Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1968 วิญญาณต่อสู้
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นเองก็สั่นสะท้านไปไม่ต่างจากผู้อื่น เพราะจักรพรรดิที่ว่านี้เองก็น่าจะเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ใต้ตระกูลเจียนเป็นแน่
ตระกูลเจียนนั้นช่างแข็งแกร่ง ถึงขั้นสามารถส่งจักรพรรดิเทพสวรรค์มาดูแลสนามรบเทพโบราณเช่นนี้ได้
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นอยู่มานานแสนนาน แน่นอนว่าลูกหลานของเขาเองก็ต้องมีอยู่มานานแสนนานแล้วเช่นกัน
ด้วยสมบัติทั้งหลายที่ตัวเขามี ดูท่าแล้วตระกูลเจียนนี้คงมีจักรพรรดิเทพสวรรค์อยู่ไม่น้อย
มันช่างเป็นตระกูลที่สุดแสนน่ากลัว
เย่หยวนนั้นถึงขั้นคิดไปว่าตระกูลเจียนนี้อาจจะเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพิภพถงเทียนนี้ก็เป็นได้
ระหว่างที่เย่หยวนยังคงคิดเรื่องราวทั้งหลายนั้นเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาในหูของทุกผู้คนอีกครั้งหนึ่ง
“ที่ที่พวกเจ้าทั้งหลายยืนกันอยู่นั้นมันคือสถานที่ที่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ได้เปิดขึ้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวในสนามรบเทพโบราณนี้ที่ปลอดภัย การต่อสู้ของยอดฝีมือทั้งสองเมื่อสักครู่นั้นเองก็มิใช่ภาพลวงใดๆ…”
คำพูดของจักรพรรดิเทพสวรรค์ผู้นี้มันถูกกล่าวออกมาอย่างคล่องแคล่วและค่อยอธิบายเรื่องราวความอันตรายทั้งหลายของสนามรบเทพโบราณ
ในสนามรบเทพโบราณนี้มันมียอดฝีมือมากมายที่ต้องตายลงอย่างไม่อาจนับได้
แต่ก่อนที่เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นจะตายลง ความไม่ยอมแพ้และบ่วงของพวกเขาทั้งหลายได้สร้างเรื่องราวให้ไหลผ่านประวัติศาสตร์มาเรื่อยจนทำให้เกิดคลื่นพลังงานปะทุฟ้าดิน เล่นภาพเดิมๆ เหมือนครั้งที่พวกเขายังมีชีวิต ทำการต่อสู้กับศัตรูคู่แค้นของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง
เงาร่างทั้งสองนั้นเองก็เป็นเงาร่างของสองจักรพรรดิเทพสวรรค์ที่ได้ตายลงไปในที่แห่งนี้
แม้ว่าการต่อสู้ของพวกเขามันจะไม่รุนแรงเท่าตอนที่ยังมีชีวิต แต่พลังของมันนั้นก็ทำให้เกิดคลื่นพลังอันมหาศาลอย่างที่ไม่อาจวัดค่า
และคลื่นพลังงานทั้งหลายนั้นมันล้วนเป็นของจริง!
เมื่อใดก็ตามที่ถูกคลื่นพลังนั้นซัดเข้า พวกเขาทั้งหลายคงต้องตายลงอย่างไม่ทันรู้ตัว
ในตอนที่เย่หยวนเข้ามาภายใน เขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานบางอย่างที่ปิดกั้นอยู่รอบๆ ราวกับว่ามันมีม่านพลังปิดกั้นเอาไว้
เพราะฉะนั้นแม้จะเห็นพลังการต่อสู้ของเงาร่างทั้งสอง เย่หยวนก็ไม่คิดจะหนีไปที่ไหน
และเขาก็เชื่อด้วยว่าคนทั้งหลายที่ไม่ขยับตัวเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับเขา พวกเขารู้ดีว่าที่แห่งนี้มันมีม่านพลังป้องกันอยู่
นั่นแสดงให้เห็นว่าคนทั้งหลายนั้นเข้าใจเต๋าสวรรค์เป็นอย่างดี คนทั้งหลายนี้ย่อมจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเขาแล้ว
เย่หยวนจำใบหน้าของคนทั้งหลายนั้นไว้ได้แล้ว เมื่อใดก็ตามที่ต้องไปพบเจอพวกเขาอีกครั้งเย่หยวนตั้งมั่นไว้ว่าจะระวังให้มาก
แน่นอนว่ามันรวมไปถึงตัวหลิวยี่ด้วย
เมื่อได้ยินคำของจักรพรรดิเทพสวรรค์ผู้นี้เหล่าผู้คนทั้งหลายต่างก็มีใบหน้าเหยเกไปตามๆ กัน
เพราะสนามรบเทพโบราณแห่งนี้มันช่างสุดแสนอันตราย!
