Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2068 ก็แค่พูดความจริง
แม้ว่าทุ่งราบสุดอุดรนั้นมันจะมีชื่อเป็นทุ่ง แต่แท้จริงมันเป็นเพียงแค่ที่ราบสุดรกร้าง
พื้นที่ของมันนั้นสุดแสนกว้างใหญ่โดยมีสัตว์อสูรดุร้ายอยู่ทุกหนแห่ง
ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ในดินแดนนี้จะต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่เสมอ
แต่มันก็เพราะเช่นนั้นเองที่ทำให้คนในพื้นที่นี้ป่าเถื่อนและดื้อรั้นกว่าคนแดนอื่นๆ คิดจะฆ่าสังหารกันก็ฆ่าลงง่ายๆ
มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด
ที่แห่งนี้มันเป็นดินแดนที่ผู้คนรวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์และเพื่อฆ่าสังหารกันเอง
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเมื่อมีสัตว์อสูรบุก พวกเขาทั้งหลายก็จะทิ้งความแค้นใดๆ ช่วยกันต่อต้านเหล่าสัตว์อสูร
ชุมเก้าสายนี้เองก็เป็นหนึ่งในดินแดนเช่นนั้น
แดนเหนือนั้นมันเป็นพื้นที่สุดกว้างไกล อากาศของดินแดนนี้มันสุดแสนจะเย็นเยือกจนแทบทำให้ผู้คนแข็งตาย
แม้จะเป็นผู้มีพลังบ่มเพาะถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ แต่พวกเขาทั้งหลายเองก็ยังรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น
ที่แห่งนี้มันคือดินแดนของแนวคิดแห่งน้ำแข็งอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายจึงจะเข้าใจถึงแนวคิดนี้ได้ตั้งแต่เกิด
เพราะฉะนั้นเหล่านักยุทธที่เริ่มฝึกตนทั้งหลายจึงจะมีแนวคิดแห่งน้ำแข็งเป็นฐานผสานกับแนวคิดอื่น ทำให้คนในแดนนี้มีอย่างน้อยๆ สองแนวคิดติดตัวเสมอ
และในเวลานี้ ณ โรงเตี๊ยมน้อยๆ ในชุมเก้าสายมันได้มีนักยุทธมากมายนั่งดื่มกินอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มน้อยๆ
นี่มันคือชีวิตปกติของคนแดนนี้ พวกเขาจะใช้เวลาว่างดื่มสุราแรงๆ และพูดคุยถึงเรื่องราวของทุ่งราบสุดอุดรนี้
เพราะฉะนั้นโรงเตี๊ยมต่างๆ จึงมีความคับคั่งมาก
ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งได้เดินเข้ามาพร้อมด้วยเสื้อขนหนาแต่หลังจากยืนมองซ้ายมองขวาอยู่นานพวกเขาก็ไม่อาจจะหาโต๊ะว่างในโรงเตี๊ยมน้อยๆ นี้ได้จนได้แต่แสดงสีหน้าเหนื่อยใจออกมา
หญิงสาวนั้นชี้ไปที่โต๊ะหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “ท่านพี่ ดูสิ! โต๊ะนั้นมีคนนั่งแค่สองคนเอง ทำไมเราไม่เข้าไปขอนั่งกับพวกเขาด้วยเล่า?”
