก็ว่าได้
เพราะในวิชาหลอมโอสถแล้วเย่หยวนนั้นไร้เทียมทานต่อสู้แข่งขันได้กับทุกผู้คน
แต่การร่วมมือของคนทั้งสามนี้มันทำให้เขาเหนื่อยยากไม่เบา
อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อาจจะกดทำลายอีกฝ่ายลงได้อย่างราบคาบเหมือนที่เขาชนะยู่หยิงมา
ภายใต้แรงกดดันของเขานี้สุดท้ายแล้วคนทั้งสามจึงต้องพ่ายแพ้ลงในที่สุด
เซินชางมองดูเย่หยวนพร้อมถอนหายใจยาว “ชี้แนะ? เย่หยวน เวลานั้นเป็นสิ่งสำคัญกับทุกอาชีพวิชา คนรุ่นใหม่ย่อมที่จะก้าวขึ้นเหนือล้ำคนรุ่นเก่าและเจ้าเองก็มีพลังความรู้ฝีมือที่เหนือกว่าจะจินตนาการได้ จงพยายามต่อไป! นี่คือเหรียญยาฟ้า จากวันนี้ไปเจ้าจะกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์เรา ยืนอยู่เคียงข้างพวกเรา ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นมันอาจจะต่ำต้อยสำหรับเจ้า แต่ตำแหน่งนี้มันต้องนำพาประโยชน์ความสบายมาให้เจ้าได้แน่”
พูดไปเซินชางก็โยนเหรียญตราที่ดูเหมือนดวงดาวออกมา มันให้ความรู้สึกแสนลึกล้ำแก่ผู้พบเห็น
“ขอบพระคุณพี่เซิน!” เย่หยวนรับเหรียญไปและยกมือขึ้นคารวะ
ส่วนอีกสองคนนั้นได้แค่ยืนนิ่งอย่างที่ยังไม่อาจจะรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ได้
…
ข่าวเรื่องที่เย่หยวนแสดงพลังเหนือสามนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าดังลั่นไปทั่วทั้งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว
ทุกผู้คนต่างรู้ดีว่าทางศาลาโอสถสวรรค์ได้ให้กำเนิดผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดมาแล้ว
และคนทั้งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวก็พูดถึงเรื่องนี้กันไม่ขาดปาก
เพราะผู้อาวุโสศาลาโอสถสวรรค์ที่มีอายุแค่พันกว่าปีนั้นมันย่อมเป็นเรื่องราวที่น่านำมาพูดต่อพอจะเป็นหัวข้อให้พูดคุยกันไปได้อีกนับปีๆ หรือนับสิบปี
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เรื่องของเย่หยวนมันน่าสนใจมากกว่าก็คือเรื่องที่เขาท้าทายเทพสวรรค์เปียวหยู่
เพราะเวลาที่เทพสวรรค์เปียวหยู่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจเหนือใครมานี้มันนานจนไม่อาจมีใครนับได้
เรื่องฝีมือของเขานั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง
จอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นเดิมทีก็เป็นตัวตนที่เหมือนกับยอดเขาสำหรับคนทั้งหลายอยู่แล้ว
ยังไม่นับรวมว่าเทพสวรรค์เปียวอยู่ผู้นี้นั้นนับเป็นสุดยอดของจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายด้วย
ต่อให้เย่หยวนจะชนะสามผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าไปได้แต่การกระทำของเขานี้คนทั้งหลายก็ยังคิดว่ามันคือการประเมินตัวเองสูงจนเกินไป
แต่น่าเสียดายที่การประลองนี้มันจะไม่ถูกเปิดสู่สายตาผู้คน ผู้ที่จะสามารถเข้าไปดูการประลองได้นั้นมันมีเพียงแค่เหล่าผู้อาวุโสของศาลาโอสถสวรรค์เท่านั้น
ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนั้นถูกสร้างขึ้นติดกันภูเขานามว่าเขาเมฆาฝันมันเป็นสถานที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแทบทั้งปีมีความสวยงามอย่างมาก
เพียงแค่ว่ามันไม่มีใครผู้ใดกล้าย่างเท้าขึ้นไปบนเขาเมฆาฝันนี้
เพราะพวกเขาทั้งหลายรู้ดีว่าเขาเมฆาฝันนี้คือที่อยู่ของเทพสวรรค์เปียวหยู่
ตั้งแต่โบราณกาลมามีเพียงแค่เหล่าเทพสวรรค์เท่านั้นที่จะกล้าขึ้นไปยังเขาเมฆาฝันและแน่นอนว่าเป้าหมายของพวกเขาย่อมเป็นการขอร้องให้เทพสวรรค์เปียวหยู่หลอมโอสถให้