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มออกไปตามหาโชคลาภกันได้ เจ้าจะไปเป็นกลุ่มหรือเดินทางคนเดียวก็ย่อมได้ทั้งสิ้น แต่จักรพรรดิผู้นี้ขอแนะนำให้เดินทางกันเป็นกลุ่มจะดีกว่า ทำเช่นนั้นแล้วโอกาสในการได้สมบัติใดๆ มามันย่อมจะมากขึ้นอีกหน่อย พวกเจ้านั้นมีเวลาสามปี หลังจากสามปีผ่านไปม่านพลังนั้นจะหายไป และพวกเจ้านั้นสามารถอยู่ภายในสนามรบเทพโบราณนี้ได้หนึ่งหมื่นปี แต่หากพวกเจ้ากลัวว่าจะเสียชีวิตลงแล้วพวกเจ้าก็สามารถอยู่รอในม่านพลังจนกว่าเส้นทางกลับจะปิดลงก็ทำได้เช่นกัน”
พูดจบเสียนั้นก็จางหายไปราวกับว่าไม่เคยมีเสียงใด
นั่นทำให้เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายเริ่มหันหน้าเข้าพูดคุยจับกลุ่มกัน
แน่นอนว่าคนทั้งหลายนั้นเดินทางมาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิที่แตกต่างกัน การรวมกลุ่มกับคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเดียวกันจึงเป็นเรื่องที่ปกติ
ซงหยูกลับมาพูดขึ้นด้วยท่าทางอวดดีเช่นเดิมอีกครั้ง “ทุกคน พวกเจ้าคิดจะเดินทางคนเดียวหรือจะรวมกลุ่มกันไปกับข้า? แต่ข้าขอบอกก่อนเลยนะว่าหากพวกเจ้าคิดจะไปกับข้าพวกเจ้าต้องฟังคำข้าให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงเวลาข้านี่แหละเป็นคนสังหารผู้ไม่คิดเชื่อฟังนั้นลงเอง!”
ซงหยูมองดูใบหน้าของคนทั้งหลายพร้อมพูดออกมา
เขานั้นย่อมมีสิทธิที่จะพูดเช่นนี้ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่เป็นเทพถ่องแท้สามดาว ต่อให้เป็นในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ ตัวเขาเองก็น่าจะเหนือล้ำกว่าผู้ใด
“หึ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ข้าเองก็เป็นเด็กแห่งโชคชะตา เหตุใดต้องตามติดเจ้าไปด้วย? ลาก่อน!”
“ไม่ต้องหรอก ข้าคิดจะเดินทางคนเดียว!”
