Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2347 ยอดฝีมืออันดับทองคำ!
“สหายหนุ่มเย่ เจ้าจะยังฝืนทนอีกหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเวลานี้ตนเองได้กลายเป็นที่หัวร่อของคนทั้งเมืองเมฆหนุนแล้ว? เจ้าไม่รู้บ้างหรืออย่างไรว่าพวกมันทั้งหลายนั้นว่ากล่าวอย่างไรลับหลังเจ้า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเจียงเจ๋อนั้น คำพูดของมันช่างน่าชังนัก” ตี้หยางกล่าว
สามปีมานี้เย่หยวนได้ทำการตามหาเก็บเศษเสี้ยวของแนวคิดแห่งกาลเวลามาอย่างต่อเนื่อง
เทียนหยวนตี้หยางสองผัวเมียที่ได้ยินเรื่องจึงได้มาคิดกล่อมให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ
แต่เย่หยวนนั้นยังคงดื้อรั้นอย่างมาก
“สองผู้อาวุโส เย่หยวนนั้นได้ตัดสินใจลงไปแล้ว พวกท่านไม่ต้องเสียเวลากล่าวหว่านล้อมข้าหรอก” เย่หยวนยิ้มตอบ
สามปีมานี้เย่หยวนไม่ได้ออกไปบ่มเพาะใดๆ เขานั้นใช้เวลาส่วนมากไปกับการรอข่าวของสัตว์ร้ายซวนสู้ในเมืองเมฆหนุน
ตราบเท่าที่เขาได้ยินข่าวนั้นเขาก็จะมุ่งหน้าออกไปล่าสัตว์ร้ายซวนสู้ทันที
แต่มันก็มิใช่จะนั่งรออย่างเสียเปล่าทีเดียว
เพราะนานครั้งนานทีเย่หยวนก็จะออกไปล่าสัตว์ร้ายต่างๆ ด้วยตัวเองบ้าง
มิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้มันมีพลังงานฟ้าดินที่หนักหน่วงหนาแน่นมาก ในเวลาแค่สามปีสั้นๆ นี้เย่หยวนแทบจะขึ้นมาถึงขั้นสุดของอาณาจักรมหาพิภพขั้นต้น
ครั้งนี้เขาได้ยินข่าวมาว่ามันมีราชันสัตว์ร้ายซวนสู้ปรากฏขึ้นมาในป่าน้ำยาว เย่หยวนจึงตัดสินใจที่จะเดินทางออกจากเมืองไปล่าทันที
ราชันสัตว์ร้ายซวนสู้นั้นมันแข็งแกร่งอย่างมาก มีพลังบ่มเพาะใกล้เคียงกับจักรพรรดิเทพสวรรค์หกดาวขั้นสุด แต่พลังต่อสู้ของมันย่อมจะเหนือล้ำกว่านั้นไปมาก
ที่สำคัญกว่านั้นคือแนวคิดแห่งกาลเวลาที่ราชันสัตว์ร้ายซวนสู้ถือครองไว้นั้นมันยิ่งใหญ่ นักยุทธทั่วๆ ไปย่อมจะไม่อาจต่อสู้กับมันได้
เวลานี้เสี้ยวแนวคิดแห่งกาลเวลาที่เย่หยวนสะสมมามันขาดไปอีกแค่ส่วนเล็กๆ
หลังจากจัดการเจ้าราชันสัตว์ร้ายซวนสู้ลงได้นี้ เศษเสี้ยวแนวคิดแห่งกาลเวลาที่เขาสะสมมาได้มันคงครบสมบูรณ์
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยที่จะเดินทางออกไปล่าสังหาร
เย่หยวนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องแต้มเทพสงครามใดๆ แต้มที่เขาได้มาจากการล่าสัตว์ร้ายในช่วงสามปีนี้มันถูกใช้กับการซื้อสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์และจ่ายค่าข่าวสิ้น
เวลานี้ค่ายกลดาบของเย่หยวนนั้นมันถูกแทนที่ด้วยสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์จนครบสิ้น
นั่นย่อมทำให้พลังของค่ายกลดาบมันพุ่งทะยานขึ้นอีกหลายเท่า!