แต่วันนี้เพราะเย่หยวนเหล่าผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายจึงได้มีโอกาสเดินทางขึ้นมาเบื้องบนนี้
ภายในห้องโถงใหญ่ที่ดูโบราณและงดงามนี้มันกลับดูว่างเปล่า
กลิ่นโอสถลอยหอมมาตามสายลมทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที
ตอนนี้เด็กฝึกวิชาโอสถสองคนกำลังนั้นวีเตาหม้อหลอมอยู่เมื่อเห็นพวกเย่หยวนเข้ามาสายตาของคนทั้งคู่นั้นก็ได้แสดงความเหยียดหยันออกมาทันที
เด็กฝึกวิชาโอสถในชุดม่วงพูดใส่เย่หยวนด้วยท่าทางไม่พอใจ “เป็นเจ้าเองหรือที่คิดท้าทายท่านอาจารย์? อายุก็ไม่ได้ห่างจากเรามากมายช่างประเมินตัวเองสูงล้ำเสียจริง”
เด็กฝึกวิชาโอสถในชุดเขียวพูดขึ้นตามด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรอย่างมาก “หึ! แค่ชนะสามผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าได้เจ้าก็หลงตัวเองเสียแล้ว! พวกนั้นทั้งหลายมันไม่ได้มีค่าใดต่อหน้าท่านอาจารย์หรอก!”
คำพูดนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายที่ด้านข้างได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมาอย่างไม่อาจจะรักษาท่าทางทรงเกียรติได้แล้ว
แต่มันก็ช่วยไม่ได้หรอกที่พวกเขาทั้งหลายจะไม่อาจรักษาเกียรติไว้ได้ต่อหน้าเด็กทั้งสองคนนี้ เพราะทั้งสองคนนี้คือศิษย์โดยตรงของเทพสวรรค์เปียวหยู่ ทั้งสองนั้นมีตำแหน่งสถานะที่สูงล้ำกว่าพวกเขามาก มากพอที่จะว่ากล่าวพวกเขาได้
และพวกเขาก็รู้ดีด้วยว่าพลังฝีมือของคนทั้งสองนี้มันเหนือล้ำธรรมดาไปมาก
หากมีใครคิดว่าพวกเขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มคงต้องเสียใจไปจนวันตายแน่
แต่จู่ๆ พวกเขาทั้งหลายก็ได้นึกถึงสัตว์ประหลาดที่เดินเข้ามากับพวกเขาด้วยคนนี้อีกครั้งด้วยท่าทางสิ้นหวัง
หากเด็กฝึกวิชาโอสถทั้งสองนี้เก่งกาจได้มันก็เก่งกาจได้เพราะคำแนะนำสั่งสอนจากอาจารย์ที่เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาว แต่เย่หยวนเล่า?
เย่หยวนนั้นมาจากเมืองจักรพรรดิบ้านนอกเมืองหนึ่งแต่กลับก้าวเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ เรื่องนั้นมันมีแต่สัตว์ประหลาดเท่านั้นที่จะทำได้
“ซือหยู่ ชิงหยุน อย่าได้เสียมารยาท!”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังทำสีหน้าไม่ถูกกันอยู่นั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏกายออกมา
เย่หยวนหันไปมองดูยังผู้มาถึงแต่กลับไม่สามารถจะมองให้เห็นเขาได้ชัดเจน
เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คือเทพสวรรค์เปียวอยู่แน่แล้ว แต่เขากลับไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนนักราวกับว่าบนใบหน้าของเขานั้นมีหมอกลงอยู่หนาจัด
ร่างกายของเทพสวรรค์เปียวหยู่นั้นดูดังเป็นร่างอวตารของยอดเต๋า เป็นความรู้สึกที่ลึกลับและเลื่อนลอย
แม้นี่จะมิใช่ครั้งแรกที่เย่หยวนได้เห็นเทพสวรรค์และเขายังถึงขั้นเคยฆ่าสังหารเทพสวรรค์ลงแต่เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มันได้กดกลังเต๋าสวรรค์ที่รุนแรงของคนทั้งหลายนั้นไว้
แต่ในมหาพิภพถงเทียนนี้เย่หยวนเพิ่งจะได้พบเจอเทพสวรรค์ระดับสูงเป็นครั้งแรก มันช่างเป็นพลังที่เหนือล้ำและลึกลับ
เมื่อซือหยู่และชิงหยุนทั้งสองเห็นเทพสวรรค์เปียวหยู่สีหน้าท่าทางไม่พอใจใดๆ ก็ได้จางหายไปทันที
เพียงแค่ว่าในดวงตานั้นลึกๆ มันยังคงมีร่องรอยของความดูถูกอยู่
“พวกเราขอคารวะท่านเปียวหยู่!” เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้เห็นการมาถึงของเทพสวรรค์เปียวหยู่พวกเขาก็รีบก้มหัวลงคารวะทันที
เย่หยวนเองก็ยกมือขึ้นตาม “ขอบคุณท่านเปียวหยู่ที่รับคำขอของข้านี้!”
