Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1958 ตาข้า!
“อาจารย์ ที่เขากล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือ?” เจียนเฉินถามขึ้นด้วยท่าทางสั่น
ภายในพริบตานี้ภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่สูงส่งของเจียนหงเซียวในจิตใจของเขาได้พังทลายลงไปอย่างที่ไม่อาจยอมรับได้
เมื่อได้ยินคำด่าว่ามากมายเช่นนั้นแล้ว เขาถึงขั้นอับอายที่เป็นคนรู้จักกับเจียนหงเซียวเสียด้วยซ้ำ
เจียนหงเซียวได้แต่เงยหน้ามองดูท้องฟ้าด้วยท่าทางแสนคิดถึงอดีตอันห่างไกล
ในสุดท้ายเขาก็พยักหน้าออกมาอย่างแผ่วเบา “ที่เขาว่ามามันก็ไม่ผิด อาจารย์เจ้านี้… เป็นคนบาปแห่งวังดาราจริงๆ!”
เจียนเฉินมองดูเจียนหงเซียวอย่างไม่อยากเชื่อสายตานั้นราวกับว่าพวกเขาทั้งสองไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน
“ทำไม? เหตุใดท่านจึงไม่เคยบอกข้ามาก่อนเลยเล่า?!” เจียนเฉินร้องบอก
เจียนหยุนที่หัวเราะอยู่ด้านข้างจึงพูดขึ้นขัด “หากเขาบอกเจ้าแล้วเจ้าจะยังกราบเขาเป็นอาจารย์หรือ? คนเช่นนี้ หึๆ ไม่สมควรจะได้มีศิษย์ใดๆ ทั้งสิ้น! ส่วนเจ้าเด็กคนนี้เองการมาคบรู้จักกับคนเช่นนี้มันก็จะทำให้เจ้าต้องลำบากไปด้วยอย่างแน่นอน!”
ส่วนครึ่งหลังนั้นเขาหันไปพูดบอกเย่หยวน
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็แสดงสีหน้ารังเกียจและเดินห่างออกไปหาเจียนหยุน ราวกับว่าเขานั้นรังเกียจตัวเจียนหงเซียวอย่างมาก
“ที่พี่ท่านว่ามามันก็ถูก ข้าเองก็ถูกเขาหลอกเช่นกัน เหตุผลที่ข้าติดตามเขามายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดินี้ก็เพื่อที่จะตามหาใครสักคนมาทำนายดวงชะตาให้ข้า แต่เขานั้นกลับไม่มีปัญญาจะทำมันได้ในตอนนี้” เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป
เมื่อเจียนหงเซียวได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเดียวดาย
ในตอนนี้แม้แต่เย่หยวนก็ยังไม่คิดเข้าข้างเขาแล้ว
เขานั้นไม่นึกไม่ฝันเช่นกันว่าวินาทีที่เข้าเมืองมา ประวัติอันไม่น่าชื่นชมของเขานี้จะถูกผู้คนขุดคุ้ยขึ้นทันที
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้วต่อให้มีร้อยปากเขาก็คงไม่อาจเถียงอธิบายสู้ไปได้
แน่นอนว่าตัวเขาเองนั้นก็ไม่คิดอยากจะอธิบายใดๆ ด้วย
เจียนหยุนนั้นหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “เขานั้นเป็นแค่สุนัขขาหัก มีหรือที่จะยังทำอะไรให้เป็นงานเป็นการได้? หากเจ้าอยากหาคนทำนายดวงชะตาให้เจ้าย่อมต้องไปหาที่วังดารา!”
เย่หยวนยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เฮ้อ ข้านั้นเป็นเพียงแค่เด็กน้อยจากเมืองเล็กๆ มีหรือที่ข้าจะมีเส้นสายใดๆ เชื่อมต่อกับทางวังดาราได้?”
“หึ เจ้านั้นมีตาหามีแววไม่ นายน้อยของข้าผู้นี้แหละที่เป็นศิษย์ในวังดาราสวรรค์ ทั้งโหราทั้งดาราเขาเก่งกาจรอบด้าน”
“นายน้อยเรานี่แหละคือดาวรุ่งแห่งวังดารา เขานั้นเป็นตัวตนที่สักวันจะได้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสแห่งวังดารา!”
ที่ด้านข้างผู้ติดตามของชายหนุ่มต่างพูดเสริมขึ้นมาพร้อมหัวเราะลั่น
ตอนนี้แม้แต่เจียนหงเซียวเองก็กล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง “เจ้ากลับเข้าวังดาราได้จริง?”
เจียนหยุนยิ้มขึ้นมาอย่างภาคภูมิ “เจ้าคงผิดหวังมากสิ? ตอนนั้นเจ้าได้บอกพร่ำว่าข้านั้นไม่มีอะไรดีเป็นได้แค่เศษขยะ ตอนนี้เล่า? นายน้อยผู้นี้ได้กลายเป็นศิษย์แห่งวังดาราแล้ว ส่วนเจ้ากลับกลายเป็นหมาหัวเน่าไป!”
