Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1939 มังกรคู่ทะยานฟ้า!
คำพูดนี้ของเทพสวรรค์เปียวหยูมันทำให้พวกซือหยู่ใจสั่นระรัว
การลงมือในครั้งนี้ของเย่หยวนดูอย่างไรมันก็เป็นแค่การกระทำมั่วๆ ไร้ทิศทางมีอะไรที่มันจะยอดเยี่ยมได้?
“วิชานี้มันอาจจะดูเหมือนความมั่วไร้แบบแผน แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังมันมีแผนการแยบยลอยู่ เขานั้นได้ทำให้หม้อหลอมทำการด้วยตัวเองจากวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำของเขาตราบเท่าที่มีสมุนไพรวิญญาณใดเข้าลงสู่หม้อหลอมแล้วพวกมันก็จะถูกไฟศักดิ์สิทธิ์และหม้อหลอมควบคุมทุบตีจนสุดท้ายเหลือเพียงแก่นของสมุนไพรเท่านั้น! แน่นอนว่าหากอยากทำให้ได้ถึงขั้นนี้คนผู้นั้นย่อมต้องคุ้นชินกับคุณสมบัติสรรพคุณของสมุนไพรวิญญาณอย่างมากพร้อมด้วยวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำจึงจะใช้หม้อหลอมได้เช่นนี้ แต่ความต้องการที่ว่ามานั้นมันช่างสูงส่งจนคนธรรมดาทั่วไปทั้งหลายย่อมเลียนแบบไม่ได้”
เทพสวรรค์เปียวหยูพูดออกมาด้วยความลื่นไหลและมั่นใจแต่ทุกผู้คนกลับตื่นตะลึงจนไม่อาจห้ามใจให้สั่นสะท้านได้
“หม้อหลอมกลั่นแก่นสมุนไพรวิญญาณเอง? นี่มันเป็นไปได้หรือ?” เฉินหยู่ร้องขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัว
เขาเองนั้นก็เป็นผู้อยู่ในอาณาจักรเต๋า เขาย่อมรู้ดีว่าการทำเช่นนั้นมันเป็นความยากในระดับไหน
เทพสวรรค์เปียวหยูพูดขึ้นต่อ “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น ที่เจ้าทำไม่ได้นั้นล้วนเป็นเพราะเจ้าฝีมือไม่ถึงขั้น วิชาการคุมไฟของเย่หยวนนี้มันสูงจนถึงจุดสุดยอด แม้แต่เทพสวรรค์ผู้นี้ก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเหนือเขาได้”
‘ซี้ด!’
เสียงสูดหายใจเข้าลึกดังก้องทั่วโถง
วิชาควบคุมไฟของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นเหนือล้ำเพียงใดพวกเขายังไม่อาจจะคาดเดาได้
แต่เขากลับกล่าวออกมาว่าวิชาควบคุมไฟของเย่หยวนนี้มันไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขา
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแค่ไหนกัน?!
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเทพสวรรค์เปียวหยูนี้ก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ที่อยู่มานับล้านๆ ปีจึงสามารถเข้าใจและเก่งกาจในวิชาควบคุมไฟได้เช่นนั้น
แต่เย่หยวนเล่า?
เขานั้นอายุแค่พันกว่าปีเพียงเท่านั้น!
ซือหยู่และชิงหยุนในตอนนี้ไม่กล้าจะเปิดปากพูดใดๆ อีกต่อไปด้วยใบหน้าสุดแสนเหยเก
คนทั้งสองนั้นมีอายุมากกว่าเย่หยวนไม่น้อยแต่ในเรื่องการควบคุมไฟแล้วพวกเขายังไม่อาจจะเลียรองเท้าเย่หยวนได้เสียด้วยซ้ำ
ต่อให้อาจารย์ของพวกเขาจะตามใจสักเท่าใดเขาก็ไม่เคยมอบคำชมที่ไม่มีมูลให้แก่พวกเขา
“หึๆ ท่านผู้อาวุโสเปียวหยูมองข้าเสียทะลุปรุโปร่งแล้ว” เย่หยวนบอก
เปียวหยูตอบกลับมา “ข้าและเจ้าย่อมรู้กันดี มีความจำเป็นใดต้องมาอ่านกันด้วย? ต่อไปนี้เทพสวรรค์ผู้นี้จะไม่ออมมืออย่างเด็ดขาด นี่คือวิชาที่เทพสวรรค์ผู้นี้สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองนามเคล็ดวิวรณ์วิญญาณสวรรค์ เจ้าจงระวังให้ดี”
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “โปรดชี้แนะเคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศด้วย!”
ได้ยินเช่นนั้นเทพสวรรค์เปียวหยูก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมาก่อนจะคิดขึ้นในใจว่าชื่อเคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศนี้มันเป็นความตั้งใจหรือไม่? คำว่าบัญชาสารทิศนี้มันมิใช่คำที่ใครๆ ก็สามารถใช้ได้!