ในมุมของโรงเตี๊ยมนั้นมันได้มีสองชายหนุ่มกำลังนั่งดื่มกินกันอยู่ คนหนึ่งนั้นห่อหุ้มตัวด้วยผ้าหนาพร้อมร่างกายที่สั่นเทา ส่วนอีกคนนั้นนั่งสบายๆ ด้วยชุดเบาบางราวกับว่าความหนาวนี้ไม่เป็นปัญหาใด
ชายหนุ่มคนนั้นจึงได้พยักหน้ารับ “ไปกัน ไปขอนั่งด้วยดู”
คนทั้งสองจึงได้เดินเข้ามาถึงโต๊ะนั้นก่อนที่จะเป็นฝ่ายชายหนุ่มที่ยกมือขึ้นคารวะอีกฝ่าย “น้องชาย ข้านั้นคือหวู่ซ่งแห่งถนนน้ำทักษิณ นี่น้องสาวข้านามหวู่หลิง เวลานี้โรงเตี๊ยมมันช่างเปี่ยมล้นผู้คนมากเหลือ ข้าจึงคิดสงสัยว่าพวกข้าจะขอร่วมโต๊ะกับพวกเจ้าได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มในชุดเบาบางนั้นยกสุราขึ้นดื่มและกล่าว “เชิญ”
สองพี่น้องที่ได้ยินก็รีบกล่าวขอบคุณพร้อมนั่งลงตรงข้ามคนหนุ่มทั้งสองทันที “น้องชาย ข้าขอสุราเพลิงคลั่งสี่ไห!”
“ได้เลย!”
ไกลออกไปมีเสียงตอบรับจากบริกรของร้าน
ไม่นานสุราเพลิงคลั่งสี่ไหก็ได้มาถึงโต๊ะของพวกเขา ทางหวู่ซ่งที่เห็นก็รีบเปิดฝาไหออกและยกสุราขึ้นดื่มทันที “สดชื่น! ฮ่าๆ… น้องชายท่านนี้ มาร่วมชนไหกันหน่อย!”
ชายหนุ่มที่ตรงข้ามของเขาจึงได้ยกจอกของตนขึ้นมาแสดงท่าคารวะและยกสุราขึ้นจิบ
เมื่อหวู่หลิงได้เห็นท่าทางไม่ยอมคบคนเช่นนั้นนางจึงได้แต่เบะปากออกมา “วางท่า!”
หวู่ซ่งที่ได้ยินจึงหัวเราะขึ้นกลบเสียงนางทันที “น้องชาย อย่าได้ว่านางเลยนะ น้องข้ามันเป็นคนพูดอะไรไม่คิดเช่นนี้แหละ พวกเจ้าทั้งสองมีนามว่าอย่างไรกันหรือ?”
“จี้ฉิงหยุน!”
“หนิงเทียนปิง!”
คนทั้งสองตอบกลับมา
แน่นอนว่าคนทั้งสองนี้ย่อมจะเป็นเย่หยวนและหนิงเทียนปิงที่แดนทางข้ามผ่านเขาแห่งถงเทียนขึ้นมาถึงแดนเหนือนี้
ตอนนี้เวลามันผ่านไปกว่าห้าสิบปีแล้วตั้งแต่ที่ซุนชิงหลิงและพวกได้เดินทางไปถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
หนึ่งนายหนึ่งบ่าวนี้ได้เดินทางผ่านเรื่องราวมากมายจนในที่สุดก็มาจนถึงทุ่งราบสุดอุดรนี้เมื่อครึ่งปีก่อน
แต่พวกเขานั้นไม่ได้ลงมืออย่างรีบร้อนใดๆ เพราะด้วยกำลังของพวกเขาแล้วต่อให้จะบุกเจ้าหอเมฆาน้ำแข็งไปในเวลานี้มันก็คงไม่อาจจะช่วยเหลือลู่เอ๋อใดๆ ได้
โชคยังดีที่เย่หยวนได้ยืนยันแล้วว่าลู่เอ๋อยังปลอดภัยอยู่ในเวลานี้ ทำให้เขาไม่รู้สึกรีบร้อนและมีเวลาค่อยๆ วางแผนการช่วย
เมื่อมาถึงดินแดนนี้แล้วแน่นอนว่าจะให้เขาใช้นามเย่หยวนที่มีคนตามล่าหาอยู่มันก็คงไม่ดี ทำให้เย่หยวนเลือกจะกลับไปใช้นามของตนเมื่อชาติก่อน
“ฮ่าๆ ที่แท้มันเป็นน้องจี้และน้องหนิง! ข้าขอมอบเหล้าสองไหนี้ให้ ถือว่าเป็นคำขอบคุณที่ช่วยแบ่งโต๊ะนั่งกับเรา” หวู่ซ่งบอกพร้อมผลักสุราทั้งสองไหออกมา
เย่หยวนพยักหน้ารับ “เช่นนั้นจี้ผู้นี้คงไม่เกรงใจแล้ว”
หวู่ซ่งมองดูเย่หยวนก่อนจะพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “น้องจี้ไม่หนาวบ้างหรือแต่งตัวเช่นนี้?”
