Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2351 ใช้ความจริงตบหน้าคน!
“ไม่มีทางหรอกใช่หรือไม่? ทำไมเย่หยวนมันถึงได้มีแต้มเทพสงครามพุ่งทะยานขึ้นมาเช่นนี้ได้?”
“เย่หยวนนี้มันคงไม่ใช่เย่หยวนที่โง่ไปบ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลาหรอกใช่หรือไม่? มันนั้นไม่เคยจะปรากฏขึ้นมาบนอันดับทองคำเทพสงคราม!”
“ได้ยินว่าเจ้าเด็กคนนี้มันมีอาณาจักรบ่มเพาะไม่สูงล้ำแต่ฝีมือการต่อสู้ของมันนั้นเหนือหัวผู้คน สามารถบ่มเพาะพลังสองอย่างจนไปถึงขั้นต้นกำเนิด แต่หากวัดกันที่ฝีมือจริงๆ แล้วมันจะไม่คิดว่าตอนนี้สายเกินไปหรือ?”
…
ในเมืองเมฆหนุนนั้นมันย่อมมีแต่คนพูดถึงเรื่องที่อันดับทองคำเทพสงครามมีนามของเย่หยวนปรากฏขึ้น
เรื่องนี้มันไม่มีทางหลีกเลี่ยงเพราะเดิมทีเขานั้นก็เป็นประเด็นที่หลายๆ คนพูดถึงอยู่ก่อน
เวลานี้เมื่อได้ปรากฏขึ้นมาต่อสายตาของคนทั้งหลาย พวกเขานั้นก็ย่อมจะหันมาสนใจได้ง่ายๆ
สิบปีสุดท้ายนี้เหล่าคนที่อยู่อันดับล่างๆ ย่อมจะไม่คิดคาดหวังใดๆ และใช้เวลาไปวันๆ อย่างเบื่อหน่ายรอเวลาหมดลง แน่นอนว่าคนที่ว่างขนาดนั้นย่อมจะหาเรื่องคุยฆ่าเวลากันไม่ขาดปาก
ตัวตนของเย่หยวนนี้มันเป็นจุดสนใจของทุกผู้คน
เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายจึงอดไม่ได้ที่จะสนใจเขาขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจียงเจ๋อนั้นที่ต่างหวังให้เย่หยวนพลาดท่าไม่อาจขึ้นไปติดอันดับหนึ่งในสิบได้
หากไม่ติดจริงแล้วพวกเขาก็จะได้ด่าต่อได้อย่างไม่กระดากปาก
…
ในทุ่งร้างนั้นสองเงาร่างกำลังพุ่งตัวเดินหน้าอย่างไม่มีหยุดพัก
หนึ่งนั้นหนักแน่นดั่งขุนเขาอีกหนึ่งนั้นงดงามราวดอกไม้ที่ทำให้ดวงจันทร์ต้องอับอาย
คนทั้งสองย่อมจะเป็นว่านเจิ้นและจางเหลียนทั้งสองคนที่มาบ่มเพาะฝึกฝนตัวยังทุ่งศึกสัตว์ร้ายล้นแล้ว
“แปลกจริง เราก็เดินกันมาตั้งไกลแล้วแต่ทำไมยังไม่เจอสัตว์ร้ายแม้สักตัว? ตามที่ข้าเคยผ่านมาแถวนี้มันน่าจะเป็นจุดที่มีสัตว์ร้ายอยู่หนาแน่นที่สุด!” จางเหลียนกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้ามึนงง
ว่านเจิ้นนั้นหรี่ตาลงมองพร้อมขมวดคิ้วแน่น “หรือว่ามันจะมีใครมากวาดล้างสัตว์ร้ายก่อนหน้าเราไป?”
