Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2111 หน้าไม่อาย
ภายในวิหารนักบวชในเวลานี้มีเย่หยวนนั่งอยู่สูงและที่ด้านล่างมีผู้คนมากมายยืนก้มหัวให้อยู่ แท้จริงแล้วมันเป็นพวกซินหลัวทั้งหลายรวมไปถึงตัวกงหยางเลี่ยด้วย
ในเวลานี้เหล่านักบวชเจ็ดดาวทั้งหลายต่างแสดงสีหน้าท่าทางสุดแสนละอายออกมา
ซินหลัวก้าวออกมาด้านหน้าคนทั้งหลายและก้มหัวลงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเราทั้งหลายได้ลบหลู่ว่าท่านรองมหาปราชญ์ไป สมควรได้รับโทษตายหมื่นหน!”
กงหยางเลี่ยเองก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางละอาย “กงหยางเลี่ยได้ลบหลู่ท่านรองมหาปราชญ์ไป นายท่านโปรดลงโทษด้วย”
เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายที่ได้ยินถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมอง เพราะแม้แต่ท่านจักรพรรดิเทพสวรรค์เองก็ยังต้องก้มหัวยอมรับผิด!
เรื่องราวเช่นนี้ตั้งแต่เกิดจนอยู่มาแก่เฒ่าปานนี้ พวกเขาทั้งหลายไม่เคยจะได้พบเห็นมัน
แต่คิดไปถึงตรงนี้พวกเขาทั้งหลายเองก็พอจะเข้าใจมัน
ท่านรองมหาปราชญ์ตรงหน้านี้คือคนที่ท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแต่งตั้งขึ้นมากับมือ มีตัวตนเหนือล้ำเสียยิ่งกว่ามหานักบวชขนแดง แน่นอนว่าย่อมจะทำให้จักรพรรดิเทพสวรรค์ก้มหัวให้ได้ไม่ยาก
ด้วยพรสวรรค์และฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมานี้ การจะก้าวล้ำมหานักบวชขนแดงเองมันก็คงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัดไล่คนทั้งหลาย “เรื่องจบเท่านี้ พวกเจ้าทั้งหลายสุดท้ายก็เป็นแค่เบี้ยของเฒ่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล เหตุใดปราชญ์ผู้นี้ต้องไปเอาเรื่องเอาราวกับพวกเจ้า?”
ทุกผู้คนได้แต่หันไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจความหมาย
แต่พวกเขาทั้งหลายเองก็สั่นสะท้านไปทั้งกาย การกล้าจะเรียกมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลว่าเฒ่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันคงมีแค่ไม่กี่คนที่กล้าเรียกใช่หรือไม่?
หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะเย้ยหยันดูถูกกล่าวว่าเย่หยวนแน่
แต่ในเวลานี้พวกเขาย่อมจะไม่กล้าส่อปากเข้าไปยุ่ง
เรื่องราวระหว่างเทพผู้ยิ่งใหญ่นั้นมันมิใช่เรื่องที่พวกเขาจะไปยุ่งย่ามได้
เพราะในวันหน้าท่านรองมหาปราชญ์นี้ก็คงเติบโตขึ้นไปได้ถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นแน่
แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้นออกมา ทางตัวเย่หยวนก็ไม่ได้เคียดแค้นใด ๆ เฒ่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
เพราะวิชาการโอสถของเผ่าอสูรนั้นมันพิเศษและยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาสามารถเรียนรู้พัฒนาได้
เย่หยวนนั้นได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายจากคนทั้งหลายตรงหน้านี้
เย่หยวนนั้นไม่เคยจะถือว่าตนเองเก่งกาจที่สุด กลับกันตัวเขานั้นมักจะให้ความสนใจทักษะของศัตรูในทุก ๆ การประลอง
แม้ว่าตัวเขาจะดูไม่ได้ลำบากยากเย็นใด ๆ ในการประลองแม้สักครั้ง แต่แท้จริงตัวเย่หยวนก็ได้รับประโยชน์ความรู้ไปทุก ๆ ครั้งที่เขาประลอง
และมันก็เพราะเช่นนี้เองที่เขาสามารถจะสั่งสมความรู้ที่ได้รับช่วยพัฒนาตัวไปได้ไกลกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า
นั่นคือสิ่งที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอยากจะเห็น
ระหว่างที่คนทั้งหลายกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นมันก็ได้มีคนใช้เข้ามารายงาน “ท่านรองมหาปราชญ์ ฉีเจิ้นแห่งเผ่ากิเลนต้องการขอเข้าพบ”
เมื่อซินหลัวได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น “ฉีเจิ้น? หมายถึงฉีเจิ้นที่ฉีเฉินพูดถึงนั้นหรือ? หรือว่า…เขาจะมาประลองกับท่านรองมหาปราชญ์ตามคำสัญญา?”