พูดไปแล้วตอนนี้สองคนตรงหน้ามันก็แปลก คนหนึ่งนั้นแต่งกายเบาบางแต่กลับดูมีท่าทางสบายๆ ส่วนอีกคนนั้นใส่ผ้าปิดหนากลับยังสั่นเทาไปทั้งร่าง
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับมา “ไม่หนาวหรอก”
ที่ด้านข้างหนิงเทียนปิงนั้นอดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยความอิจฉา
ตัวเขาเองก็ไม่คิดฝันว่าการเดินทางครั้งนี้มันจะหนักหน่วงขนาดนี้
ด้วยอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาวของเขาในเวลานี้ ตัวเขากลับยังต้องตัวสั่นเทาเพราะความหนาวเย็น
แต่นายท่านของเขานั้นกลับไม่จำเป็นต้องสนใจอากาศหนาวร้อนใดๆ
เพราะเขาคนนี้มีกายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกขั้นปลาย ย่อมจะไม่รับรู้ถึงความหนาวเย็นใดๆ
หวู่หลิงที่ได้ยินจึงหัวเราะขึ้น “วางท่า! ข้าว่านะเจ้าคงใช้ปราณเทวะออกมาคุมร่างไว้ใช่ไหมเล่า? ไม่รู้เสียแล้วว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามในทุ่งราบสุดอุดรนี้ หากเจ้าไปเจอศัตรูเข้าระหว่างทางแล้วมีปราณเหลือแค่เจ็ดหรือแปดส่วน เจ้าจะเอาอะไรไปสู้เขา”
การใช้ปราณเทวะออกมาปัดป้องความหนาวเย็นมันย่อมจะทำให้คนผู้นั้นไม่รู้สึกหนาวใดๆ
เพียงแค่ว่าในทุ่งราบสุดอุดรนี้มันไม่มีใครกล้าจะทำ
เพราะว่าในดินแดนนี้การฆ่าสังหารนั้นเกิดขึ้นได้ทุกย่างก้าว ทั้งยังมีสัตว์อสูรที่ดุร้ายอยู่ทุกหนแห่ง ผู้คิดเดินทางในแดนนี้ย่อมจะต้องรักษาสภาพสมบูรณ์ไว้เสมอ
การใช้ปราณเทวะออกมากันความหนาวนั้นมันย่อมจะต้องใช้ปราณเทวะที่มหาศาล ด้วยอากาศที่หนาวเย็นจับขั้วหัวใจของที่แห่งนี้
เมื่อถึงเวลาไปเจอศัตรูเข้าแล้ว ตอนนั้นมันคงไม่มีโอกาสได้ทันเสียใจ
หนิงเทียนปิงนั้นแทบจะร้องบอกขึ้นมาแต่เย่หยวนกลับตอบขึ้นมาเสียก่อน “หึๆ จี้ผู้นี้มีปราณเทวะมากมายมหาศาล ไม่กลัวที่จะใช้มันออกมา”
หวู่หลิงที่ได้ยินก็แทบจะสำลักออกมา “ไม่ฟังคำเตือนผู้คนแล้วเจ้าจะได้ฉิบหายเอง! เจ้านี่มันไม่รู้จักตอบแทนความหวังดีของคนจริงๆ!”
