Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1970 เกราะศึกรุ้งเขียว
ปัง!
เย่หยวนต่อยหมัดออกมาทำลายร่างของวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้นั้นลงอย่างง่ายดาย
การปิดล้อม?
เรื่องเช่นนั้นมันไม่มีอยู่จริง!
เหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายนั้นย่อมไม่อาจต้านทานพลังของเย่หยวนได้ พวกมันไม่มีพลังมากพอที่จะขัดขวางเขาได้เสียด้วยซ้ำ
“เฮ้อ หากข้ารู้มาก่อนข้าคงขอติดตามเขาไปแล้ว ต้องมาเจอกับเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายนี้ผู้บ่มเพาะกายมันย่อมได้เปรียบจนมากล้ำ”
“ใช่ไหมเล่า แต่มันก็สายไปแล้ว”
…
เหล่าคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศต่างแสดงสีหน้าท่าทางหมดหมองเสียใจออกมาส่วนซงหยูนั้นกลับมีใบหน้าที่แดงก่ำ
การเดินออกไปของเย่หยวนในครั้งนี้มันราวกับว่าเขานั่งหลังม้าขมดอกไม้ริมทาง ไม่มีท่าทางของความลำบากใดๆ
ไม่นานนักตัวเขาก็ได้เดินนำกลุ่มคนกลุ่มแรกออกไป
ระหว่างที่เหล่าคนทั้งหลายนั้นกำลังถูกวิญญาณต่อสู้ปิดล้อมไม่อาจเดินหน้าได้ ตัวเย่หยวนก็ค่อยๆ เดินผ่านทุกผู้คนไป
“เลิกนั่งโง่เสียที! หากยังไม่รีบออกไปสมบัติคงโดนผู้อื่นแย่งชิงหมดแล้ว!” ซงหยูร้องบอก
คำพูดเดียวนี้มันทำให้คนทั้งหลายได้สติกลับมาในทันทีและเริ่มเดินทางเข้าสู่สนามรบเทพโบราณที่แท้จริง
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นได้จับกลุ่มเดินทางกันไปก่อนหน้าทำลายวิญญาณต่อสู้ไปมากมายทำให้การเดินทางของพวกเขาทั้งหลายนั้นรวดเร็วไม่น้อย
แต่ทางเย่หยวนที่ออกตัวมาช่วงกลางๆ ในตอนนี้เขาได้เดินนำหน้าทุกผู้คนไปเสียแล้ว
และที่ใดที่เขาผ่าน เหล่ากลุ่มยอดฝีมือที่เห็นต่างต้องตกตะลึง
และแน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นรู้สึกอิจฉา
แม้ว่าการบ่มเพาะกายนั้นมันจะเป็นสิ่งที่สุดแสนลำบากแต่ในเวลานี้มันย่อมกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
“หืม?”
เย่หยวนขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะหันไปมองร่างโครงกระดูกที่นอนอยู่บนเนินดินห่างออกไปไม่น้อย
เมื่อมองดูดีๆ แล้วดูท่าเหล่าโครงกระดูกนี้เองก็คงเป็นเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาจากรอบก่อนๆ
ตัวตนที่สามารถก้าวขึ้นสู่อาณาจักรเทพสวรรค์ได้กลับต้องมาตายลงในสถานที่รกร้างเช่นนี้
เย่หยวนหันหน้าเดินเข้าไปยังเนินดินนั้นในทันที
“หืม เจ้าผู้บ่มเพาะกายมันทำอะไรกัน? ทางนั้นมันมีวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้อยู่ไม่น้อยเลยนะ!”
ตอนนี้ตัวตนของเย่หยวนย่อมจะกลายเป็นเป้าสายตาของทุกผู้คนทำให้พวกเขาทั้งหลายเป็นความเปลี่ยนแปลงของเย่หยวนได้อย่างรวดเร็ว
เหล่าวิญญาณต่อสู้บนเนินดินนั้นมันย่อมดูแข็งแกร่งกว่าจุดอื่นๆ อย่างเด่นชัดด้วยคลื่นพลังของวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้ที่ไปรวมตัวกันอยู่ตรงจุดนั้น
แต่เย่หยวนก็ไม่คิดจะสนใจ เหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายนี้ส่วนมากเป็นแค่เทพถ่องแท้ ย่อมจะไม่อาจเป็นภัยใดๆ ต่อตัวเย่หยวนได้
เมื่อเขาเดินมาถึงเขาก็สามารถทำลายพวกมันลงได้ด้วยหมัดเดียวอีกเช่นเคย
ไม่นานนักเย่หยวนก็เดินมาถึงโครงกระดูกทั้งหลายนั้น
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปหยิบจับแหวนเก็บของทั้งหลายที่ตกอยู่ตามพื้นรอบๆ โครงกระดูกขึ้นมา
เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนี้ย่อมจะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา สิ่งของที่พวกเขาพกติดตัวมันย่อมล้ำค่าเย่หยวนจึงคิดเก็บไปอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อกลุ่มอื่นๆ เห็นเช่นนั้นพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าท่าทางอิจฉาริษยาออกมา
ไม่แปลกใจเลยว่าเขาผู้นี้จะมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ
เพราะเขาผู้นี้เดินไปทางใดก็ได้สมบัติติดมือไป!
