Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1993 มันคือสิ่งใดกัน?
เย่หยวนค่อยๆ เดินขึ้นไปยังยอดเขาทีละก้าวด้วยความรู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
กระดูกจักรพรรดินั้นต่อให้จะเป็นแค่กระดูกที่ถูกทิ้งร้างไว้นานปีมันก็ยังมีพลังอันเปี่ยมล้นของตัวมัน
แต่ดวงตาอันแสนเย็นเยือกของเย่หยวนในตอนนี้ไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกมา “ความยิ่งใหญ่ใดๆ ในวันวานมันก็ได้ผ่านเลยไปเหมือนหมอกควัน ตายไปแล้วยังจะอยากแสดงพลังอำนาจเพื่อการใดอีก? เรื่องใดที่ผ่านไปแล้วก็ควรปล่อยให้มันผ่านไปเถิด!”
ตอนนี้บนร่างของเย่หยวนได้มีลายพระเจ้าปรากฏออกมารอบทำให้พลังกดดันใดๆ ไม่อาจส่งผลกับตัวเขาได้เลย
ไม่นานนักเย่หยวนก็ได้เดินขึ้นมาถึงยอดเขากระดูก
และตรงหน้าของเขานั้นมันคือกระดูกจักรพรรดิกิเลน
เย่หยวนในตอนนี้มีสภาพเย็นเยือกหนักแน่นค่อยๆ ยื่นมือออกไปหมายหยิบมัน แต่ในเวลานั้นเองที่กลับเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันขึ้นมาอีกครั้ง
‘ตึง!’
เสียงหนึ่งดังสะท้านออกมาจากความว่างเปล่าก่อนที่จะมีพลังแนวคิดเข้ามาปกคลุมร่างของเย่หยวนอย่างบ้าคลั่งทำให้พื้นที่รอบตัวเขาจับตัวแข็งในทันที
“ฮ่าๆ! เย่หยวน ระหว่างทางมานี้คงลำบากเจ้าแล้ว กระดูกจักรพรรดินี้ข้าขอไปล่ะ!”
หลิวยี่ปรากฏร่างออกมาจากช่องว่างมิติมองดูเย่หยวนด้วยใบหน้าเย้ยหยัน
ทุกผู้คนนั้นต่างตกตะลึงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เพราะไม่มีใครคิดใครฝันว่ามันจะยังมีคนหลบซ่อนอยู่ภายในห้วงมิติอีก
นี่มันคือความชั่วร้ายที่แอบแฝงมาอย่างแท้จริง ภัยร้ายอยู่แค่ใกล้แต่พวกเขาทั้งหลายกลับไม่มีใครรู้
แต่ว่าเขาทำมันได้อย่างไร?
“เป็นเจ้าหลิวยี่! มัน… มันกลับบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ห้าดาวแล้ว” กั๋วจิงหยางร้องตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตะลึง
เวลาแค่ไม่กี่เดือนที่ไม่ได้พบเจอนี้หลิวยี่กลับสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ห้าดาวได้ มันเป็นอะไรที่เหนือล้ำจินตนาการอย่างมาก
ดวงตาของซงหยูนั้นแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น “เจ้าหมอนี่มันคงกินผลลมหายใจลับสวรรค์ไปสิ้นแล้วแน่! ให้ตายสิ! ไม่นึกเลยว่ามันจะมีวิชาการปิดบังตัวตนที่เหนือล้ำขนาดนี้ ข้าประมาทมันไปจริงๆ!”
แต่ตอนนี้แม้คิดจะอยากเข้าไปช่วยมันก็สายเกินแกงเพราะกระดูกจักรพรรดินั้นมันอยู่ตรงหน้าหลิวยี่แค่เอื้อมมือ
ที่สำคัญที่พื้นรอบๆ นั้นยังจับตัวแข็งจนไม่อาจจะฝ่าเข้าไปได้ง่ายๆ ด้วย
“ให้ตายสิ! นี่เราต้องมองดูเจ้าบ้านี่มันหยิบเอากระดูกจักรพรรดิไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้จริงๆ หรือ?” หูเฟยร้องบอกขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“หึๆ รับสามดาบได้แล้วจะทำไม? สุดท้ายแล้วกระดูกจักรพรรดิมันก็ยังถูกคนอื่นแย่งชิงไปอยู่ดี” โจวหยูร้องบอกขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางสุดสะใจ
การที่ได้เห็นเย่หยวนถูกขัดเช่นนี้มันย่อมนำพาความยินดีมาแก่โจวหยู
“เย่หยวน ไม่นึกล่ะสิ? นอกจากยันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลแล้วเฒ่าคนนี้ยังมียันต์แจ่มชัดหลบอนันต์ เจ้านั้นระวังในตัวข้ามาตลอดทางแต่สุดท้ายก็ยังถูกข้าเล่นงานอยู่ดีมิใช่หรือ? หึๆ หากได้กระดูกจักรพรรดินี้ไปจริงเฒ่าคนนี้คงขึ้นถึงรัศมีผ่าจักรพรรดิได้ไม่ยาก อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์นั้นมันอยู่ไม่ไกลมือเฒ่าผู้นี้แล้ว!”