ในวันนั้นฉีเฉินได้มาวางเดิมพันกับเย่หยวนเอาไว้ต่อหน้าทุกผู้คน
เรื่องในครานี้ทุกผู้คนต่างรับรู้ดี
เย่หยวนจึงได้หันไปถามขึ้น “ซินหลัว ข้าได้ยินมาว่าเหล่าเผ่าสัตว์เทวะในตำนานนั้นมักจะใช้ชีวิตแยกขาดจากโลกภายนอก เหตุใดวันนี้พวกเขาจึงได้มายังอาณาจักรวิญญาณประจิมกัน?”
ซินหลัวจึงได้ตอบกลับมาด้วยท่าทางเคารพ “แท้จริงแล้วมันเป็นท่านมหานักบวชขนแดงที่เชื้อเชิญเหล่ายอดฝีมือจากโลกเสมือนทั้งหลายให้ส่งเด็กรุ่นใหม่ของตนมาเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้กัน ฉีเจิ้นผู้นี้เองก็มาถึงเพราะคำเชิญนั้น เพียงแค่ว่าไม่ทราบด้วยเหตุใด การเดินทางของเขามันจึงเคลื่อนช้าไปกว่ากำหนด จนเพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน”
เย่หยวนเข้าใจทันทีที่ได้ยินพร้อมกล่าว “เช่นนั้นแล้วฉือเซียวเองก็มาเพื่อร่วมงานครั้งนี้?”
ซินหลัวพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนั้น”
เย่หยวนกล่าวขึ้น “เช่นนั้นแล้วทางเผ่ามังกรหรือเผ่าในตำนานอื่น ๆ เล่า?”
ซินหลัวพยักหน้ารับ “ขอรับ ในอดีตที่ผ่านมาเหล่าเผ่าพันธุ์ทั้งหลายนี้ต่างไม่ยอมติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก แต่ในครั้งนี้พวกเขาได้ยอมตกลงว่าจะส่งเด็กรุ่นใหม่ออกมากันไม่น้อย”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดสงสัย
เพราะตั้งแต่ที่มาถึงมหาพิภพถงเทียนหลายร้อยปีนี้เขาไม่เคยจะได้ยินข่าวเรื่องเผ่ามังกรมาก่อน
ในฐานะผู้สืบทอดเผ่ามังกรแล้วเขาย่อมจะอยากทราบถึงเรื่องราวของเผ่ามังกร
เมื่อได้เห็นในเวลานี้ ดูท่าเขาคงพอจะพบกับยอดคนจากเผ่ามังกรได้
“ให้เขาเข้ามาได้” เย่หยวนสั่ง
ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเชิดหน้าเข้ามาในโถงใหญ่
“ขอคารวะรองมหาปราชญ์” ฉีเจิ้นยกมือขึ้นทำความเคารพด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
กงหยางเลี่ยที่ได้เห็นจึงหรี่ตาลงทันที “โอหัง! ได้เห็นท่านรองมหาปราชญ์แล้วยังจะมาวางท่าเช่นนี้ได้?”
เมื่อได้เห็นกงหยางเลี่ยตัวฉีเจิ้นเองก็ผงะไปเล็กน้อย เพราะตัวเขาก็ไม่นึกว่าจะมีจักรพรรดิเทพสวรรค์อยู่ด้วย
แต่เขานั้นคงตกใจ ไม่ได้หวาดกลัว
ด้วยตำแหน่งของตัวเขาในเผ่ากิเลนแล้วแน่นอนว่าเขาย่อมจะเคยเห็นจักรพรรดิเทพสวรรค์มามาก
“เขานี่คือรองมหาปราชญ์ของพวกเจ้า หาใช่รองมหาปราชญ์ของเผ่าข้า เจ้าต้องให้ข้าทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าสุภาพได้?” ฉีเจิ้นนั้นหันไปมองกงหยางเลี่ยพร้อมกล่าว
กงหยางเลี่ยที่ได้ยินก็แทบจะสำลักไปทันที
เหล่าเผ่าอสูรชั้นสูงทั้งหลายนี้แต่ละเผ่าย่อมจะมีรากฐานหนักแน่นยาวนาน
ไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกหลายต่อหลายปีนี้ ไม่รู้ว่าภายในเผ่านั้นจะมียอดฝีมือเกิดขึ้นมามากมายปานใด
เพราะแม้ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะครอบครองอาณาจักรเทพอสูรไว้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ส่วนที่ไม่มีเจ้าของเป็นแค่ส่วนพื้นผิวของดินแดน
ที่สำคัญไปกว่านั้นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเองก็ยังเก่งกาจและมีวิชาด้านโอสถเท่านั้น ย่อมจะไม่อาจรวบรวมเผ่าอสูรทั้งหลายทั้งสิ้นมาเป็นหนึ่งได้
ในเผ่าอสูรนี้มันมียอดคนที่เก่งกาจไม่แพ้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอีกไม่น้อย
เพราะจำนวนเผ่าพันธุ์อสูรนั้นมันมีมากมายเหนือล้ำ บางเผ่าก็มีพลังแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าอสูรในโลกภายนอก
อย่างเช่นเผ่ากิเลนนี้ก็มีกำลังมากพอจะวางท่าโอหัง
เมื่อได้ขยี้กงหยางเลี่ยลงด้วยคำพูดเดียวนี้แล้วทางฉีเจิ้นก็หันไปมองเย่หยวน “ข้ามาวันนี้เพื่อจะบอกเจ้าว่าเรื่องราวการประลองใด ๆ ที่ลุงเฉินเคยบอกไว้ก่อนหน้า ข้าจะมายกเลิกมัน”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าว ทั้งโถงมันก็ลั่นสะท้านลั่นทันที
“หะ? นี่เรื่องที่ตกลงกันไปแล้วกลับจะมากลืนน้ำลายง่าย ๆ เช่นนี้?”
