Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2106 ไม่ยอมถอย
เมื่อฝ่ามือถูกซัดออกแน่นอนว่าพลังโลกมันต้องรุนแรงถล่มทลายฟ้าดิน
เย่หยวนยืนรับอยู่ตรงนั้นพร้อมมือไพล่หลังไม่คิดเกรงกลัวใด ๆ
แต่ระหว่างที่ทุกผู้คนต่างคิดว่าเย่หยวนจะตายลงแน่แล้ว มันก็กลับได้เกิดเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากห้วงมิติตรงหน้า
ซินหลัวกระโดดก้าวออกมาจากมิติและรับฝ่ามือนั้นของฉีเฉินไว้ก่อนจะยิ้มขึ้นพูด “หึ ๆ ฉีเฉินโปรดใจเย็นก่อน”
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่มุงดูเรื่องราวอยู่ถึงกับต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเย่หยวนจึงกล้าจะยืนนิ่งเช่นนั้นที่แท้ตัวเขามีผู้ช่วยในระดับนี้ซ่อนอยู่อีก
แม้ฉีเฉินเองก็จะตกตะลึงไม่แพ้ผู้คนทั้งหลายแต่เขาก็ยังตั้งสติถามกลับมาได้ “ซินหลัว ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ซินหลัวหันไปมองเย่หยวนด้วยสายตาเคียดแค้น ได้แต่คิดในใจว่าเจ้าเด็กคนนี้มันช่างมากเล่ห์ ดูท่าคงรู้มาแต่แรกแล้วว่าตัวเขาแอบมองดูเรื่องราวอยู่ไม่ไกล จึงได้จงใจทำเช่นนี้เพื่อบีบให้ตัวเขาต้องก้าวออกมา
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นย่อมจะไม่พอใจกับตำแหน่งของเย่หยวนและย่อมคิดอยากจะเห็นเย่หยวนเสียหน้าบ้างสักครั้ง
แต่เย่หยวนนั้นกลับยืนนิ่งไม่หวาดหวั่นใด ๆ แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากฉีเฉินจนทำให้ตัวเขาเองก็ตกที่นั่งลำบาก
“พี่ฉีเฉิน ท่านจะทำร้ายเขาไม่ได้!” ซินหลัวร้องบอก
“หึ! แค่เด็กมนุษย์คนหนึ่งขโมยพลังอสูรไป ทำไมข้าจะไม่อาจทำร้ายมันได้?” ฉีเฉินร้องตอบ
“พี่ฉีเฉินนั้นอาจจะยังไม่ทราบเพราะท่านเพิ่งออกมาสู่โลกภายนอกได้ไม่นาน แต่นี่… คือรองมหาปราชญ์ที่ท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแต่งตั้งขึ้นมาเองกับมือ!” ซินหลัวร้องบอก
ฉีเฉินถึงกับต้องผงะเมื่อได้ยินก่อนจะหันไปมองเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อ
เมื่อเหล่านักยุทธยอดฝีมือทั้งหลายในเมืองได้ยินคำพูดนั้น ทุกผู้คนต่างก็แสดงอาการตกตะลึงออกมาไม่แพ้กัน
“หะ? นี่คือรองมหาปราชญ์ในตำนานคนนั้น? นี่มัน…จะไม่เด็กไปหน่อยหรือ?”
“นี่หลอกตากันหรือไม่? ทำไมรองมหาปราชญ์ถึงเป็นมนุษย์ไปได้? ที่สำคัญยังเป็นแค่เทพถ่องแท้คนหนึ่ง?”
“เจ้าเด็กคนนี้มันมีดีอะไรถึงได้รับการขนานนามว่ารองมหาปราชญ์? นี่ท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลหยอกพวกเราเล่นแล้วหรืออย่างไร?”
…
ฉีเฉินเองก็ย่อมจะเคยได้ยินนามของรองมหาปราชญ์มาบ้าง เพียงแค่ว่าใบหน้าของเขาในเวลานี้มันไม่มีความคิดจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย “หึ ๆ พี่ซินหลัวเองก็คงหยอกเทพสวรรค์ผู้นี้แล้ว? ตัวตนของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือใคร? ทำไมเขาถึงจะตั้งมนุษย์เทพถ่องแท้มาเป็นรองมหาปราชญ์กัน?”
ซินหลัวยิ้มขึ้น “เมื่อตอนที่เทพสวรรค์ผู้นี้ได้เจอท่านรองมหาปราชญ์ข้าเองก็คิดไม่ต่างจากเจ้าหรอก แต่มีหรือที่ซินหลัวผู้นี้จะมาพูดล้อเล่นกับนามที่ท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลตั้ง? คนผู้นี้แหละคือรองมหาปราชญ์แห่งเผ่าอสูรเราอย่างแท้จริง! ที่สำคัญไปกว่านั้นวิชาโอสถของท่านรองมหาปราชญ์นั้น พวกเราทั้งหลายเองก็ได้เห็นมันมากับตาและยอมรับมันอย่างเต็มอก!”