เจียนหยุนแสดงใบหน้าที่สุดแสนสะใจราวกับได้ตบหน้าผู้คน
เพราะในความเป็นจริงเขาเองก็รู้เรื่องราวว่าเหตุใดเขาจึงได้เข้ามาเป็นศิษย์วังดาราได้
หากไม่มีพ่อของเขาแล้ว มันคงไม่มีทางใดที่เขาจะเข้าวังดารามาได้
เรื่องราวทั้งหลายทั้งสิ้นในวันนี้เองก็ล้วนต่างเป็นคำสั่งจากพ่อของเขาที่สั่งให้เขามาดักทางเจียนหงเซียวไว้
พ่อของเขา เจียนห่าวนั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งวังดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
เมื่อตอนที่เขาทำนายดวงชะตาเมื่อหลายวันก่อน เขาได้ทำนายว่าอีกไม่กี่วันนี้เจียนหงเซียวจะกลับมายังเมือง ทำให้เขาจัดการเรื่องราวทั้งหลายไว้ให้เช่นนั้น
หลายปีก่อนเจียนหงเซียวนั้นบอกไว้อย่างหลายต่อหลายครั้งว่าเจียนหยุนนั้นไม่มีค่าใดๆ มากมาย
เมื่อได้เดินมาตบหน้าทลายคำดูถูกเช่นนั้น เจียนหยุนย่อมจะพึงพอใจอย่างมาก
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวขึ้น “เช่นนั้นนี่เอง! ข้านั้นช่างมีตาหามีแววไม่จริงๆ กลับไม่รับรู้เลยว่าเบื้องหน้าคือขุนเขาใหญ่!”
พูดไปเย่หยวนก็ก้มหัวให้แก่เจียนหยุน
เจียนหงเซียวนั้นขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นเช่นนั้น เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเย่หยวนกำลังคิดที่จะทำอะไรกันแน่
เดิมทีเขายังคิดว่าเย่หยวนนั้นจะหาทางออกตัดขาดกับตัวเขา แต่เขานั้นก็รู้ดีว่าการกระทำที่เย่หยวนกำลังแสดงอยู่ตอนนี้มันไม่สมเป็นเย่หยวนอย่างมาก!
เจียนหยุนยิ้มขึ้นมาอย่างภาคภูมิ “หึๆ ช่างเถอะ เจ้าติดตามเฒ่าคนนี้มามันย่อมไม่แปลกที่เจ้าจะไร้ประสบการณ์และไร้สายตาที่เฉียบคม วันนี้ข้าอารมณ์ดีจะช่วยดูทำนายดวงชะตาให้เจ้าเอง”
เย่หยวนยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินก่อนจะยกมือขึ้นคารวะอีกฝ่าย “ขอบพระคุณมากนายน้อยเจียนหยุน!”
เจียนหยุนเองก็คิดที่จะอวดพลังฝีมือวิชาของตนจึงได้ขับเคลื่อนพลังมุ่งเข้าดวงตาและใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับเย่หยวน
“อ้าก ตาข้า! ตาข้ามองไม่เห็นแล้ว! ตาข้าบอดแล้ว!”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดในดวงตาราวกับว่ามีไฟแผดเผาจนไม่อาจลืมตานั้นขึ้นได้อีก
เจียนหยุนได้แต่ลงตัวลงนอนร้องกับพื้นอย่างเจ็บปวดทุรนทุราย
คนรอบๆ ทั้งหลายนั้นหน้าซีดลงในทันที ตอนนี้มีหรือที่พวกเขาจะยังมาสนใจเจียนหงเซียว ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้แต่หันไปมองเจียนหยุนเป็นตาเดียว
เจียนหงเซียวนั้นได้แต่มองดูเย่หยวนอย่างตกตะลึง ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะเล่นลูกไม้นี้ออกมา
และการแสดงนี้มันก็ทำให้เจียนหยุนใช้ศาสตร์การดูรัศมีออกมาใส่เย่หยวน
ทำเช่นนั้นมันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
อย่าว่าแต่ตัวเจียนหงเซียวในเวลานี้ แม้แต่ตัวเขาในเมื่อก่อนก็ยังไม่อาจกล้าหาญพอจะใช้ศาสตร์การดูรัศมีใส่เย่หยวนตรงๆ!
“ผู้อาวุโส ไปเถอะ!” เย่หยวนยิ้มให้แก่เจียนหงเซียว
เจียนหงเซียวแสดงสีหน้าปลาบปลื้มออกมา เขารู้ดีว่าเย่หยวนสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนทั้งหลายได้มีจุดสนใจอื่นและเปิดช่องให้พวกเขาไปได้หลบหลีกหนีไป
เจียนหงเซียวเปิดปากขึ้นพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกเย่หยวนขัดไว้ “ที่แห่งนี้มันไม่ใช่ที่จะมาพูดคุย ไว้ค่อยว่ากันทีหลังเถิด”
คนทั้งสองเริ่มออกเดินไปแต่เจียนเฉินกลับได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับมราอย่างไร้สติ
เจียนหงเซียวได้แต่ถอนหายใจและเดินจากไป
ตุบ!
