Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1947 ทะลวงเข้าภายใน
“นายท่าน ทูตจากเมืองจักรพรรดิเมฆาจันทร์มาถึงและกำลังรอขอเข้าพบอยู่ที่ด้านนอก” หนิงเทียนปิงบอก
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ให้พวกเขาเข้ามา เมืองจักรพรรดิเมฆาจันทร์และหอมหาสมบัตินั้นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ข้าเองก็คงปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้ ที่สำคัญครานี้เจ้าเมืองยังมาด้วยตนเอง แค่นั้นมันก็คือเป็นการไว้หน้าเรามากพอแล้ว”
หนิงเทียนปิงกล่าวขึ้น “นายท่าน เรื่องราวเช่นนี้ปล่อยให้ท่านเจ้าเมืองโซชูเจียจัดการไปมันจะไม่ดีกว่าหรือ? มีเหตุใดให้นายท่านต้องออกมารับหน้าเองด้วย?”
เย่หยวนยิ้มออกมา “การมีไม้ใหญ่ให้พักพิงนั้นมันดีเสมอ! ข้านั้นย่อมไม่ต้องทำการไว้หน้าใครทั้งสิ้นแต่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นไม่อาจใช้แค่พลังของข้าผู้เดียวปกป้องดูแลได้ แต่หากเรานั้นมีค่ายกำลังของจักรพรรดิเทพสวรรค์คอยช่วยดูแลมันย่อมปลอดภัยกว่า”
เมื่อหนิงเทียนปิงได้ยินเขาก็รู้สึกได้ถึงความเคารพที่ล้นเปี่ยมออกมาจากใจ
ในสายตาของเขาแล้วเหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เห็นแก่ตัวดูดเลือดดูดเนื้อของนักยุทธ์ทั้งหลาย
แต่เย่หยวนนั้นแตกต่างออกไป เขานั้นไม่เคยผูกมัดกับสิ่งใด แม้แต่ตำแหน่งผู้ตรวจการนี้เองเขาก็ไม่ได้ยึดติดใดๆ เสียด้วยซ้ำ
แต่เพื่อจะปกป้องคนรอบกายเขาแล้วเย่หยวนกลับเลือกที่จะพัฒนาเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ให้ก้าวหน้า ทั้งยังไปสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับยอดกองกำลังอย่างหอมหาสมบัติไว้ด้วย
เมื่อกลายเป็นเช่นนี้แล้วผู้คนทั้งหลายย่อมต้องยอมรับทำเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
หนิงเทียนปิงนั้นรู้ดีว่าด้วยนิสัยของเย่หยวนเขาย่อมไม่คิดสนใจทำเรื่องราวยุ่งยากเช่นนี้เพื่อตัวเอง
หลังจากหนิงเทียนปิงจากไปไม่นานเขาก็ได้นำพากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา
คนที่นำหน้ามานั้นคือชายวัยกลางคนผู้มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์แปดดาว เก่งกาจที่สุดในเหล่าผู้คนทั้งหลายที่มา
เมื่อคนผู้นั้นเห็นเย่หยวนเขาก็รีบยกมือขึ้นคารวะทันทีพร้อมหัวเราะยิ้ม “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าท่านเย่นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อได้มาเจอวันนี้ข้าถึงได้เข้าใจความเหนือล้ำของท่าน!”
เย่หยวนจึงยกมือขึ้นมาคารวะตอบพร้อมยิ้มรับ “ท่านเจ้าเมืองซูกวงเองก็มีตำแหน่งใหญ่โตมิใช่คนธรรมดา การขึ้นถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้เองก็คงอยู่ไม่ไกลแล้ว มาเถอะๆ มานั่งคุยกันก่อน”
ทุกผู้คนต่างแยกย้ายกันนั่งตามที่นั่งเจ้าบ้านและแขกก่อนจะเป็นเย่หยวนที่พูดขึ้นมาก่อน “โอสถที่ท่านเจ้าเมืองซูกวงขอมานั้นเย่ผู้นี้ย่อมจะเตรียมการให้อย่างรวดเร็ว แต่คงต้องขอให้ท่านรออีกสักสองวัน”
ซูกวงหัวเราะลั่น “ไม่รีบๆ ข้ารู้ดีว่าท่านเย่นั้นมีวิชาโอสถที่เหนือล้ำไร้ใครต้านใต้ฟ้าดินนี้ ข้าจะรีบมากมายไปเพื่อเหตุใดกัน? ซูผู้นี้ย่อมรู้ดีว่าการขอให้ท่านเย่ลงมือนั้นมิใช่เรื่องง่ายและได้เตรียมของอย่างดีไว้ให้ นี่คือสมบัติที่ข้านำพามาด้วย ท่านเย่โปรดรับไว้เถอะ”
เย่หยวนพยักหน้า “โอ้? ท่านเจ้าเมืองซูกล่าวเช่นนั้นเย่ผู้นี้คงต้องขอดูเสียหน่อยแล้ว เทียนปิง ไปจัดการเตรียมงานเลี้ยงครั้งใหญ่ไว้ให้ท่านเจ้าเมืองซูกวงตามเหมาะสม”
หนิงเทียนปิงแสดงสีหน้ามึนงงออกมาเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับและจากไป
ซูกวงยิ้มขึ้นพร้อมนำถาดออกมา ทำให้ดวงตาของเย่หยวนหรี่ลงทันทีเพราะเจ้าถาดใบนี้มันไม่ธรรมดา เป็นถึงสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ!