ฉีเฉินเองก็ย่อมจะเข้าใจว่าซินหลัวไม่เอาเรื่องเช่นนี้มาพูดเล่นแน่ ๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจจะยอมรับมัน
หากเขานั้นเป็นรองมหาปราชญ์จริง ๆ แล้วตัวฉีเฉินก็คงไม่อาจทำอะไรเย่หยวนได้
แม้ว่าตัวเขาจะเก่งกาจปานใดมันก็ยังห่างไกลจากระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไปมาก
แม้ว่าเผ่ากิเลนนั้นจะไม่เกรงกลัวอำนาจของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล แต่การจะตัดขาดสายสัมพันธ์ทั้งหลายทั้งสิ้นทิ้งมันก็จะเท่ากับว่าต้องทิ้งสมบัติผลประโยชน์ใด ๆ ที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมอบให้ไปด้วย
“หึ! ต่อให้เป็นเช่นนั้นมันก็ขโมยสมบัติเผ่ากิเลนข้าไปทั้งยังขโมยพลังสายเลือดกิเลนเรา แถมยังทำร้ายคนเผ่ากิเลนข้า เจ้าคิดว่าเรื่องมันจะจบลงด้วยลมปากเช่นนี้?” ฉีเฉินกล่าวขึ้น
“เรื่องนั้น…” ซินหลัวเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าอึดอัดใจ
เพราะเดิมทีเรื่องนี้มันก็เป็นความผิดคนของเจ้ามิใช่หรือ? ตอนนี้เจ้ากลับหัวรั้นเปลี่ยนจากเลวเป็นร้าย
เผ่ากิเลนนั้นไม่ได้ออกสู่โลกภายนอกมาแสนนานและย่อมจะไม่เข้าใจเรื่องราวของโลกหล้าแม้แต่น้อย
สมบัติที่คนผู้หนึ่งได้รับมามันก็ย่อมจะเป็นของคนผู้นั้น มันจะไปเป็นของเผ่ากิเลนได้อย่างไร?
แน่นอนว่าทางเย่หยวนที่ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับไป “เจ้ายังจะอยากได้หน้าอีก เจ้าเฒ่า? ได้สิ ในเมื่อเจ้าคิดจะเอาสมบัติ ข้าก็จะให้เจ้าเสียเดี๋ยวนี้! ข้าแค่อยากรู้ว่าบรรพบุรุษของเจ้าจะตอบสนองอย่างไรต่อลูกหลานที่ไม่รักดีเช่นนี้!”
พูดจบเย่หยวนก็พลิกฝ่ามือส่งกระดูกอันเงาวับออกมาถือไว้ในมือ และแน่นอนว่ามันย่อมจะเป็นกระดูกจักรพรรดิกิเลยแล้ว
เมื่อกระดูกจักรพรรดิกิเลนถูกนำออกมา มันก็ส่งคลื่นพลังโบราณไปทั่วทุกหนแห่งทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซินหลัวที่เวลานี้ต้องเบิกตาทั้งสองกว้าง ต้องมองดูกระดูกนั้นในมือของเย่หยวน
คนเผ่ากิเลนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายเมื่อได้เห็น ราวกับว่าเส้นเลือดในกายมันร่ำร้องขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
เหล่ายอดฝีมือที่มองเห็นเรื่องราวต่างก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นมาตาม ๆ กันดูท่าคงสนใจกระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้กันไม่น้อย
หากเวลานี้มันไม่มีเทพสวรรค์อยู่มากมายเช่นนี้ สถานที่แห่งนี้มันคงได้กลายเป็นสนามรบไปแล้ว
“กระดูก…จักรพรรดิกิเลน!” ฉีเฉินร้องพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน
แล้วมีหรือที่เย่หยวนจะไม่เข้าใจสายตาของคนทั้งหลาย? เพียงแค่ว่าเขานั้นไม่คิดสนใจมัน
กระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้มันมีจิตใจของตนเอง เขานั้นกว่าจะได้รับการยอมรับจากมันก็ต้องใช้ความพยายามและผ่านความเป็นความตายมามากมาย
ต่อให้ฉีเฉินจะฆ่าสังหารเขาลงตอนนี้ ฉีเฉินก็คงไม่อาจจะรับกระดูกจักรพรรดิกิเลนไปได้
ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คนนั้นเย่หยวนได้โยนกระดูกจักรพรรดิกิเลนออกมาให้แก่ฉีเฉิน
ฉีเฉินที่เห็นต้องหรี่ตาแคบก่อนจะพุ่งตัวออกมาจับคว้ากระดูกจักรพรรดินั้นไว้
แต่ทว่าเมื่อมือของเขาสัมผัสถูกกระดูกจักรพรรดิ มันกลับเกิดแสงขาวจ้าขึ้นมาจากกระดูกจักรพรรดิกิเลน
ฉีเฉินเองที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกซัดกระเด็นไปไกล พร้อมด้วยเลือดที่ไหลท่วมปาก บาดเจ็บอย่างสาหัส