เมื่อได้เห็นเย่หยวนเดินทางไปทางด้านเทียนหยวนตี้หยางก็หันมามองหน้ากันอย่างขมขื่น
“เด็กน้อยคนนี้มากพรสวรรค์ล้ำแต่กลับหัวรั้นอย่างถึงที่สุด!” ตี้หยางกล่าว
เทียนหยวนพยักหน้ารับ “ใช่เลย! เจ้าเด็กคนนี้มันเป็นคนหัวแข็งอย่างไร้ทางแก้ไข เราไม่อาจกล่อมใดๆ มันได้เลย”
“หึๆ ดูท่าอัจฉริยะของเราจะออกไปล่าสัตว์ร้ายซวนสู้อีกแล้วหรือ? ชิๆ หลังจากเขาบรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลามาได้เขาคงเอาชนะคนทั้งมิติสงครามดึกดำบรรพ์ไปได้แน่! เก่งกาจแท้ๆ! เก่งกาจเสียจริงๆ!” เสียงเย้ยหยันของเจียงเจ๋อดังขึ้นมาจากด้านหลัง
อีกผู้คนหนึ่งก็กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงหัวเราะตาม “เจ้าโง่นี้มันคิดใช้วิธีนี้ในการพิสูจน์หรือว่าตัวมันมากพรสวรรค์กว่าว่านเจิ้น? ข้าคงต้องบอกเลยว่า มันช่างโง่เง่าแท้ๆ! ฮ่าๆๆ…”
คำพูดเช่นนั้นตัวเทียนหยวนตี้หยางได้ยินมาจนเอือม
ไม่ว่าจะอย่างไรเสียเรื่องของเย่หยวนนี้ก็ได้กลายเป็นที่ขำขันของทุกผู้คนไปแล้ว
คนทั้งสองนั้นไม่คิดจะเสียเวลาไปเถียงคำด้วยและเดินจากไป
…
เมื่อออกจากเมืองเมฆหนุนมาเย่หยวนก็มุ่งหน้าไปยังป่าน้ำยาวทันที
ป่าน้ำยาวนั้นมันคือรังของสัตว์ร้ายทรงพลังมากมาย ทั้งยังมียอดฝีมือมากมายบ่มเพาะอยู่ภายใน
เย่หยวนนั้นมาถึงที่ที่ได้รับข่าวมาและออกตามหาตัวของราชันสัตว์ร้ายซวนสู้ในทันที
“โฮ่ก!”
หลังจากตามหาไม่นานเย่หยวนก็ได้พบเจอเข้ากับราชันสัตว์ร้ายซวนสู้
เขานั้นยิ้มกว้างพร้อมชักดาบยาวออกมาทันที
ราชันสัตว์ร้ายซวนสู้นั้นเองเป็นสมชื่อว่าเป็นสัตว์ร้ายระดับราชัน เพราะแค่ขนาดตัวของมันนั้นก็ใหญ่กว่าสัตว์ร้ายซวนสู้ทั่วๆ ไปเกือบเท่าตัวแล้ว
เมื่อเย่หยวนก้าวเข้ามาใกล้เขาก็รู้สึกเหมือนตนได้ก้าวลงสู่หลุมดูดกาลเวลา
“โฮ่ก โฮ่ก…”
เมื่อราชันสัตว์ร้ายซวนสู้เห็นหน้ามนุษย์ มันก็ร้องและตะปบเข้าทันที
“เจ้าสัตว์ร้าย เจ้ากล้า?!”