“ท่านเย่ สมบัติชิ้นนี้มีนามว่า…ขวางมิติไร้รอย!”
ระหว่างที่ซูกวงพูดไปพื้นที่รอบๆ ก็เริ่มจับตัวขึ้นทำให้ทุกสิ่งอย่างเริ่มเบลอลง
เย่หยวนได้แต่หรี่ตาลงมองแต่ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตกใจใดๆ
ซูกวงนั้นยังคงยิ้มต่อไป “เมื่อสิ่งนี้ถูกใช้งานแล้วพื้นที่รอบมันจะถูกปิดตาย! ผู้คนภายในไม่อาจออก ผู้คนภายนอกไม่อาจเข้า! หึๆ ท่านเย่ ท่านจะยอมแพ้ดีๆ หรือต้องให้พวกเราทั้งหลายลงมือกัน?”
เย่หยวนมองดูที่ซูกวงอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าทั้งหลายคือคนจากประตูวิญญาณมรณา?”
นั่นทำให้ใบหน้าของซูกวงเปลี่ยนสีไปทันที “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เย่หยวนมองดูที่ ‘ซูกวง’ พร้อมกล่าวขึ้น “เจ้านั้นมีวิชาการปลอมตัวที่เป็นเลิศ แต่น่าเสียดาย…ที่เจ้าไม่อาจหลอกสายตาของข้าได้ การที่จะสามรถมีวิชาปลอมตัวที่เป็นเลิศเช่นนี้ได้นอกจากประตูวิญญาณมรณาแล้วข้าก็ไม่อาจนึกถึงใครได้อีกเลย”
เมื่อบ่มเพาะแปลงร่างกายมาจนถึงระดับหกได้แล้วแน่นอนว่าผลประโยชน์ที่เย่หยวนได้รับมันย่อมมิใช่แค่อย่างสองอย่าง
คราวนี้เย่หยวนนั้นได้สร้างข้อต่อเชื่อมกายเนื้อใหม่จนสิ้น แน่นอนว่าพลังกายใดๆ ของเขาก็ย่อมพัฒนาขึ้นอย่างเหนือล้ำเช่นกัน
ที่สำคัญแล้วเนตรสุริยันจันทราเทวะก็ได้อยู่กับเย่หยวนมาอย่างเนิ่นนานเมื่อได้รับการเสริมพลังจากกายของเย่หยวนมันจึงมีอำนาจพลังเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
ในตอนนี้จะเรียกพลังสายตาของเย่หยวนนี้ว่าเป็นเนตรทองคำคลั่งก็คงไม่เกินไป
เมื่อ ‘ซูกวง’ และพวกเข้ามาถึงเย่หยวนก็สามารถมองออกได้ในทันที
พวกเขาทั้งหลายนี้เป็นนักฆ่าที่ทางประตูวิญญาณมรณาไม่ผิดแน่นอน
และ ‘ซูกวง’ ผู้นี้ก็มิใช่ใครที่ไหน แท้จริงแล้วเขาคือเทพถ่องแท้สี่ดาว ลู่ซินนั้นเอง
ลู่ซินมองดูเย่หยวนด้วยสายตาตกตะลึงแต่ไม่นานเขาก็กลับมามีท่าทางผ่อนคลายและกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ทุกผู้คนต่างกล่าวว่าท่านเย่นั้นมีจิตใจที่สูงส่งให้ค่าแก่ผู้คนรอบกายอย่างมาก มันช่างเป็นเช่นนั้นจริง! เจ้านั้นมองพวกเราออกแต่แรกจึงได้ไล่ให้เด็กตระกูลหนิงผู้นั้นไป ดูท่าเจ้าจะกลัวว่าเขาจะต้องมาเจ็บตัวด้วยสินะ”
เย่หยวนนั้นนั่งเงียบอย่างไม่คิดตอบปฏิเสธใดๆ ไป
เพราะทางประตูวิญญาณมรณานั้นได้ส่งเทพถ่องแท้หนึ่งดาวมาในคราแรก ครานี้แล้วพวกเขาย่อมจะส่งผู้มีฝีมือเหนือกว่ามาแน่
การที่หนิงเทียนปิงอยู่ด้วยมันมีแต่จะทำให้ตัวเขาไม่ปลอดภัยเสียเท่านั้น
“หึๆ ดูท่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องราวและยอมไปกับเราแต่โดยดีสินะ?” ลู่ซินบอกด้วยเสียงหัวเราะ
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พวกเจ้าคิดอยากจับข้าไปหลอมโอสถให้?”
