Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1941 โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณา
เคารพผู้ใหญ่!
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้กล่าวขึ้นเพื่อบอกแค่ซือหยู่และชิงหยุน แต่มันยังเป็นคำที่พูดให้เหล่าผู้อาวุโสศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายฟังด้วย
พวกเขาทั้งหลายเหล่านี้คือยอดจอมเทพโอสถหกดาวขั้นสุดที่มีชื่อเสียงสนั่นแผ่นดิน แต่กลับถูกบอกให้มาเคารพจอมเทพโอสถห้าดาวอย่างนั้นหรือ?
หากเป็นก่อนหน้าพวกเขาทั้งหลายย่อมไม่คิดจะยอมรับแม้ต้องตายตกลง
แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นพลังฝีมือของเย่หยวนอย่างชัดแจ้งแล้วพวกเขาย่อมไม่มีทางกล้าที่จะบ่นใดๆ ออกมาได้
เพราะเย่หยวนคนนี้สามารถประลองกับเทพสวรรค์เปียวหยูได้อย่างสูสีทั้งในด้านฝีมือและกำลัง
ที่สำคัญหลังจากเทพสวรรค์เปียวหยูประลองกับเย่หยวนแล้วเขายังได้บรรลุในเต๋าอีกด้วย!
อาณาจักรบรรพกาล!
สำหรับนักหลอมโอสถทั้งหลายแล้วอาณาจักรบรรพกาลนั้นคือเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต
ตราบเท่าที่คนผู้นั้นเดินทางมาในเส้นทางนักหลอมโอสถพวกเขาย่อมก็ต้องเฝ้าฝันถึงอาณาจักรบรรพกาลบ้างไม่มากก็น้อย!
แล้วอาณาจักรบรรพกาลนี้มันเป็นสิ่งที่ยากเย็นเกินเอื้อมเพียงใด?
หากให้เทียบแล้วมันคงยากกว่าการบ่มเพาะให้ขึ้นถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์เสียด้วยซ้ำ!
ในมหาพิภพถงเทียนนี้มันมีจักรพรรดิเทพสวรรค์อยู่ไม่น้อย แต่มันจะมียอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาลอยู่สักกี่คน?
เทพสวรรค์เปียวหยูที่ก้าวเดินมาจนถึงจุดนี้มันราวกับว่าตัวเขานั้นได้ก้าวย่างเท้าขึ้นไปเหยียบสวรรค์!
เช่นนั้นแล้วเย่หยวนคนที่ช่วยผลักดันให้เทพสวรรค์เปียวหยูขึ้นถึงจุดนี้ได้ ตัวเขาเองจะต้องเก่งกาจเหนือล้ำเพียงใด?
การบ่มเพาะของเย่หยวนในตอนนี้ยังนับได้ว่าต่ำต้อย แต่มันย่อมไม่มีใครจะสงสัยในอนาคตวันข้างหน้าของเขาอย่างแน่นอน!
“ท่านเย่หยวน!” เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก้มหัวลงต่อเย่หยวนในทันที
เย่หยวนพยักหน้ารับและกล่าวขึ้น “พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นผู้อาวุโส ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”
เย่หยวนนั้นยังแสดงท่าทีอ่อนน้อมออกมาแต่มีหรือที่พวกเขาจะกล้าทำตามที่เย่หยวนว่า?
ในวันหน้าเทพสวรรค์เปียวหยูจะไม่มาถกถอนผมพวกเขาจนหมดหัวหรือ?
แต่เซินชางนั้นไม่อาจจะทนความสงสัยที่มีในใจได้อีกต่อไปจึงถามขึ้น “นายท่าน ข้าเพียงแค่สงสัยว่าการประลองนี้ใครกันแน่ที่ชนะใครกันแน่ที่แพ้?”
เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าผู้คนทั้งหลายนั้นสงสัยจึงยิ้มตอบกลับไป “ข้าแพ้!”
ได้ยินเช่นนั้นทุกผู้คนก็รู้สึกโล่งขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เทพสวรรค์เปียวหยูนั้นมอบหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตออกมาทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นคิดไปว่าการประลองครั้งนี้เทพสวรรค์เปียวหยูจะแพ้
แต่แม้ว่าเย่หยวนจะเป็นฝ่ายแพ้มันก็ไม่มีใครกล้าพูดจาดูถูกเขาอีกต่อไปแล้ว
เมื่อได้เห็นเซินชางที่ยังมีใบหน้าติดใจสงสัยไม่หายเย่หยวนจึงได้โยนขวดโอสถนั้นออกไปให้ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ผู้อาวุโสเปียวหยูและข้าประลองหลอมโอสถกัน มีแค่พวกท่านทั้งหลายที่รู้ถึงผลของมัน หากมีเรื่องใดแพร่งพรายออกไปข้านั้นย่อมจะไม่ถือโทษพวกท่าน แต่ในวันหน้าผู้อาวุโสเปียวหยูท่านออกมาจากการเก็บตัวเมื่อใดท่านคงต้องมาจัดการลงโทษพวกท่านทั้งหลายแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็แทบลืมหายใจ
เพราะแม้ว่านี่จะเป็นชัยชนะของเทพสวรรค์เปียวหยูแต่เย่หยวนเองก็เก่งกาจประลองได้อย่างสูสีมาก
หากเรื่องราวเช่นนั้นถูกเผยออกไปในโลกภายนอกแล้วมันคงสร้างความเสียหายให้แก่ชื่อของเทพสวรรค์เปียวหยู
เซินชางรับขวดใบน้อยนั้นมาและปล่อยจิตของตนลงไปด้านในก่อนจะตัวแข็งทื่อไปทันที
คนทั้งหลายที่ได้เห็นก็รู้สึกสงสัยจนแทบห้ามใจไม่ได้ “พี่เซิน เป็นอย่างไรบ้าง พูดอะไรออกมาหน่อยสิ!”