เปียวหยู่หันมองอีกฝ่ายแล้วถามขึ้น “เจ้าอยู่ที่อาณาจักรเต๋าขั้นสุด?”
นั่นทำให้ทั้งเย่หยวนทั้งเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายแตกตื่นขึ้นทันทีที่ได้ยิน
เย่หยวนนั้นไม่นึกไม่ฝันว่าเทมพสวรรค์เปียวหยู่คนนี้จะสามารถมองเขาออกได้ภายใต้พริบตา
เพราะอาณาจักรวิชานั้นมันแตกต่างจากอาณาจักรบ่มเพาะการต่อสู้ มันเป็นการยากมากที่จะมองให้ออก
ที่สำคัญอาณาจักรเต๋านั้นมันยังเป็นอะไรที่เหนือล้ำและเลื่อนลอยคนทั่วไปย่อมไม่อาจจะมองมันออกได้เลย
แต่เปียวหยู่คนนี้กลับทำได้ในพริบตา
เหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลายต่างหน้าซีดขาวลงด้วยความหวาดกลัว พวกเขานั้นรู้ดีว่าเย่หยวนนี้อยู่ในอาณาจักรเต๋าเพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหลายไม่มีใครนึกถึงว่าเย่หยวนจะอยู่ที่อาณาจักรเต๋าขั้นสุด
อาณาจักรวิชาหลอมโอสถนี้มันแตกต่างจากอาณาจักรบ่มเพาะการต่อสู้ จากขั้นต้นไปยังขั้นสุดนั้นต่อให้ผู้คนใช้เวลาทุ่มเทให้กับมันทั้งชีวิตก็ใช่ว่าจะสามารถก้าวเดินไปถึงได้
สำหรับนักหลอมโอสถส่วนมากแล้วอาณาจักรเต๋าขั้นสุดนั้นมันคือเป้าหมายสุดท้ายปั้นปลายของชีวิต!
แต่เย่หยวนนั้นกลับสามารถขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ มันช่างเป็นอะไรที่เหนือล้ำจนทำให้ผู้คนไม่รู้จะตื่นตะลึงอย่างไร
เมื่อตอนนี้พวกเขาลองหันไปมองดูเย่หยวนอีกครั้งพวกเขากลับมีความรู้สึกว่าร่างกายของเย่หยวนนั้นช่างกำยำใหญ่โต
“หรือว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสเปียวหยู่ท่านจะอยู่ในอาณาจักรบรรพกาล? หากเป็นเช่นนั้นแล้วผู้เยาว์คงใจร้อนเกินไป!”
ไม่นานนักเย่หยวนก็กลับมาตั้งสติได้และตอบคำถามด้วยคำถามไป
เปียวหยู่ยิ้มออกมา “มีหรือที่อาณาจักรบรรพกาลมันจะขึ้นถึงได้ง่ายดายปานนั้น? แต่ทว่าเทพสวรรค์คนนี้เองก็คงอยู่ไม่ห่างมันมากแล้ว! ส่วนเรื่องที่ข้ามองอาณาจักรของเจ้าออกได้นั้น เมื่อเจ้าก้าวขึ้นมาถึงจุดที่ข้ายืนมันก็ย่อมจะมองออกได้อย่างง่ายดาย”
…………………………