เย่หยวนนั้นขมวดคิ้วก่อนจะใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติและค่ายกลดาบออกมาทันที
สองพลังต้นกำเนิดนั้นปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในหลุมดูดเวลานี้ พยายามที่จะเข้าโจมตีเจ้าราชันสัตว์ร้ายซวนสู้
แต่จะอย่างไรเย่หยวนนั้นก็เจอของแข็งเข้าแล้วจริงๆ
เพราะพลังของแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นมันยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไปมาก
ค่ายกลดาบของเขานั้นมันขยับเคลื่อนได้เชื่องช้าลงมาก
เวลานี้เขาต้องใช้ทั้งปราณเทวะและพลังจิตของเขามากกว่าปกติไปหลายเท่าตัว
แต่พลังของค่ายกลดาบนั้นมันกลับแสดงออกมาได้ไม่ถึงครึ่ง
กอปรกับเรื่องที่ว่าเขานั้นมีพลังบ่มเพาะต่ำกว่าสัตว์ร้ายซวนสู้เป็นทุน เย่หยวนจึงแทบจะไม่อาจต้านทานพลังของอีกฝ่ายได้
และขณะที่เย่หยวนกำลังต่อสู้อย่างยากลำบากนั้นบนยอดไม้ไกลออกไปมันก็ปรากฏเงาร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดฟ้าครามยืนมือไพล่หลังมองดูการต่อสู้อยู่จากระยะไกล
“หึๆ ช่างเป็นเจ้าหนุ่มที่โอหังนัก กลับคิดที่จะบ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลาเช่นนั้น! ว่านเจิ้น เจ้ากลัวหรือไม่ว่ามันจะล้มเจ้าได้?”
จากนั้นมันก็ปรากฏอีกเงาร่างหนึ่งขึ้นมาข้างกายชายวัยกลางคนชุดฟ้าครามนั้น
คนผู้นี้มีใบหน้าสวยงามจนหากไม่มองดูดีๆ คงคิดไปว่าเขาผู้นี้เป็นสาวงามนางหนึ่ง
แต่หากวัดกันแค่ใบหน้านั้น หญิงสาวมากมายคงต้องก้มหัวลงอย่างอับอายต่อความงามของเขา
และชายวันกลางคนในชุดฟ้าครามผู้นี้แท้จริงแล้วกลับเป็นยอดคนอับดับหนึ่งในเมืองเมฆหนุน ว่านเจิ้น!
ตัวว่านเจิ้นนั้นไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาแต่สายตาของเขานั้นไม่เคยละไปจากการต่อสู้ของเย่หยวน “จางเหลียน เจ้าคิดอะไรมากเกินไปแล้ว! หากเขาบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติได้จริง ข้าก็พร้อมจะยินดีไปกับเขา”
จางเหลียน!
หากคนอื่นๆ มาได้ยินพวกเขาคงเข้าใจทันทีว่าชายหน้างามผู้นี้มันคือจางเหลียน ผู้ติดอับดับทองคำเทพสงครามเป็นอันดับสอง!
นั่นหมายความว่าเวลานี้ทั้งอันดับหนึ่งและอันดับสองของเมืองเมฆหนุนนั้นได้ออกมาถึงป่าน้ำยาวนี้เพื่อจะดูการต่อสู้ของเย่หยวน
จางเหลียนยิ้มออกมาด้วยท่าทางมีนัย “เจ้าหมอนี่ คำพูดเจ้ามันไม่ตรงกับใจแล้ว!”