หวู่ซ่งนั้นได้แต่ยิ้มแห้งๆ อยู่ด้านข้าง “น้องสาวข้ามันก็เป็นคนปากร้ายเช่นนี้แหละ มาเถอะ หวู่คนนี้ขอดื่มให้น้องชายทั้งสอง”
พูดจบหวู่ซ่งก็ยกไหสุราขึ้นดื่ม “สดชื่น! ในชุมเก้าสายนี้มันต้องเป็นสุราเพลิงคลั่งนี้จริงๆ ดื่มลงคอไปแล้วราวกับจะพ่นไฟออกมาได้ เทียบกันแล้วสุราของร้านอื่นๆ มันยังอ่อนไปมาก! น้องจี้ เจ้าเองก็คงชอบมันใช่ไหมเล่า?”
เย่หยวนที่ได้ยินก็ส่ายหัวออกมา “สุรานี้มันก็พอใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้พิเศษมากมาย”
หวู่ซ่งที่ได้ยินจึงต้องขมวดคิ้วแน่น ได้แต่คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้มันขี้อวดขี้โม้เสียจริงๆ ไม่กวนผู้คนแล้วจะหายใจไม่ออกหรือ?
สุราเพลิงคลั่งนั้นเป็นสุราที่แรงและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแดนผู้คนมากมายรักชอบมัน
แต่เมื่อเย่หยวนได้ดื่ม มันกลับกลายเป็นแค่สุราพื้นๆ พอใช้ได้
ต่อให้เป็นหวู่ซ่งที่เป็นคนไม่คิดถือสาใครมากมายเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะแทบสำลักสุราของตน
แต่ทางเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมนั้นกลับหูดีได้ยินคำของเย่หยวนเข้าจึงได้ร้องตะโกนขึ้น “เด็กน้อย เจ้าอย่าได้พูดจาโอหังนัก! ในชุมเก้าสายใครไม่รู้บ้างว่าสุราเพลิงคลั่งของโรงเตี๊ยมเพลิงคลั่งเราเป็นดั่งไฟนรกแผดเผาร่างกายนักยุทธทั้งหลายได้ ต่อให้เทียบกับโอสถทั้งหลาย สุราของเรามันก็คงไม่พ่ายแพ้ลงแน่”
คนทั้งหลายรอบๆ กายเองก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเช่นกัน
“เด็กน้อย ขนยังไม่ทันขึ้นดีกลับมาอวดอ้างตัวหรือ?”
“เช่นนั้นเจ้าที่ใส่ชุดบางเบาเช่นนั้นก็คงใช้ปราณเทวะปัดเป่าความหนาวเย็นแล้ว? หากมีปัญญาจริงก็อย่าได้ดื่มสุราสิ”
“สุราเพลิงคลั่งนั้นเป็นสุราโปรดของพ่อเจ้า! เจ้าคิดรนหาที่ตายหรือ!”
…
คำพูดเดียวของเย่หยวนนี้ทำให้คนทั้งโรงเตี๊ยมเดือดดาลขึ้นทันที
หวู่หลิงที่ได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา “เห็นไหมเล่า? ข้าบอกแล้ว! ทำเป็นอวดอ้างตัวสุดท้ายก็ทำให้ผู้คนทั้งหลายไม่พอใจใช่ไหมเล่า?”
แต่ตอนนี้เป็นทางหวู่ซ่งที่มีจิตใจกว้างขวางถึงขั้นลุกขึ้นขอโทษทุกผู้คนแทน “ฮ่าๆ สหายทั้งหลายอย่าได้ว่าเขาเลย น้องชายท่านนี้แค่ดื่มมากไปจนพูดผิดน่ะ แค่ดื่มมากไปจนพูดผิด!”
เถ้าแก่ที่ได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา “ดื่มมากไปจนพูดผิด? หึๆ หากเจ้าว่าสุราของข้าไม่ดีแล้วเจ้าก็อย่าได้ดื่มมันสิ! ไปๆ! ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า!”
เย่หยวนที่ได้ยินจึงยักไหล่ตอบ “ข้าก็แค่พูดความจริง ไม่ดื่ม… ก็ไม่ดื่มสิ ไม่ว่าอย่างไรเสียมันก็จืดชืดไร้รสชาติไม่ต่างจากน้ำเปล่าอยู่แล้ว”
……………………