ลู่ซินบอก “ข้านั้นแค่ทำตามคำสั่ง ส่วนเรื่องที่ว่าจะจับเจ้าไปเพื่อด้วยเหตุใดนั้นข้าเองก็ไม่ทราบได้ เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าปิดผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนเองและตามเรามาเสีย”
เย่หยวนหัวเราะขึ้น “ไป? เจ้าสังหารพวกซูกวงและยังคิดลอบเข้ามาในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา หรือเจ้าคิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้?”
ลู่ซินและพวกต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “พูดจาปากดี แค่คนอย่างเจ้า เด็กน้อยนภาสวรรค์ผู้หนึ่งจะมาขัดขืนเราได้หรือ?”
แต่จู่ๆ ก็ปรากฏอีกเงาร่างหนึ่งขึ้นข้างกายเย่หยวน และเขาก็คือไป๋ตงนั่นเอง
ด้วยคำเตือนของหวู่เฉินมีหรือที่เย่หยวนจะไม่ระมัดระวัง?
เพราะฉะนั้นเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ไป๋ตงจึงได้เก็บตัวอยู่ภายในโถงบัลลังก์ม่วงข้างกายเย่หยวนตลอดมา
ลู่ซินเห็นไป๋ตงเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้างจนหน้าเปลี่ยนสี
เพราะคนผู้นี้กลับมีคลื่นพลังในระดับเดียวกับเขา เป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวเช่นเดียวกัน!
เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปมียอดฝีมือในระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
หรือว่าแท้จริงแล้วโม่ชิงเองก็จะตายลงด้วยน้ำมือของคนผู้นี้?
“ข้าฝากจัดการเจ้าหมอนี่ด้วย ได้ใช่ไหม?” เย่หยวนถาม
ไป๋ตงหันหน้ากลับมาตอบทันที “เอาคำว่า ‘ได้ใช่ไหม’ ไปทิ้งได้เลย”
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นแทบจะหลุดขำออกมา
เวลาเช่นนี้เจ้าหมอนี่ยังจะมีหน้ามาเล่นตลก
คนทั้งสองนั้นหันหน้าไปคุยกันอย่างที่ไม่คิดสนใจพวกลู่ซินทั้งห้าเลย
ลู่ซินจึงยิ้มออกมา “เจ้าโง่ ต่อให้จะมีเทพถ่องแท้สี่ดาวอีกคนมาแล้วทำไม? เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองที่เป็นแค่นภาสวรรค์นั้นจะสามารถรับมือกับเทพถ่องแท้สองดาวถึงสี่คนได้หรือ?”
เพราะคนทั้งสี่ที่ติดตามเขามานั้นล้วนเป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวสิ้น
เย่หยวนจึงบอกออกไป “ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ?”
พูดจบเย่หยวนก็ขยับเท้าส่งร่างหายกลายเป็นแค่เงาพุ่งตัวเข้าใส่หนึ่งในนักฆ่าที่มา
อีกฝั่งนั้นได้แต่แสดงสีหน้าดูถูกพร้อมปล่อยพลังโลกออกมาคิดรับเย่หยวนไว้อย่างเต็มที่
ส่วนอีกสามคนนั้นเพียงแค่ยืนมองดูเรื่องราวเพราะหวังจะเห็นสภาพแสนน่าสมเพชของเย่หยวน
การที่เบื้องบนสั่งห้ามฆ่า มันไม่ได้หมายความว่าห้ามทำร้าย
ในเมื่อเขาคิดจะหาเรื่องใส่ตัวเองเช่นนี้ก็คงไม่อาจมาโทษผู้อื่นได้
ในเสี้ยววินาทีต่อมาเย่หยวนก็มาถึงเบื้องหน้านักฆ่าผู้นั้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นหมัดหนึ่งที่ถูกต่อยออกมาราวด้วยพลังของสามัญชนคนธรรมดา
‘ปัง!’
พลังโลกของนักฆ่าคนนั้นพังทลายลงจนร่างของเขาปลิวลอยออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
‘อ่อก!’
นักฆ่าผู้นั้นร่วงลงนอนกับพื้นพร้อมกระอักเลือดคำโต
นั่นทำให้ดวงตาของอีกสี่คนที่เหนือเบิกกว้างทันทีด้วยความตื่นตะลึงไม่อยากเชื่อภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“กายทองคำระดับหก! แท้จริงแล้วมันเป็นผู้ฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อ! ไม่สิ ต่อให้มันจะเป็นกายทองคำระดับหกมันก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งได้ปานนี้! หรือว่า…หรือว่ามันจะมี…กายทองคำระดับหกสัมบูรณ์?” ลู่ซินร้องขึ้นอย่างตื่นตะลึง
……………………….