“นี่มัน…จะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว!”
“ข้าเข้าใจแล้ว! พวกมันทั้งหลายนี้คงได้เห็นฝีมือที่แท้ของท่านรองมหาปราชญ์และเกรงกลัวว่าจะแพ้จนตัวสั่น จึงไม่กล้าที่จะประลองใด ๆ!”
“เผ่ากิเลนนี่มันน่าสมเพชจริง ๆ!”
…
เหล่านักบวชทั้งหลายในที่นี้ต่างโห่ร้องไม่พอใจขึ้นตาม ๆ กัน
การกระทำไร้ยางอายเช่นนี้ เผ่ากิเลนกลับกล้าจะทำมันออกมา
พวกเขานั้นได้ยอมรับเย่หยวนอย่างสุดหัวใจไปแล้ว แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นคนที่ตนชื่นชมถูกทำเช่นนี้ด้วยพวกเขาก็ย่อมจะรู้สึกราวกับว่าเรื่องนี้มันกลายเป็นเรื่องของตัวเองไป
ฉีเจิ้นที่ได้ยินก็กล่าวตอกกลับไป “พวกเจ้า พวกเจ้าฟังคำข้าให้ดี ๆ เผ่ากิเลนของข้านั้นมันมิใช่เผ่าที่พวกเจ้าจะมาว่ากล่าวได้ง่าย ๆ! เรื่องที่ลุงเฉินกับรองมหาปราชญ์ตกลงกันไปนั้นข้าไม่ได้อยู่ในเรื่องราวด้วยเลย พวกเขาไม่ได้ถามความเห็นข้าสักคำ เรื่องราวการตกลงเช่นนี้ใครจะไปคิดสนใจ? จะนับมันเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร?”
ฉีเจิ้นนั้นเป็นเพียงแค่เทพสวรรค์ขั้นต้นก็จริงแต่ตัวเขานั้นมีสายเลือดสุดทรงพลัง กล่าวคำทั้งหลายนี้ออกมาอย่างมีสง่า
ที่สำคัญไปกว่านั้นเผ่ากิเลนยังมีอำนาจที่เหนือฟ้า เรื่องนี้มันเป็นที่รู้ทราบกันดีในเผ่าอสูร หากคิดหาเรื่องเผ่ากิเลนแล้วมันคงลบล้างเรื่องราวไม่ได้ง่าย ๆ
พูดจบฉีเจิ้นก็หันไปมองเย่หยวนด้วยท่าทางข่มขู่ “รองมหาปราชญ์ เจ้าเองก็ได้ชิงเอาสมบัติล้ำค่าของเผ่ากิเลนเราไป มันก็เท่ากับว่าได้กลายเป็นศัตรูของเผ่ากิเลนเราแล้ว ฉีเจิ้นผู้นี้จะแนะนำเจ้าให้ เจ้ารีบส่งสมบัตินั้นกลับไปให้เผ่ากิเลนเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าจงรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็แทบจะหลุดขำออกมา
ความหน้าไม่อายระดับนี้ของเผ่ากิเลนนี้ยกให้เป็นที่หนึ่งในโลกหล้ามันก็คงไม่มีใครกล้าเถียง!
เขานั้นหันไปมองฉีเจิ้นด้วยรอยยิ้ม “โอ้? ข้าสงสัยเสียจริงว่ามันจะเป็นผลอย่างไร?”
ฉีเจิ้นที่ได้ยินจึงหัวเราะตอบกลับมา “รองมหาปราชญ์นั้นเป็นมนุษย์ คงไม่เข้าใจว่าเผ่ากิเลนเรานั้นยิ่งใหญ่ปานใดใช่หรือไม่? เผ่ากิเลนข้านั้นมีกำลังเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของอสูรทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกภายนอก! เจ้าลองชั่งใจดูเองเถอะ! ลาก่อน!”
พูดจบฉีเจิ้นก็หันหน้าเดินกลับไป
“หยุด!” เย่หยวนตะโกน “ข้าอนุญาตให้เข้าไปแล้ว?”
ฉีเจิ้นจึงได้หันมาหัวเราะใส่ “หะ? แค่ตัวเทพถ่องแท้อย่างเจ้านี้ก็จะหยุดข้าได้หรือ? หรือเจ้าคิดว่าจะใช้กำลังห้ามข้าได้?”
…………………..