แต่ไม่นานนักความคิดของเขาก็สงบลงและเริ่มเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง
คลื่นเต๋าที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้เริ่มปะทุขึ้นมาจนเต็มโถงสิ้น
และตอนนี้เส้นไหมเพลิงก็ค่อยๆ ไหลลงไปในหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตราวสายน้ำ
มันเป็นความงดงามที่เงียบงัน
เย่หยวนหรี่ตาลงทันทีตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นคือยอดฝีมืออย่างแท้จริง
ตั้งแต่เริ่มการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้ามานั้นเย่หยวนยังไม่เคยพบเจอใครที่เก่งกาจเท่านี้มาก่อน
เย่หยวนเองก็ไม่คิดรอช้าเริ่มใช้เคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศออกมาปล่อยพลังอันลึกล้ำขึ้นรอบกาย
คลื่นพลังทั้งสองนั้นเริ่มเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
การปะทะนี้มันทำให้สติของเย่หยวนแทบหลุดออกจากร่าง
ช่างเป็นพลังที่รุนแรง!
เย่หยวนรู้สึกราวกับว่าตรงหน้ามีภูเขาทั้งลูกร่วงลงมากดทับ เป็นความรุนแรงอย่างที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
สำหรับการประลองก่อนๆ หน้านี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเก่งกาจเพียงใดไม่ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีหนักหน่วงแค่ไหนมันก็ยังไม่เคยทำให้เย่หยวนสั่นคลอนได้แม้สักครั้ง
แต่ในครั้งนี้เย่หยวนกลับไม่อาจเข้าปะทะอีกฝ่ายได้ตรงๆ
และคลื่นพลังนี้มันก็มิใช่คลื่นพลังที่มาจากพลังของเทพสวรรค์แต่เป็นคลื่นพลังที่เกิดขึ้นจากการหลอมโอสถ
เพราะว่าขีดจำกัดของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าไม่ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งแค่ไหนสุดท้ายมันก็จะไม่เกินไปกว่าระดับห้าอย่างแน่นอน
เพียงแค่ว่าพลังในวิชาโอสถนั้นมันจะปล่อยคลื่นพลังที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงออกมา
พลังที่รุนแรงนั้นมันอาจส่งผลกระทบถึงชีวิต เมฆหมอก สั่นสะท้านฟ้าดิน
ส่วนฝ่ายที่อ่อนแอก็จะได้แต่ก้มหน้าก้มตาเอาตัวรอดแทบไม่ไหว
แต่ตอนนี้คลื่นพลังจากการหลอมของเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนกำลังเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเงาร่างของสองมังกรใหญ่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
คลื่นพลังที่เกิดจากการหลอมนี้จะเรียกว่ามันสั่นสะท้านฟ้าดินก็คงไม่ผิดนัก
ครั้งนี้ทั้งซือหยู่ทั้งชิงหยุนต่างไม่กล้าที่จะพูดจาดูถูกเย่หยวนใดๆ อีก
เพราะแม้ว่าคลื่นพลังหลอมของเย่หยวนมันจะดูอ่อนแอกว่าเทพสวรรค์เปียวหยูแต่มันก็ยังเป็นพลังที่เหนือล้ำจนทำเอาผู้คนไม่กล้าอ้าปากพูด
เพราะความรุนแรงเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางใดเลยที่จะปล่อยมันออกมาได้
ในตอนนี้พวกเขาได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาจารย์ของพวกเขาจึงได้คิดจะรับคำท้าของเด็กหนุ่มนภาสวรรค์ผู้นี้
เพราะเย่หยวนนั้นมีค่าพอ
ส่วนที่อีกด้านทางเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลายต่างก็ตื่นตกใจจนหน้าถอดสี
โดยเฉพาะพวกเฉินหยู่ทั้งสามคนที่เคยประลองกับเย่หยวนมาก่อน ที่ตอนนี้รู้สึกใจสั่นระรัว
“ที่แท้ตอนนั้นเย่หยวนยังไม่ได้เอาจริง! ตอนที่เขาประลองกับพวกเรานั้นเขาไม่ได้ใช้พลังฝีมือทั้งหมดออกมาเลย!” เฉินหยู่ร้องขึ้นด้วยหน้าซีดเผือด
เซินชางเองก็พยักหน้ารับ “อาณาจักรเต๋าขั้นสุด! นี่คือพลังของอาณาจักรเต๋าขั้นสุด! คนอย่างเราๆ ย่อมไม่มีทางจินตนาการได้!”