เจียนเฉินรู้สึกถึงแรงตบบนบ่าจากเย่หยวนทำให้เขาสะดุ้งตัวขึ้นทันที
“บางครั้งบางทีโลกนี้มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นจงอย่าใช้ตามอง ให้ใช้ใจสัมผัส คิดเอาว่าท่านผู้อาวุโสดูแลพี่เจียนเฉินมาอย่างไรในช่วงหลายต่อหลายปีมานี้!”
พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป
เจียนเฉินสั่นสะท้านไปทั้งร่างสายตาของเขามีแต่ความยุ่งเหยิง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็กัดฟันเดินตามไป
…
บนเตียงน้อยตอนนี้กำลังมีชายชราเข้ามาตรวจดูอาการของเจียนหยุนด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
“อาจารย์บูเฉิน ข้าขอร้องล่ะ ท่านต้องช่วยข้านะ! ข้าจะกลายเป็นคนตาบอดไปมิได้!” เจียนหยุนร้องร่ำ
“หุบปาก! อย่าได้ขัดสมาธิอาจารย์ท่านตอนกำลังอ่านชีพจร!” เจียนห่าวร้องบอก
เจียนหยุนนั้นย่อมเงียบปากลงในทันทีไม่กล้าจะร้องร่ำใดๆ ออกมาอีก
หลังจากผ่านไปแสนนานในที่สุดบูเฉินก็ลุกขึ้นส่ายหัว
เจียนห่างที่เห็นต้องสะท้านไปทั้งร่าง “พี่บูเฉิน เป็นอย่างไรบ้าง?”
บูเฉินส่ายหัวตอบกลับมา “ข้าเกรงว่าดวงตานี้คงต้องบอดดับแล้ว!”
นั่นทำให้เจียนห่าวสั่นสะท้านไปทั้งกาย “เป็น…ไปได้อย่างไร? หยุนเอ๋อนั้นแค่ใช้ศาสตร์การดูรัศมีออกมาเท่านั้นกลับทำให้ตาบอดได้?”
บูเฉินตอบกลับ “นี่คือการสะท้อนจากเต๋าสวรรค์ ที่สำคัญมันยังเป็นการสะท้อนที่รุนแรงมาก ด้วยพลังฝีมือของเฒ่าคนนี้คงไม่อาจรักษาอาการได้”
เจียนห่าวร้องขึ้นอย่างตกตะลึง “จะเป็นไปได้อย่างไร? ท่านนั้นคือผู้มีวิชาโอสถแข็งแกร่งที่สุดในเมืองเรา หากแม้แต่ท่านยังไร้สิ้นหนทาง แล้ว…แล้ว…อ่า ในเมื่อมันเป็นการสะท้อนจากเต๋าแล้วจะใช้โอสถจันทร์สว่างเมฆาม่วงรักษาได้หรือไม่?”
บูเฉินตอบกลับมาพร้อมส่ายหัว “จากที่เฒ่าคนนี้ตรวจดูแล้วข้าว่าแม้จะเป็นโอสถจันทร์สว่างเมฆาม่วงก็คงไม่อาจรักษามันได้แน่ เว้นเสียแต่ว่า…จะมีโอสถหกชีพจรดวงดาว!”
เจียนห่าวก้าวถอยหลังกลับไปอย่างไม่คิดยอมรับ สมองของเขาในตอนนี้มันขาวโพลนสิ้น “นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร? แค่มองครั้งเดียวก็ทำให้เกิดการสะท้อนจากเต๋าสวรรค์ที่รุนแรงได้ปานนี้?”
เจียนห่าวนั้นเสียใจจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาแค่คิดจะให้ลูกชายไปถากถางเจียนหงเซียวจนทำให้เขาไม่กล้าเข้ามาในเมืองอีก
ใครจะไปคิดว่าการทำเช่นนั้นมันกลับทำให้ลูกชายของเขาต้องตาบอดลง!
และการสะท้อนในระดับนี้มันเป็นบาดแผลที่ลึกรุนแรง ต่อให้จะเปลี่ยนถ่ายดวงตาออกมันก็ไม่ช่วยใดๆ เป็นปัญหาที่จัดการด้วยได้ยากที่สุด
คนตระกูลเจียนนั้นกลัวการสะท้อนในระดับนี้อย่างมากที่สุด
เพียงแค่ว่าเจียนห่าวนั้นไม่เข้าใจแม้จะครุ่นคิดไปมากมายเพียงใด เหตุใดแค่มองทีเดียวมันจึงได้ถูกสะท้อนอย่างรุนแรงเช่นนี้?
…………………………