เมื่อเก็บแหวนทั้งหลายนั้นแล้วเย่หยวนก็เงยหน้าขึ้นมาต่อยหมัดลงอีกครั้งส่งผลให้เกิดหลุมยักษ์บนเนินดิน
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนส่งร่างที่เหลือเพียงโครงกระดูกทั้งหลายลงสู่หลุม
“พวกเจ้าทั้งหลายนั้นอับชะตา ข้าจะให้พวกเจ้าได้พักผ่อนเสียแล้วกัน”
เย่หยวนบอกพร้อมยกมือส่งดินลงฝังกลบร่างทั้งหลายนั้น
แต่จู่ๆ เย่หยวนก็ต้องรู้สึกสะท้านเพราะเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอ่อนๆ ของบางสิ่ง
“เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้นย่อมรู้ดีว่าที่แห่งนี้มันอันตรายแต่ก็ยังคิดเดินขึ้นมา มันย่อมต้องมีเหตุ!” เย่หยวนคิด
นั่นทำให้สายตาของเขาจ้องมองขึ้นไปที่สุดยอดของเนินดินแม้ว่าบนนั้นมันจะถูกปกคลุมไปด้วยวิญญาณต่อสู้นับไม่ถ้วนจนไม่อาจเห็นถึงสิ่งที่อยู่บนนั้นได้
“หืม? เขาคิดจะทำอะไรกัน?”
ระหว่างที่ทุกผู้คนยังไม่อาจเข้าใจได้เย่หยวนก็ก้าวเท้าเดินออกไป
ยิ่งขึ้นไปสูง เหล่าวิญญาณต่อสู้ก็ยิ่งจะแข็งแกร่งขึ้น
หากเย่หยวนขึ้นไปมากกว่านี้มันจะมิใช่การรนหาที่ตายเอาหรือ?
เหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายบนนั้นมันล้วนแล้วแต่เป็นถึงระดับเทพถ่องแท้สองดาว!
ไม่ว่าจะเป็นพลังป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างไรเสียสุดท้ายแล้วเขาจะต้านทานพลังของเทพถ่องแท้สองดาวได้หรือ?
แต่เย่หยวนกลับเดินขึ้นไปอย่างไม่สะท้าน
เมื่อเดินขึ้นไปเหล่าวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้หนึ่งดาวมันก็ยิ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่เย่หยวนกลับไม่คิดสนใจใช้หมัดเดียวเปิดทางจนทำให้เหล่าวิญญาณต่อสู้ต้องร่ำร้อง
เมื่อเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาที่ด้านล่างทั้งหลายเห็นเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ตื่นตะลึงอย่างไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างได้
พลังเช่นนี้มันจะเหนือล้ำเกินไปหรือไม่?
จัดการกับวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้หนึ่งดาว พวกเขาทั้งหลายย่อมสามารถได้อย่างง่ายดาย
แต่เมื่ออีกฝ่ายมิได้มาตัวเดียว เมื่อศัตรูกลายเป็นกลุ่มวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้แล้วมันย่อมที่จะกดดันพวกเขาทั้งหลายได้มาก
แต่ทว่าเย่หยวนกลับเดินผ่านไปอย่างไม่มีท่าทีลำบากใดๆ
แต่ความสนใจของเย่หยวนนั้นมิใช่เหล่าวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้นี้เลย สิ่งที่สายตาของขาจ้องมองหาอยู่นั้นมันคืออย่างอื่น
จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น
ในพื้นดินที่ด้านหน้าเขานี้มีส่วนของเกราะศึกโผล่ขึ้นมาจากผืนดิน
ฟุบ! ฟุบ ฟุบ!
ในเวลานั้นเองที่เกิดปรากฏวิญญาณต่อสู้สามตัวขึ้นมาที่ด้านหน้าขวางทางเขาไว้
เย่หยวนมองดูที่วิญญาณทั้งสามนั้นด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเองก็บ่มเพาะมาอย่างยากลำบาก คิดจะหายไปง่ายๆ เช่นนี้จริงหรือ?”
วิญญาณต่อสู้ทั้งสามนั้นไม่คิดสนใจราวกับว่ามันฟังไม่เข้าใจและพุ่งตัวเข้ามาหาเย่หยวน
และเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งสามนี้แท้จริงแล้วพวกมันมีพลังถึงระดับเทพถ่องแท้สองดาว
พร้อมๆ กันนั้นเหล่าวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้หนึ่งดาวอีกจำนวนมากก็เข้ามาโจมตีพร้อมๆ กับพวกมันทั้งสามนี้
ไกลออกไปซงหยูที่เห็นเช่นนั้นจึงร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ตาย! ตาย! ใครสั่งสอนให้เจ้าอวดดีนัก! สามวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้สองดาว ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะเอาอะไรไปรอด!”
โฮ่ก!