แต่ว่านเจิ้นที่ได้ยินกลับหันมามองอย่างหนักใจ “จะอย่างไรมิติสงครามดึกดำบรรพ์มันก็เป็นแค่เกมการฝึกฝนเพียงเท่านั้น! เวลานี้เผ่ามนุษย์กำลังเข้าใกล้หายนะไปทุกวัน ท่านจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จึงได้ลงแรงเปิดมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้ขึ้นมามันก็เท่านั้น เพื่อที่จะได้ทำให้เรามีเวลาบ่มเพาะฝึกฝนตัวให้มากที่สุดจะได้เป็นกำลังให้ทัพเผ่ามนุษย์! เวลานี้ยิ่งมียอดฝีมือเกิดขึ้นมากเท่าใดข้าก็ยิ่งจะดีใจตามไปด้วย! หากรังแตกแล้วไข่มันจะเหลือรอดหรือ? หากพวกเผ่าเทวาทั้งหลายมันคิดโจมตีจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จริง เป้าหมายแรกของมันก็คงเป็นพวกเราเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายนี้แล้ว!”
จางเหลียนนั้นไม่ได้คิดว่าตัวว่านเจิ้นจะพูดกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เพราะตัวเขาและว่านเจิ้นนั้นต่อสู้กันมานานนับร้อยปีตั้งแต่มาถึงแต่ก็ยังไม่อาจจะระบุได้ชัดเจนว่าใครเหนือกว่าใคร
จะบอกว่าเขานั้นเป็นคู่ปรับคนเดียวของว่านเจิ้นก็คงไม่ผิด
แต่นี่มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นในมิติสงครามดึกดำบรรพ์เพียงเท่านั้น
จางเหลียนนั้นย่อมจะไม่นึกฝันว่าตัวว่านเจิ้นนั้นกลับจะกำลังคิดไปไกลถึงเรื่องของสงครามสิ้นโลกแล้ว
เขาจึงได้แต่ขมวดคิ้วแน่น “เผ่าเทวามันเก่งกาจปานนั้น?”
“เก่งกว่าที่เจ้าคิดแน่นอน! พวกมันนั้นคืออดีตผู้ปกครองมหาพิภพถงเทียน ตัวตนที่ยืนอยู่เหนือทุกชีวิต มีหรือที่จะเป็นตัวตนแสนอ่อนแอไปได้?” ว่านเจิ้นตอบ
จางเหลียนเองก็ได้แต่นิ่งเงียบลงไปแต่เมื่อได้เห็นเรื่องราวตรงหน้าเขาก็ต้องกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าเด็กคนนั้นจะตายแล้ว!”
แต่ว่านเจิ้นกลับสวนกลับมา “ราชันสัตว์ร้ายซวนสู้กำลังจะตาย!”
“เหอะ ภายใต้พลังของแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นแม้แต่พวกเราก็ยังยากจะหนี เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้มันจะทำได้?” จางเหลียนกล่าวขึ้นอย่างไม่คิดเชื่อ
แต่ตัวว่านเจิ้นนั้นกลับตอบกลับมาด้วยความมั่นใจในเย่หยวนอย่างเปี่ยมล้น “เขาเองก็รู้แนวคิดแห่งกาลเวลาเช่นกัน!”
ทางจางเหลียนที่ได้ยินก็ต้องทำสีหน้าไม่เชื่อถามกลับไป “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ว่านเจิ้นจึงตอบกลับมา “เจ้าไม่ได้เข้าใจตัวเขาเลย!”
“หยุด!”
วินาทีนั้นเองที่มันเกิดเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นมาจนดึงดูดพลังของเต๋าสวรรค์ลงจุติ
คลื่นพลังหนักแน่นของเต๋าสวรรค์นั้นมันได้พุ่งลงมาปกครองพื้นที่ทั้งป่าไว้
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของเต๋าสวรรค์นี้ตัวจางเหลียงก็ต้องตื่นตะลึงอย่างสุดใจ
ที่แท้แล้วว่านเจิ้นกำลังพูดถึงสิ่งนี้อยู่!
แต่พลังของคำบัญชาเต๋าสวรรค์นี้มันหนักหนากว่าแนวคิดแห่งกาลเวลาของราชันสัตว์ร้ายซวนสู้ไปมาก!
ตอนนี้เวลาหยุดชะงักลงทันที!
…………….