…
ในเวลานั้นเองที่เกิดเสียงถกเถียงกันดังขึ้นมาจากทุกทิศ
ดูท่าแล้วเหล่าคนทั้งหลายนั้นย่อมไม่คิดจะรวมกลุ่มเดินทาง คิดเพียงแค่จะเดินทางออกไปคนเดียว
เพราะแม้ว่าการเดินทางคนเดียวมันจะอันตรายกว่ามาก แต่สมบัติล้ำค่าใดๆ ที่พวกเขาเจอก็จะเป็นของพวกเขาสิ้น
แต่หากมันมีคนอื่นเดินทางไปด้วย การแย่งชิงสมบัตินั้นมันย่อมจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และสุดท้ายใครที่จะได้สมบัตินั้นไปมันก็ยังไม่แน่นอน
จะเรียกว่าแต่ละเส้นทางก็มีประโยชน์และข้อเสียของตน
เหล่าผู้คนที่มากในครั้งนี้ล้วนเป็นเด็กแห่งโชคชะตา แต่ละผู้คนนั้นต่างมาจากค่ายสำนักใหญ่าของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิหรือเมืองหลวงจักรพรรดิ มีหรือที่พวกเขาจะยอมก้มหัวให้ผู้อื่น
เพราะฉะนั้นมันจึงมีผู้คนมากมายที่เลือกจะเดินทางไปเพียงคนเดียว
รัศมีของม่านพลังป้องกันนี้มันไม่ได้กว้างใหญ่มากมาย ทำให้คนทั้งหลายเดินออกไปภายนอกได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมีคนนำ ก็ย่อมจะมีคนตามคิดเดินทางไปคนเดียวมากขึ้น
ขณะที่คนทั้งหลายนั้นกำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ มันกลับเกิดมีอะไรบางอย่างผิดแปลกไป
เพราะที่ด้านนอกมันค่อยๆ เกิดเงาร่างปรากฏรวมตัวขึ้นมาเรื่อยๆ
คลื่นพลังจิตสังหารของพวกมันทั้งหลายนั้นรุนแรงจนทะลุผ่านม่านพลังมาได้ทำให้ผู้คนที่ยังอยู่ภายในต้องหน้าซีดเผือด
“ตาย!
“ตาย!
“ตาย!”
…
ที่ด้านนอกม่านพลังตอนนี้เสียงร้องร่ำต่างดังระงม เหล่าเด็กแห่งโชคะตาหลายต่อหลายคนเริ่มถูกพวกมันเข้ารุมล้อมไว้
นั่นทำให้สีหน้าของพวกเขาทั้งหลายถอดสีซีดเผือดด้วยความกลัว
“นี่มัน… พวกมันทั้งหลายนี้คือวิญญาณต่อสู้ที่ท่านจักรพรรดิเทพสวรรค์ว่าไว้?”
ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพสวรรค์ผู้นั้นได้บอกไว้ว่าในสนามรบเทพโบราณนี้มันมีวิญญาณต่อสู้กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมด
และพลังฝีมือของพวกมันทั้งหลายนี้ก็มีตั้งแต่นภาสวรรค์ขึ้นไปจนถึงเทพสวรรค์
เหล่าวิญญาณต่อสู้นั้นถูกหลอมขึ้นมาจากเสี้ยวจิตศักดิ์สิทธิ์ของเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่ตายลงไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
แต่พื้นที่ของสนามรบเทพโบราณนี้มันพิเศษกว่าที่อื่นๆ ทำให้เหล่าเสี้ยวจิตศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนี้ไม่อาจไหลไปตามวัฏสงสารได้และต้องมาติดอยู่ระหว่างฟ้าดินเช่นนี้ จึงเกิดกลายเป็นร่างวิญญาณใหม่ขึ้นมา
เวลาหลายปีที่มันทั้งหลายพัฒนามาเรื่อยมันจึงทำให้พลังของพวกมันทั้งหลายนั้นรุนแรงแข็งแกร่งจนน่ากลัว
และเหล่าวิญญาณต่อสู้นี้มีบางตัวที่ทะยานขึ้นไปจนถึงอาณาจักรเทพสวรรค์
แต่ทว่าเหล่าวิญญาณต่อสู้ที่ขึ้นไปถึงจุดนั้นได้มันย่อมมีอยู่ไม่มาก
ในตอนนี้เหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายที่รายล้อมพวกเขาอยู่นั้นคือวิญญาณต่อสู้อาณาจักรนภาสวรรค์
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือจำนวนของพวกมันที่มีมากเสียเหลือเกิน!
เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้นย่อมไม่มีใครที่อ่อนแอ ส่วนมากพวกเขานั้นก็เป็นถึงเทพถ่องแท้สองดาว
ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คงไม่กล้าจะเดินทางออกไปตามลำพัง
พวกเขานั้นเก่งกาจอย่างแน่นอน เพียงแค่ว่าวิญญาณต่อสู้นั้นมันมีจำนวนที่มหาศาลเสียเหลือเกิน
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องขึ้นมาท่ามกลางวงต่อสู้ “ไม่ใช่แล้ว! ในหมู่วิญญาณต่อสู้มันมียอดฝีมือเทพถ่องแท้อยู่ด้วย!”
และไม่นานนักเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายก็ได้ถูกวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้นั้นกดดันไว้อย่างอยู่หมัด
ด้วยความที่เหล่าวิญญาณต่อสู้นั้นดุร้ายไม่รู้จักความกลัวใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อต้องรับมือกับวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้แล้วเหล่าวิญญาณต่อสู้นภาสวรรค์ทั้งหลายจึงได้มีโอกาสโจมตีพวกเขามากขึ้น
แม้ว่ามันจะเป็นการโจมตีที่แทบไม่ส่งผลใด แต่เมื่อรวมๆ กันแล้วมันก็นับเป็นการโจมตีที่แสนน่ากลัวได้
จนสุดท้ายเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายที่ออกไปตามลำพังก็ต้องพ่ายลงให้แก่คมดาบของเหล่าวิญญาณต่อสู้อันดุร้าย
ภายในม่านพลังนั้นเหล่าผู้คนทั้งหลายต่างหน้าซีดเผือด เกรงกลัวกับภาพตรงหน้าอย่างมาก
เพราะจิตสังหารของวิญญาณต่อสู้นั้นมันแสนที่จะหนักหน่วงราวกับว่าพวกมันนั้นรู้จักแค่การฆ่า ไม่อาจจะใช้เหตุผลใดๆ กับพวกมันได้เลย!
เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาที่เคยคิดจะเดินทางตามลำพังนั้นต้องหันหน้ากลับมาตามๆ กัน
เพราะภาพตรงหน้านี้มันทำให้พวกเขาเข้าใจความน่ากลัวของสนามรบเทพโบราณอย่างแท้จริง
แต่ซงหยูกลับหัวเราะขึ้นมาเมื่อเห็นภาพนั้น “ว่าอย่างไรเล่า? เจ้ายังคิดจะไปคนเดียวอยู่หรือไม่? เจ้าไปได้นะ ข้าไม่ห้ามหรอก”
คำพูดนี้มันทำให้ทุกคนไม่กล้าจะพูดเถียงใดๆ กลับ
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งในที่สุดกั๋วจิงหยางก็ตอบรับ “ข้าจะร่วมด้วย!”
“ข้าไปด้วย!”
…
พวกเขาเองก็มิใช่คนโง่เง่า การถูกผู้อื่นปกครองมันก็ยังดีกว่าต้องตายลง
ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมา “หากพวกเจ้าทั้งหลายอยากเข้าร่วมมันก็ย่อมได้ แต่ข้ามีข้อแม้นั่นคือครึ่งหนึ่งของสมบัติที่พบเจอต้องตกเป็นของข้า!”
เมื่อทุกผู้คนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที
กั๋วจิงหยางขมวดคิ้วแน่น “ซงหยู เจ้าจะโลภมากเกินไปไหม?”
แต่ซงหยูกลับยิ้มตอบมา “โลภ? ก่อนหน้านี้ข้าเรียกพวกเจ้ามาร่วมกลุ่มแต่พวกเจ้ากลับไม่คิดสนใจ ตอนนี้พอได้รู้ถึงอันตรายแล้วค่อยคิดจะมาขอพึ่งข้า เจ้าคิดว่าโลกใบนี้มันจะมีคนโง่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?”
…………………………