เสียงมังกรร่ำร้องทะยานทำลายวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้สองดาวทั้งสามตัวนั้นลงอย่างราบคาบ
พร้อมๆ กันนั้นวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายที่รายล้อมพวกมันก็ได้หายสิ้นไปด้วยกัน
จากนั้นเย่หยวนก็ยื่นมือลงไปหยิบเกราะศึกนั้นขึ้นมาจากผืนดิน
“ข-แข็งแกร่ง! ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำเช่นนี้! พวกนั้นมันคือวิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้สองดาวถึงสามตัว! แต่กลับถูกทำลายลงสิ้นอย่างง่ายดายเช่นนั้น”
“อ่า นั่นเขาถืออะไรอยู่กัน? ดูสภาพมันแล้วมิน่าใช่ของดีใด”
…
ในเวลานั้นเองที่เจ้าเกราะนั้นมันกลับสั่นสะท้านปัดฝุ่นของตัวเองออก
คลื่นพลังอันแสนรุนแรงได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกผู้คน
ตอนนี้เจ้าเกราะศึกนี้มันราวกับกำลังส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ซงหยูที่เห็นเช่นนั้นจึงร้องขึ้นมาด้วยความตื่นตะลึง “คลื่นพลังเช่นนี้ หรือว่า… จะเป็นสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์?”
ฟุบ!
เจ้าเกราะศึกนี้มันเปลี่ยนกลายเป็นแสงเข้าห่อหุ้มร่างของเย่หยวนไว้ทันที
เย่หยวนเบิกตากว้างด้วยรอยยิ้ม “เกราะศึกรุ้งเขียว! ไม่เลวเลย ไม่เลวจริงๆ! ของดีนี่นา! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่าเด็กแห่งโชคชะตารุ่นก่อนถึงได้กล้าเสี่ยงตายขึ้นมาบนเนินดินนี้”
เพราะนี้มันมีนามว่าเกราะศึกรุ้งเขียว มันเป็นถึงสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์
ทุกผู้คนต่างมองดูเย่หยวนด้วยความอิจฉาอย่างสุดใจ
ภายในสนามรบเทพโบราณนี้มันมีสมบัติอยู่มากมายทุกทิศทาง เพียงแค่ว่าผู้เดินทางเข้ามานั้นจะมีโชคไปเจอมันหรือไม่
แต่มันย่อมไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนจะสามารถได้รับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มาอย่างง่ายดายเช่นนี้!
ในเวลานนั้นเองที่วิญญาณต่อสู้เทพถ่องแท้หนึ่งดาวที่เหลืออยู่บนยอดดินพุ่งตัวเข้ามาต่อยใส่เย่หยวนอย่างไม่สนใจชีวิตอีกครั้ง
แต่ในเวลานี้มันกลับมีคลื่นพลังสีเขียวจ้าส่องออกมาจากต่างของเย่หยวน
ปัง! ปัง! ปัง!
เหล่าวิญญาณต่อสู้นั้นต่างถูกคลื่นแสงนั้นทำลายลงอย่างง่ายดาย
ตอนนี้เย่หยวนยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรแต่กลับสามารถปล่อยพลังที่สุดแสนรุนแรงเช่นนั้นออกมาได้
ตอนนี้เจ้าเกราะศึกรุ้งเขียวนั้นราวกับผู้ได้เห็นแสงสว่างของโลกอีกครั้ง พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะแสดงพลังของตนออกมาให้เย่หยวนเห็นจะได้นำพาตัวมันออกไปด้วย
เมื่อคนอื่นๆ เห็นภาพนั้นพวกเขาต่างตกตะลึงจนลืมที่จะหายใจ
โชคชะตาของเขานี้มันจะเหนือล้ำสวรรค์จนเกินไปหรือไม่?
หากพวกเขาทั้งหลายได้สวมเกราะนี้มันย่อมจะช่วยให้ผ่านอุปสรรคทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย!
น่าเสียดายที่ว่ามันกลับไปตกอยู่ในมือของเย่หยวน
เย่หยวนนั้นยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะค่อยๆ เดินลงจากเนินดินนั้น
ระหว่างทางไปเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้เขาอีกต่อไป
ด้วยพลังของเกราะศึกรุ้งเขียวนี้ การเดินทางของเขามันยิ่งสุดแสนที่จะสบายขึ้นกว่าเก่า
เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นเช่นนั้นมันก็ทำให้จิตใจเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาและสิ้นหวัง
แต่พวกเขานั้นย่อมไม่กล้าคิดที่จะทำอะไรออกมา
เมื่อเดินทางต่อไปเย่หยวนก็ค่อยหยิบสมบัติตามรายทางและได้รับสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำติดมือมามากมาย
ไม่ว่าจะอย่างไรเสียเมื่อมีเขาเดินนำ คนทั้งหลายก็ย่อมไม่อาจจะตามความเร็วของเขาทัน
เหล่าเด็กแห่งโชคชะตานั้นโกรธแค้นกันจนแทบกระอักเลือด แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะทำอะไรได้แม้แต่น้อย
……………….