เซินชางนั้นสะดุ้งตัวขึ้นทันทีก่อนจะมอบขวดใบน้อยไปต่อให้เฉินหยู่ “เจ้าดูเองเถอะ”
เฉินหยู่เองก็มึนงงไม่แพ้คนอื่นๆ แต่ก็ยังรับขวดนั้นมาและส่งจิตลงไปดูก่อนจะแข็งทื่อไปไม่ต่างกัน
ทุกคนมึนงงกับสภาพของคนทั้งสองนี้มากแต่พวกเขาก็รู้ดีว่าโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นี้มันต้องไม่ใช่โอสถธรรมดาแน่ๆ
เมื่อยื่นมอบมันไป ทุกผู้คนต่างตัวแข็งทื่อเมื่อได้รับมัน
พร้อมด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความตื่นตะลึงอย่างที่สุด
เมื่อซือหยู่และชิงหยุนเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็แทบจะอยากกระโดดเข้าไปแย่งคว้าขวดใบน้อยนั้นมาดูกับตา
เจ้าโอสถนี่มันมีพลังเวทมนตร์ใดหรือจึงสามารถทำให้เหล่าผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายแสดงสีหน้าราวกับเห็นผีออกมาเห็นนั้นได้?
หลังจากโอสถเลื่อนมาถึงพวกเขาทั้งสองบ้างสีหน้าของพวกเขาเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนทั้งหลายเลย
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณา! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเฒ่าคนนี้จะได้เห็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาในชีวิตนี้! คุ้มค่าที่เกิดมาจริงๆ!” จู่ๆ ทางเซินชางก็ถอนหายใจยาว
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ เองก็พยักหน้าออกมาด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับเซินชาง
เขานั้นพูดถูก เพราะโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ที่เย่หยวนหลอมขึ้นมานี้มันคือโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาที่หาได้ยากยิ่ง!
ในแต่ละขึ้นของเทวะขึ้นไปนั้นทั้งเทวะม่วง เทวะโมฆะ เทวะวิญญาณไพศาล เทวะวิญญาณมรณาและเทวะตำนานนั้นแต่ละขั้นต่างยากเย็นกว่าขั้นก่อนอย่างมหาศาล
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นหากคิดอยากหาจริงๆ ก็ยังพอที่จะมีโอสถพบเห็นได้บ้าง
แต่โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณานั้นจะเรียกมันว่าเป็นของที่แทบสูญสิ้นไปจากมหาพิภพถงเทียนแล้วก็ว่าได้!
บางทีแล้วโอสถบรรพกาลผู้นั้นอาจจะยังพอหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาได้บ้าง
ส่วนโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะตำนานนั้นสำหรับพวกเซินชางแล้วมันมิใช่สิ่งที่จะกล้าคิดถึงได้เลย
เฉินหยู่มองดูเย่หยวนด้วยความมึนงง “นายท่าน ท่านนั้นหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณาแล้วเหตุใด…เหตุใดยังแพ้อีกเล่า?”
การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณานั้นมันยากเย็นเพียงใด?
สำหรับนักหลอมโอสถแล้วมันเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่าการบรรลุขึ้นอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์!
เย่หยวนนั้นหลอมโอสถได้ถึงขึ้นเทวะวิญญาณมรณา แค่นี้มันก็มากพอจะเหนือล้ำกว่าผู้คนทั้งโลกแล้วเหตุใดยังแพ้ได้อีก?