หลิวยี่มองดูเย่หยวนพร้อมด้วยใบหน้าสุดสะใจ
เขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะมีโอกาสขึ้นไปถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์จริงๆ
แค่คิดเท่านี้ตัวเขาก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมากแล้ว
พูดจบหลิวยี่ก็ได้ยื่นมือออกไปฉวยคว้ากระดูกจักรพรรดิกิเลนไว้
แต่ในเวลานั้นเองที่กลับเกิดประกายแสงหนึ่งออกมาจากกระดูกจักรพรรดินั้นซัดร่างหลิวยี่จนลอยปลิวไปไกล
เรื่องราวนี้มันทำให้ตัวหลิวยี่หน้าถอดสีลงทันที “นี่มัน… มันเกิดอะไรขึ้น?”
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงยิ่งกว่าเก่ามันกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
เพราะเย่หยวนที่เดิมทีน่าจะถูกพลังของยันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลตรึงไว้กับที่กลับค่อยๆ ยกเท้าก้าวเข้าไปหากระดูกจักรพรรดิและหยิบมันขึ้นมา
หลิวยี่นั้นเบิกตากว้างราวกับได้เห็นผีและร้องตะโกนขึ้น “นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร? ยันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลของข้านั้นไม่น่าจะมีเทพถ่องแท้คนไหนแก้มันได้!”
เย่หยวนมองดูหลิวยี่ด้วยดวงตาที่เย็นเยือกก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าโง่ กระดูกจักรพรรดิเองก็มีจิตวิญญาณของตน มันนั้นได้ให้มารกระดูกเทพสวรรค์นั้นทดสอบพวกเราและข้าก็สามารถผ่านมันมาได้ มันย่อมจะยอมรับข้าเป็นนาย ส่วนยันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลอะไรของเจ้านั้น มันคือสิ่งใดกัน?”
เย่หยวนในสภาพตอนนี้มีดวงตาขาวขุ่นพร้อมลายพระเจ้าที่หมุนล้อมรอบตัว ไม่อาจถูกพลังแนวคิดใดๆ ทำร้ายได้
มีหรือที่แค่ยันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลนี้จะมาจับตรึงเย่หยวนได้?
ตอนนี้มิใช่เพียงแค่หลิวยี่ แต่แม้พวกซงหยูเองก็มองดูภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
พวกเขาทั้งหลายนั้นเคยถูกเจ้ายันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลนี้ตรงมาก่อนย่อมจะรู้ได้ว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันเป็นความสิ้นหวังที่หนักหนาเพียงใด
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่ได้รับผลใดๆ จากมันเลย?
หลิวยี่นั้นใช้ยันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลใบสุดท้ายออกมาเพื่อคิดจะฉวยฉกชิ้นปลามันไป
ใครจะไปนึกไปฝันว่าตัวเย่หยวนกลับไม่ได้รับผลใดๆ จากมันเลย?
ตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวเขานั้นเป็นได้เพียงแค่ตัวตลกตัวหนึ่ง!
“ครั้งก่อนเจ้าเองก็ขโมยผลลมหายใจลับสวรรค์ไป โชคยังดีที่เจ้านั้นฝีเท้าเร็ว แต่ครั้งนี้มันช่างเหมาะเจาะ เราจะได้สะสางเรื่องราวให้เสร็จสิ้น” เย่หยวนมองดูหลิวยี่โดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
หลิวยี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างไม่คิดยอมแพ้ “สะสางเรื่องราว? ด้วยแค่เจ้าเทพถ่องแท้สองดาวผู้หนึ่งนี้? ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นเก่งกาจเพียงใด แต่ตอนนี้ข้าเป็นถึงเทพถ่องแท้ห้าดาว! เจ้าคิดว่าจะจัดการข้าลงได้ง่ายๆ หรือ?”