“บ้าน่า! สัตว์ร้ายในบริเวณนี้มันสุดแสนแข็งแกร่ง! ต่อให้จะเป็นข้าหรือเจ้าเองเราก็ยังต้องเข้ามาอย่างระวัง หากถูกล้อมหนักขึ้นมาแล้วมันคงไม่มีทางจะรอดความตายไป! ในเมืองเมฆหนุนนี้นอกจากเจ้ากับข้าแล้วมันจะยังมีใครเก่งไปกว่านี้ได้?” จางเหลียนปฏิเสธสวนกลับไป
ว่านเจิ้นจึงตอบกลับไป “ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก แต่… มันก็ดูแปลกเสียจริง! เอ๋ ตรงนั้นมันเหมือนมีเรื่องราวใด ลองไปดูกันเถอะ”
ประสาทสัมผัสของเขานั้นเฉียบคมอย่างมาก แค่มองก็เห็นว่ามันมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่เส้นขอบฟ้า
คนทั้งสองนั้นมีวิชาการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว มาจนถึงที่หมายได้ในเวลาสั้นๆ
แต่วินาทีต่อมาคนทั้งสองก็ต้องยืนนิ่งกับภาพตรงหน้า
เพราะด้านหน้าของพวกเขานั้นเป็นทะเลแห่งสัตว์ร้าย
เวลานี้มันมีสัตว์ร้ายมากมายนับหมื่นกำลังขยับไหวไปมาภายในทะเลแห่งสัตว์ร้ายนี้
และพวกมันแต่ละตัวนั้นดูเหมือนจะไม่พอใจอะไรบางอย่างราวกับคลั่งไป
สัตว์ร้ายระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์เจ็ดดาวและแปดดาว! ที่สำคัญมันยังเป็นสัตว์ร้ายที่มีแนวคิดต่างๆ สูงล้ำพร้อมๆ กันนั้นยังมีพวกมันวิ่งพล่านไปนับหมื่นตัว
ภาพตรงหน้านี้มันน่าตกตะลึงจนเกินไป
ในทะเลแห่งสัตว์ร้ายทั้งหลายนั้นมันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏให้เห็นเป็นจังหวะๆ ไม่อาจจะเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร
และเจ้าสัตว์ร้ายทั้งหลายก็ดูจะไล่ตามล่าคนผู้นั้นอย่างไม่ลดละ
คนทั้งสองที่ได้เห็นนั้นต้องยืนหน้าซีดขาวเพราะการโจมตีของพวกมันแต่ละตัวนั้นช่างรุนแรงจนฟ้าดินแทบพังทลาย
“ว่านเจิ้น นี่มัน… ภาพตรงหน้านี้ เจ้าจะจัดการไหวหรือไม่?” จางเหลียนถามขึ้นมาพร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ว่านเจิ้นนั้นส่ายหัวออกมาด้วยสีหน้าเกรงกลัว “ได้ตายอย่างไร้ที่กลบฝังแน่!”
จางเหลียนจึงกล่าวขึ้น “เจ้านั้นเป็นยอดคนอันดับหนึ่งในอันดับทองคำเทพสงครามและข้าก็เป็นอันดับสอง! ทั้งเจ้าและข้ากลับไม่อาจรับมือมันได้ เช่นนั้นแล้ว… ใครกันเล่าที่อยู่กลางดงสัตว์ร้ายนี้?”