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เพราะว่าท่านผู้อาวุโสเปียวหยูเองก็สามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาออกมาได้เช่นกัน น่าเสียดายที่ท่านนั้นมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในด้านโอสถมากกว่าข้า ทำให้… คุณภาพโอสถของท่านเหนือกว่าข้าไปนิดหน่อย”
พูดมาถึงตรงนี้เย่หยวนก็แสดงสีหน้าท่าทางเสียดายออกมา
เพราะในการประลองนี้เย่หยวนเองได้ก็รับความรู้ประโยชน์ไปมหาศาลเช่นกัน
อาณาจักรบรรพกาลที่ดูเลื่อนลอยนั้นมันเริ่มดูแจ่มชัดขึ้นมาในสายตาของเย่หยวนแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เขานั้นเพิ่งขึ้นมาถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดนี้ได้ไม่นานนักทำให้ความเข้าใจที่เขาได้นั้นไม่อาจเทียบเคียงกับเทพสวรรค์เปียวหยูที่อยู่หน้าประตูอาณาจักรบรรพกาลได้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังหลอมโอสถออกมาได้แย่กว่าเพียงน้อยนิด พ่ายแพ้เทพสวรรค์เปียวหยูไปแค่เส้นผม
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างหันมองหน้ากันด้วยความตื่นตกใจ
พวกเขานั้นย่อมรู้ดีว่าแม้การประลองครั้งนี้มันจะดูเท่าเทียมแต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีฝ่ายที่ได้เปรียบและฝ่ายที่เสียเปรียบ
หม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตนั้นไม่ว่าจะดูอย่างไรมันก็มีคุณภาพดีกว่าหม้อหลอมมังกรจร
ในตอนท้ายนั้นทางหม้อหลอมมังกรจรได้แตกทลายออกและเป็นเย่หยวนที่ต้องใช้พลังในการควบคุมทั้งหมดเพื่อคงสภาพของหม้อนั้นไว้
การทำเช่นนั้นมันย่อมเหนือยากไม่น้อย
เมื่อทำการหลอมโอสถแม้ความแตกต่างเพียงนิดมันก็สร้างผลลัพธ์ที่สุดขั้วออกมาได้ แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้เองมันก็ย่อมจะส่งผลถึงคุณภาพของโอสถในที่สุด
นอกจากนั้นแล้วเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยังเป็นเทพสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นด้านปราณเทวะ พลังจิตศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่ประสบการณ์ในการหลอมโอสถมามันย่อมเหนือล้ำกว่าเย่หยวนอย่างมาก
ภายใต้ความเสียเปรียบนี้เย่หยวนก็ยังสามารถตีตื้นขึ้นมาและแพ้ไปเพียงแค่เส้นผม
หากจะบอกว่าแท้จริงเย่หยวนเป็นฝ่ายชนะก็คงไม่ผิด!
แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมจะไม่คิดหาข้าอ้างใดๆ ให้ตัวเอง แพ้ก็คือแพ้ เขาย่อมยอมรับความผิดพลาดได้เสมอ
เพราะผลประโยชน์ความเข้าใจที่เขาได้รับจากการประลองครั้งนี้มันเหนือล้ำกว่าจะมาสนใจผลแพ้ชนะหาข้ออ้างใดๆ
“นายท่าน หมายความว่า… วันหน้าท่านจะสามารถหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณาหรือ?” เซินชางอดถามขึ้นไม่ได้
เย่หยวนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “จะเป็นไปได้อย่างไร? ตอนที่การประลองนี้เริ่มถึงจุดสิ้นสุดวิชาการหลอมโอสถของผู้อาวุโสเปียวหยูและข้านั้นได้รวมเป็นหนึ่ง จนกลายเป็นแค่ร่างเดียว ทางท่านผู้อาวุโสท่านได้เพิ่มผสานพลังให้โอสถของข้าด้วยวิชาของท่าน ส่วนข้าเองก็ได้ช่วยเพิ่มผสานพลังให้โอสถของท่าน มันจึงได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา หากให้ข้าไปหลอมเองอีกครั้งมันก็คงไม่มีทางขึ้นมาถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณาได้แน่”
เป็นเวลานั้นเองที่ทุกผู้คนได้เข้าใจ
แท้จริงแล้วในวินาทีสุดท้ายนั้นคนทั้งสองได้เปลี่ยนจากศัตรูเป็นสหายเข้าช่วยซึ่งกันและกันจนทำให้เกิดปาฏิหาริย์หลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาเช่นนี้ขึ้นมาได้
…
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดเย่หยวนก็ได้ออกมาจากการเก็บตัว
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้เย่หยวนได้ย้อนกลับไปนึกถึงการประลองนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล
และเรื่องของการประลองนั้นเองมันก็ได้กลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนในเมืองต่างหยิบขึ้นมาคุยกันอยู่ตลอดเวลา
แต่แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นย่อมเชื่อว่าท้ายสุดแล้วเขาก็เป็นฝ่ายแพ้แพ้เทพสวรรค์เปียวหยู
แม้ว่าพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมามันจะเหนือล้ำแต่ต่อหน้าเทพสวรรค์เปียวหยู จอมเทพโอสถเจ็ดดาวคนนั้นแล้วมันย่อมยังไม่ถึงขั้น
ในเรื่องนี้เย่หยวนย่อมไม่ได้คิดจะไปสนใจใดๆ
เพราะตอนนี้เป้าหมายที่เขาเดินทางมายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวมันก็ได้สิ้นสุดลงแล้วและแน่นอนว่าเย่หยวนย่อมคิดจะเดินทางกลับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันที
“นายท่าน ด้วยพรสวรรค์ของท่านแล้วการไปอยู่เมืองจักรพรรดิมันจะเสียเวลาเปล่าเกินไป! ทำไมท่านไม่อยู่ที่ศาลาโอสถสวรรค์ต่อไปเล่า?” เซินชางถามขึ้น
…………………………