จากนั้นกระดูกจักรพรรดิกิเลนก็ได้บินวนกลับมาหามือของเย่หยวนอีกครั้ง
ตอนนี้แม้แต่เย่หยวนเองก็ยังมึนงงกับภาพตรงหน้าเช่นกัน
เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เจียนซู่เทาพยายามเอากระดูกจักรพรรดินี้ไปครอง เขาก็เพียงแค่ถูกมันเผาไหม้ฝ่ามือเท่านั้น
เย่หยวนไม่นึกไม่ฝันว่ากระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้จะยิ่งโหดร้ายต่อลูกหลานเผ่ากิเลนของตนเป็นพิเศษ
แต่ตัวเขาก็เข้าใจได้ว่านี่คือการที่กระดูกจักรพรรดิกิเลนช่วยแสดงตัวปกป้องเขา
“บ้าน่า! นี่มันบ้าชัด ๆ! มีหรือที่กระดูกจักรพรรดิกิเลนจะไปรับคนนอกเป็นนาย? เจ้า…เจ้าใช้วิธีการใดกันแน่?” ฉีเฉินพยายามประคองตัวลุกขึ้นมาถาม
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “ข้าก็บอกไปแล้วว่าสมบัติบนโลกหล้ามันมีกฎและคุณสมบัติของตนเอง หากมันเป็นของเจ้า คนอื่นก็ไม่อาจแย่งชิงมันไป หากมันมิใช่ของเจ้า ต่อให้จะเป็นอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจรักษามันไว้ได้! เจ้าแค่รู้ว่าข้าได้สมบัติมา ไม่ได้รู้เลยว่าข้าต้องลำบากยากเย็นเสียอะไรไปบ้าง แต่เจ้ากลับมาวางท่าว่าตนเป็นเจ้าของ คิดว่าสมบัติทุกชิ้นเป็นของเผ่ากิเลน? ช่างน่าหัวร่อจริง!”
เมื่อได้เห็นเรื่องราวตรงหน้าสายตาของผู้คนทั้งหลายก็เริ่มกลับสู่ความสงบ
ในเมื่อเวลานี้กระดูกจักรพรรดิกิเลนได้เลือกนายไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรมันก็คงไม่อาจแย่งชิงมาได้
ต่อให้จะฆ่าสังหารเย่หยวนลงได้ แต่พวกเขาเองก็คงไม่ได้รับการเลือกจากกระดูกจักรพรรดิกิเลน ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงเอามันไปมิได้
เพราะเช่นนั้นเองเย่หยวนจึงกล้าที่จะเอามันออกมาต่อหน้าผู้คน
ฉีโหยวนั้นได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพลังสายเลือดกิเลนของมันจึงเข้มข้นนัก ทั้งยังถึงขั้นเปิดทักษะเทวะภายในได้! ที่แท้มันก็ได้รับการยอมรับจากกระดูกจักรพรรดิกิเลน”
ที่ด้านข้างเวลานี้ฉีหยุนก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพักใหญ่ ๆ และกล่าวขึ้นตาม “ต่อให้มันจะได้รับการยอมรับจากกระดูกจักรพรรดิจริงแต่การที่มันจะปลุกทักษะเทวะภายในขึ้นมาได้ด้วยอายุเท่านี้ มันก็ย่อมจะหมายความว่าตัวมันนั้นมีพรสวรรค์เหนือกว่าคนเผ่ากิเลนเราทั้งหลายเสียอีก!“
เพราะการปลุกทักษะเทวะภายในขึ้นมานั้นมันเป็นสิ่งที่ยากแสนยาก มันมิใช่สิ่งที่แค่ได้รับกระดูกจักรพรรดิมาไว้ในมือแล้วก็จะทำได้
สำหรับเผ่ากิเลนแล้ว การปลุกทักษะเทวะภายในให้ตื่นได้ด้วยอายุเท่าฉีหยุนมันก็นับว่าเป็นเรื่องที่แสนสุดยอดแล้ว
แต่เย่หยวนนั้นกลับมีพรสวรรค์เหนือล้ำกว่าเขา
“ข้าไม่ยอม กระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้เหนือล้ำ เราจะต้องนำมันกลับไปที่เผ่า!”
ฉีหยุนหรี่ตามองพร้อมก้าวเท้าลุกขึ้นมาชี้หน้าเย่หยวน “ในเมื่อเจ้าบอกว่าตนคือรองมหาปราชญ์แล้ว เจ้าก็คงมั่นใจในวิชาโอสถของตนมิน้อยใช่หรือไม่? เจ้ากล้าพนันกับข้าไหม?”
เย่หยวนหันหน้าไปมองทางฉีหยุนก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “โอ้? พนันอะไรเล่า?”
ฉีหยุนตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “พี่ใหญ่ข้า ฉีเจิ้นนั้นเป็นยอดนักหลอมโอสถไร้เทียมทานในหมู่คนรุ่นใหม่ในโลกกิเลนเสมือน เจ้ากล้าพนันกับเขาหรือไม่? หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องทิ้งกระดูกจักรพรรดิไว้!”
เย่หยวนหรี่ตาลงมอง “เช่นนั้น… พวกเจ้าจะใช้อะไรมาพนันกับข้าเล่า?”
………………