ว่านเจิ้นนั้นไม่ตอบใดๆ กลับมา
มันก็จริงที่ว่าคนทั้งสองนั้นเก่งกาจแต่หากต้องไปอยู่กลางดงสัตว์ร้ายเช่นนี้แล้วมันย่อมจะไม่มีทางใดต้านรับได้
เพราะสัตว์ร้ายมากมายนั้นมันมีหลากหลายเผ่าพันธุ์ แต่ละตัวนั้นมีแนวคิดที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
และบางแนวคิดของสัตว์ร้ายพวกนี้มันก็อาจจะทำงานขัดกับแนวคิดของผู้คนทำให้นักยุทธใดๆ ไม่อาจต่อสู้ได้อย่างสุดกำลังนัก
ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อถูกล้อมจากสัตว์ร้ายมากมายปานนี้แล้ว ปราณเทวะที่ต้องใช้ออกมามันย่อมจะเป็นปัญหา
ปราณเทวะของเหล่าจักรพรรดิเทพสวรรค์นั้นย่อมมากล้นหนาแน่นแต่กระบวนท่าแต่ละอย่างของพวกเขานั้นเองก็กลืนกินปราณเทวะไปอย่างมหาศาล เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายมากมายปานนี้แล้วอัตราการสูญเสียปราณเทวะมันย่อมจะมากล้นเกินคาดเดา
อย่างมากที่สุดที่คนทั้งสองถูกล้อมไว้จากสัตว์ร้ายนั้นมันก็แค่สามสิบตัว
หากต้องถูกสัตว์ร้ายหลายพันล้อมไว้เช่นนี้แล้วพวกเขาย่อมจะไม่อาจรับมือ
แต่จู่ๆ ดวงตาของว่านเจิ้นก็ต้องหรี่ลงมองพร้อมสูดหายใจเข้าลึก
“หืม? เจ้าเห็นอะไรหรือ?” จางเหลียนถามขึ้น
ว่านเจิ้นจึงตอบกลับไป “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าสัตว์ร้ายที่อยู่รอบกายคนผู้นั้นมันดูจะเคลื่อนไหวช้ากว่าสัตว์ร้ายในวงรอบนอก?”
จางเหลียนหันหน้ากลับไปมองและได้พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง!
แม้ว่าระยะของมันนั้นจะไม่กว้างล้ำแต่มันก็พอที่จะสังเกตุได้ชัดเจน
ก่อนหน้านี้เขานั้นตกตะลึงจนมองข้ามรายละเอียดในเรื่องนี้ไป
“จริงด้วย!”
จางเหลียนกล่าวออกมาได้ไม่ทันสิ้นคำสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนสีไป “ค-คงมิใช่เขาหรอกใช่หรือไม่? บ้าน่า!”
ว่านเจิ้นนั้นหรี่ตาลงอย่างหนักใจ “จะเป็นใครไปได้อีกเล่า? จริงๆ เจ้าเองก็รู้อยู่เต็มอกแล้วมิใช่หรือ?”
จางเหลียนตอบกลับมาอย่างตื่นตะลึง “เขา… เขาทำได้สำเร็จจริง? แต่นั่นมันแนวคิดแห่งกาลเวลาเชียวนะ!”
ในสายตาของว่านเจิ้นนั้นมันแฝงความเจ็บปวดหัวใจอยู่ลึกๆ
เพราะดูท่าแล้วเรื่องราวตรงหน้านี้มันคงทำให้เขาเจ็บปวดใจไปไม่น้อย
“แนวคิดแห่งกาลเวลาแล้วทำไมเล่า? ต่อให้มันจะยากแค่ไหนผู้คนก็ยังบรรลุมันมาได้! จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ยังทำได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้? น่าเสียดายแค่ว่าข้านั้นไม่มีเวลามากพอไม่เช่นนั้นแล้วข้าก็อยากจะบ่มเพาะให้บรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลาเช่นกัน” ว่านเจิ้นตอบ
มันมิใช่ว่าเขานั้นไม่อาจบ่มเพาะบรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลาได้ แต่เขานั้นไม่มีเวลาพอ
ในเวลาแค่พันปีนั้นหากคิดอยากบรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลาแล้วมันคงเป็นเรื่องที่เขาไม่มีทางทำได้
ว่านเจิ้นนั้นมั่นใจว่าตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้เองก็คงต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างมากล้ำกว่าที่จะมีแนวคิดแห่งกาลเวลาที่เหนือล้ำอย่างทุกวันนี้
ตราบเท่าที่เขามีเวลาบ้าง เขาก็ย่อมจะบรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลาได้เช่นกัน!