จู่ๆ ทางฝั่งหลิวยี่ก็ได้หยิบกรงเล็บผีขึ้นมาใส่มือและเมื่อทุกผู้คนได้เห็นก็ต้องตกตะลึงเพราะเจ้ากรงเล็บนี้มันเป็นถึงสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์
แต่เย่หยวนนั้นราวกับว่ามองไม่เห็นมันและยังคงก้าวเดินเข้าไปหาหลิวยี่
ตัวเย่หยวนในตอนนี้มันทำให้หลิวยี่ขวัญผวาอย่างมาก
ดวงตาสีขาวแสนเย็นชานั้นมันทำให้เขารู้สึกราวกับตัวเองจะถูกแช่แข็งทั้งเป็น
หลิวยี่กัดฟันแน่นก่อนจะใช้วิชาออกมา “กรงเล็บขุมนรกวิญญาณมรณา!”
คลื่นพลังอันแสนน่ากลัวปะทุขึ้น
กลุ่มหมอกสีดำสนิทพุ่งเข้าใส่ตัวเย่หยวน
แต่เย่หยวนนั้นยังไม่คิดจะขยับหลบหลีกใดๆ
ตอนนี้เห็นเพียงแค่สายฟ้ารอบตัวที่พุ่งทะยานออกมาเข้าปะทะกับหมอกดำนั้นอย่างเฉียบพลัน
แต่ทางเจ้าหมอกดำนั้นมันเหมือนราวกับได้เจอยอดพลังเข้า แตกสลายหายไปในอากาศทันที
นั่นทำให้ดวงตาของหลิวยี่ต้องเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า
เจ้าเส้นสายฟ้าทั้งหลายนี้มันคืออะไรกัน?
และแน่นอนว่าหลิวยี่รีบหันหลังกลับคิดหนีอย่างไม่รีรอใดๆ
เว้นเสียแต่ว่ามันจะสายเกินไปแล้ว
ตอนนี้ลายพระเจ้าได้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ดวงตาจะมองได้ทัน
ในเสี้ยวพริบตาตัวเขาก็ถูกจับขังล้อมไว้ในมิติลายพระเจ้าแล้ว
“ยินดีต้อนรับสู่โลกของข้า!”
หลิวยี่ได้แต่เบิกตากว้างก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก “โลก… ของเจ้า?”
หลิวยี่เองก็รู้จักโลกใบน้อยดี
แต่โลกใบน้อยอย่างของเย่หยวนนี้ เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
มันจะมีโลกใบน้อยสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
เขานั้นพยายามที่จะใช้ทุกพลังวิชาฝีมือที่บ่มเพาะฝึกฝนมาและพยามปล่อยพลังโลกของตนออกมารับ
แต่เขาได้พบว่าภายในโลกใบนี้ตัวเขานั้นไม่อาจจะปล่อยพลังใดๆ ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย!
“นี่… นี่… ที่นี่มันที่ไหนกันแน่?” หลิวยี่นั้นยิ่งลองใช้พลังก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ
ในที่แห่งนี้ตัวเขานั้นมันไม่ได้ต่างจากมนุษย์สามัญธรรมดาเลย
ไม่สิ อาจจะอ่อนแอกว่าเสียด้วยซ้ำ
เย่หยวนกล่าว “เจ้าไม่ต้องเข้าใจหรอก สิ่งที่เจ้าควรรู้ไว้ก็คือเจ้าดวงชะตารัศมีใดๆ ของเจ้านั้น… มันไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า! ตอนนี้จงตายไปเสียเถอะ”
พูดจบเย่หยวนก็ชี้นิ้วออกมาทำลายร่างของหลิวยี่จนสลายหายไปทันที
เมื่อเย่หยวนปรากฏออกมาต่อโลกภายนอกอีกครั้ง หลิวยี่ก็ได้หายลับไปกับอากาศแล้ว
เมื่อคนอื่นๆ ได้เห็นเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายต่างก็ตื่นตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างได้
ซงหยูและพวกนั้นรีบวิ่งเข้ามาหาเย่หยวนในทันที
“พี่เย่ หลิวยี่เล่า?”
เย่หยวนตอบ “ตายแล้ว”
ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆ ข้าคิดไว้แล้ว! เจ้าชั่วร้ายผู้นั้นมันต้องไม่ตายดี! พี่เย่นั้นช่างมีวิชาฝีมือที่เหนือล้ำ ถึงกับสามารถทำลายพลังของยันต์ตรึงต้นกำเนิดโกลาหลได้อย่างง่ายดาย”
เย่หยวนหันกลับไปมองและตอบ “แต่ของเล่นโง่ๆ ไม่ต้องกลัวเกรงใด”
แต่เมื่อถูกดวงตานั้นของเย่หยวนมองมาตัวซงหยูกลับรู้สึกราวกับถูกลมหนาวจากขั้วโลกพัดเข้าใส่
เย่หยวนในตอนนี้ย่อมไม่มีความคิดจะยุ่งเกี่ยวใดๆ กับซงหยูและขยับตัวพุ่งหายไปในพริบตา
…………………………