เซียวเจิ้นกล่าวขึ้นพร้อมถอนหายใจยาว “ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้นคิดท้าทายท่านเปียวหยู! เพราะพวกเราเหล่าคนธรรมดาไม่อาจทำให้เขาสนใจได้เลย! เด็กคนนี้มันช่างมีพรสวรรค์ที่น่ากลัวขั้นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดได้ตั้งแต่อายุยังหนุ่มน้อยเพียงแค่นี้! หลังผ่านไปอีกหลายล้านปีบางทีมหาพิภพถงเทียนอาจจะได้ให้กำเนิดโอสถบรรพกาลคนใหม่ก็ได้”
ทุกผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตะลึงขึ้นมาในหัวใจ
ในเวลาหลายหมื่นล้านปีที่ผ่านมานี้มีโอสถบรรพกาลเกิดขึ้นมาเพียงแค่คนเดียว
แม้ว่าทางเผ่าอสูรเองก็จะได้กำเนิดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลขึ้นมาแต่พลังฝีมือของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นก็ยังอ่อนแอหากเทียบเคียงกับโอสถบรรพกาล
แต่เย่หยวนในอายุเท่านี้มันหมายถึงความเป็นไปได้ที่ไร้จำกัด
ใครจะกล้าบอกว่าเขาคนนี้ว่าวันข้างหน้าไม่อาจขึ้นไปถึงขั้นโอสถบรรพกาลได้?
ระหว่างที่พวกเขาทั้งหลายพูดคุยกันไปคลื่นพลังจากเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำการหลอมกันไปได้จนถึงส่วนสำคัญ
‘โฮ่ก!’
เงามังกรม่วงเงาหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าผ่านตัวตึกที่อยู่และพุ่งไปยังเส้นขอบฟ้า
แต่ทางเย่หยวนเองก็ไม่ได้ยอมแพ้และเริ่มหลอมถึงจุดสำคัญบ้าง
‘โฮ่ก!’
เงาร่างมังกรอีกตัวหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปจนตามติดมังกรม่วงนั้นได้อย่างรวดเร็ว
เงามังกรทั้งสองนั้นเข้าปะทะกันที่เส้นขอบฟ้าด้วยพลังที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้สภาพของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มปกคลุมไปด้วยความมืดครึ้มขึ้น
ตอนนี้ท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ของเมืองนี้มันกำลังเกิดเงาของเมฆฝนเข้ามาบดบัง
เหล่านักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองต่างตื่นตะลึงกับภาพของสองมังกรที่ปะทะกันอยู่ที่เส้นขอบฟ้า
“ปรากฏการณ์นี้มันมีที่มาจากเขาเมฆาฝัน ได้ยินว่าวันนี้ผู้อาวุโสคนใหม่ของศาลาโอสถสวรรค์จะขึ้นไปท้าประลองกับท่านเทพสวรรค์เปียวหยูนี่ หรือว่าปรากฏการณ์นี้มันจะเกิดเพราะการประลองหลอมโอสถ?”
“ได้ยินมาว่าไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเทพสวรรค์เปียวหยูใช้นั้นคือเพลิงเจ้ามังกรปีกม่วง เจ้ามังกรสีม่วงตัวนั้นย่อมจะเป็นเงาพลังของท่านเทพสวรรค์เปียวหยูแล้วใช่หรือไม่? ส่วนเจ้ามังกรอีกตัวนั้นเล่าจะเป็นของเย่หยวนหรือ?”
“บ้าไปแล้วจริงๆ! ผู้อาวุโสเย่หยวนนั้นเป็นแค่จอมเทพโอสถห้าดาวแต่กลับสามารถต่อสู้กับเทพสวรรค์เปียวหยู จอมเทพโอสถเจ็ดดาวผู้นั้นได้อย่างไม่ด้อยกว่าหรือ?”
…
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการประลองของเย่หยวนและเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นมันสุดแสนจะยิ่งใหญ่จนตอนนี้ทำให้ผู้คนในเมืองต้องให้ความสนใจกันสิ้น
เพียงแค่ว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งหลายไม่ได้ตื่นตกใจถึงพลังของเทพสวรรค์เปียวหยู แต่พวกเขากำลังตื่นตะลึงที่จอมเทพโอสถห้าดาวคนหนึ่งกลับสามารถปะทะกับจอมเทพโอสถเจ็ดดาวได้อย่างไม่ตกเป็นรอง!
จอมเทพโอสถห้าดาวนั้นกลับสามารถสร้างความโกลาหลได้ถึงขั้นนี้ พลังฝีมือของเย่หยวนคนนี้มันได้ล้ำกว่าที่ผู้คนทั้งหลายคิดไปไกลแล้ว
‘ปัง!’
ในตอนนั้นเองที่สองเงามังกรนั้นเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง
พลังวิญญาณที่ถูกคลื่นปะทะของสองมังกรเข้าเริ่มเกิดความแปรปรวนอย่างหนัก
ในพริบตาเดียวนั้นสภาพฟ้าดินเปลี่ยนแปลงร่ำร้อง ลมหมุนฟ้าผ่าราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังมาถึงตรงหน้า
‘เปรี้ยะ เปรี้ยะ เปรี้ยะ’
คลื่นสายฟ้าอันรุนแรงผสานเข้ากับพลังกดดันที่แปรปรวนพุ่งลงยังเขาเมฆาฝันจนผ่าลงกลางโถง!
…………………………