แต่เวลาที่ว่านั้นมันอาจจะเป็นหมื่นปี แสนปีหรือร้อยล้านปี!
แต่ถึงเวลานั้นเผ่าเทวาคงทำลายตัวเขาลงแล้ว!
แต่เย่หยวนกลับสามารถทำในสิ่งที่เขาไม่อาจทำ!
เขานั้นใช้เวลาสั้นๆ แค่ไม่ถึงพันปีดีนี้บ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลาที่ถูกเรียกว่าหนึ่งในสุดยอดแนวคิดจนบรรลุ
พรสวรรค์ระดับนี้มันจะน่ากลัวจนเกินไปแล้ว
ไม่สิ เพราะเย่หยวนนั้นมาช้าไปร้อยปี คงเรียกได้ว่าเขานั้นใช้เวลาแค่แปดร้อยกว่าปีเพื่อจะก้าวมาทำเรื่องเช่นนี้
“เรายังมีหน้าไปว่าเขาก่อนหน้า ดูสภาพตอนนี้เถอะ! ที่แท้แล้วมันเป็นพรสวรรค์ของพวกเราเองที่ไร้ค่า กลับยังมีหน้าไปตัดสินว่าพรสวรรค์คนอื่น!” จางเหลียนนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
การที่จะก้าวขึ้นมาเป็นถึงอันดับสองแห่งเมืองเมฆหนุนได้นั้นมันย่อมทำให้เขามั่นใจในพรสวรรค์ของตนไม่น้อย
เพราะจะอย่างไรเสียทุกผู้คนในมิติสงครามดึกดำบรรพ์ต่างล้วนเป็นเด็กชะตาไร้คาดเดาที่มีพรสวรรค์ล้ำเหลือจนน่ากลัว
และตัวเขากับว่านเจิ้นนั้นก็ได้ยืนอยู่เหนือหัวยอดคนทั้งหลายนั้น!
แค่นี้มันก็เป็นเหตุผลที่มากพอจะภาคภูมิแล้ว
เพราะฉะนั้นความดื้อรั้นของเย่หยวนที่คิดอยากบ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลามันจึงดูน่าหัวเราะสำหรับเขา
แนวคิดที่พวกเขายังไม่อาจทำได้ มีหรือที่เย่หยวนจะไปทำอะไรได้?
ต่อให้จะบรรลุได้ มันก็คงมิใช่แค่ด้วยเวลาพันปีแน่
ว่านเจิ้นนั้นเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา “มันมิใช่แค่เจ้าหรอก ทุกผู้คนในเมืองนั้นต่างกล่าวว่าหัวเราะในความดื้อรั้นของเขา บอกกล่าวว่าเขานั้นไม่รู้จักประมาณตน! เดิมทีข้าเองก็คิดว่าคำพูดทั้งหลายนั้นมันสมเหตุสมผล แต่เวลานี้ความเป็นจริงกลับตบหน้าเราเข้าอย่างแรง บรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลา ตัวเขานี้คงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากมิติสงครามดึกดำบรรพ์ไปมากกว่าใครๆ แล้ว!”
หลายร้อยปีมานี้พวกเขาย่อมคิดว่าการกระทำของเย่หยวนมันไร้ค่า
มันมีแต่คนที่รู้จักตัดสินใจเท่านั้นที่จะถูกเรียกว่าฉลาด และมีแต่คนฉลาดเท่านั้นที่จะทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้
เย่หยวนนั้นย่อมจะไม่รู้จักการเลือกตัดสินใจแล้ว
แต่เวลานี้เย่หยวนกลับได้ใช้ความจริงตอกหน้าพวกเขา บอกกลับมาว่าคนทั้งหลายนั้นคิดผิด!
คนทั้งสองยืนมองดูไปอย่างนั้น คิดอยากดูว่าเย่หยวนนั้นบ่มเพาะบรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลาขึ้นไปจนถึงระดับใด
และยิ่งได้ดู พวกเขาทั้งสองก็ยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่!
………………..