Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2352 ทะยาน!
“นี่… นี่คือวิธีที่เขาหาแต้มเทพสงครามหรือ?! นี่มันแค่เก็บเอาง่ายๆ เลยชัดๆ!”
จางเหลียนนั้นยืนนิ่งด้วยใบหน้าหนักหน่วงหัวใจ รู้สึกว่าวิธีการของเย่หยวนนี้มันจะไม่ให้ค่าสิ่งใดจนเกินไป
ในทะเลสัตว์ร้ายนั้นเย่หยวนใช้พลังค่ายกลดาบที่เหนือล้ำของตนสังหารไปมาทั่วทิศจนแทบไม่เหลือชีวิตใดๆ อยู่
ภายใต้พลังของแนวคิดแห่งกาลเวลาและแนวคิดแห่งห้วงมิติ การโจมตีใดๆ ของเหล่าสัตว์ร้ายมันย่อมไม่อาจเข้าถึงตัวเย่หยวนได้เลย
แต่ค่ายกลดาบของเย่หยวนนั้นกลับสามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้ราวกับเป็นแค่ผักปลา
ที่สำคัญแม้มันจะดูยิ่งใหญ่อลังการแค่ไหนแต่เย่หยวนกลับยังเดินนิ่งได้ราวกับเป็นขุนเขา
ว่านเจิ้นหรี่ตาลงกล่าว “แม้ว่าเขานั้นจะไม่ได้มีอาณาจักรบ่มเพาะที่สูงล้ำแต่กำลังของเขานั้นมันล้ำเหลือ! การจะสามารถควบคุมสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์นับพันๆ ได้เช่นนี้มันย่อมหมายความว่าเขานั้นมีจิตที่สุดแสนแข็งแกร่ง! ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการใช้แนวคิดต่างๆ ผสานกันของเขามันทำได้อย่างลงตัว เจ้าหมอนี่มันไม่มีช่องว่างใดๆ เลยจริง!”
จางเหลียนนั้นหันมามองหน้าว่านเจิ้นอย่างตกตะลึง ไม่นึกไม่ฝันว่าว่านเจิ้นกลับจะประเมินคนผู้หนึ่งได้สูงถึงปานนี้
แต่ยิ่งได้ยินคำวิเคราะห์ของว่านเจิ้นเขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเก่งกาจของเด็กหนุ่มตรงหน้า
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่การควบคุมดาบนับพันนี้มันก็ย่อมจะต้องใช้พลังจิตศักดิ์สิทธิ์ที่หนักหน่วงมหาศาล
จางเหลียนนั้นหันไปมองว่านเจิ้นด้วยดวงตาที่ดูเหมือนจะร้องไห้ “เป็นแบบนี้ตำแหน่งของพวกเรา… มันคงไม่ปลอดภัยแล้ว!”
เมื่อว่านเจิ้นได้ยินเขาก็ผงะไปทันที
“ไปเถอะ!”
ว่านเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่นก่อนจะพุ่งตัวหายลับไป
มีใครบ้างเล่าในหมู่ยอดอัจฉริยะที่จะไม่ถือว่าตนเองเก่งดีกว่าคนอื่น?
ต่อให้เย่หยวนจะมากล้นพรสวรรค์อย่างไร พวกเขานี้ก็ยังไม่อยากจะพ่ายแพ้ให้แก่เย่หยวนอยู่ดี
ก่อนหน้านี้พวกว่านเจิ้นทั้งสองนั้นยังผ่อนคลายได้มากเพราะว่าพวกเขานั้นอยู่สูงล้ำจนไม่มีใครมาเขย่าตำแหน่งได้
แต่เวลานี้เมื่อได้เห็นการล่าของเย่หยวน แรงกดดันที่มีมันก็ย่อมจะเพิ่มพูน
หลังจากเย่หยวนจัดการสัตว์ร้ายฝูงนี้ลงได้แล้วเขาก็คงได้แต้มเทพสงครามไปนับพันอย่างแน่นอน
…
อีกหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วและก็มาถึงเวลาที่จะประกาศอับดับทองคำเทพสงครามอีกครั้งทำให้คนทั้งเมืองเมฆหนุนต่างตื่นเต้นไปตามๆ กัน
เช้าวันนี้มันมีคนมากมายมารวมตัวกันที่ลานกลางเมืองเมฆหนุน เหล่าพวกเจียงเจ๋อทั้งหลายก็มายังที่แห่งนี้ด้วย
“เจียงเจ๋อ เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กน้อยเย่หยวนนั้นจะขึ้นถึงระดับเหนือสองพันได้หรือไม่?” หลินจ้านถามขึ้นมา
“หึ เจ้าคิดว่าแต้มเทพสงครามมันเป็นอะไรกัน? ยิ่งขึ้นไปสูงมันก็จะยิ่งได้แต้มเทพสงครามน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้มันก็ขึ้นมาอยู่อันดับต่ำสองพันไปแล้ว หากคิดอยากจะเอาแต้มมากมายขนาดนั้นมันต้องไปล่าสัตว์ร้ายมากล้นที่เก่งกาจกว่าเก่านัก ด้วยกำลังของอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์สี่ดาวนั้น หึๆ…” เจียงเจ๋อตอบกลับมา
“ก็จริง มันช่างโง่เง่านัก! เดิมทีมันก็มีพรสวรรค์ดีไม่น้อยแต่ทำไมต้องเลือกไปบ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นด้วย ตอนนี้มันเหลือเวลาแค่ไม่กี่ปีแต่มันกลับกลับออกมาแข่งขันผู้คน คิดอยากคว้าตำแหน่งกลับมา เรื่องราวเช่นนั้นมันจะมีเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว หากมันทำได้จริงแล้วคนทั้งมิติสงครามดึกดำบรรพ์คงได้กลายเป็นตัวตลกกันสิ้นใช่หรือไม่?”
แน่นอนว่ามันย่อมมีคนคิดเห็นด้วยกับเจียงเจ๋ออยู่ไม่น้อย
เพราะอย่างไรเสียการทำตัวของเย่หยวนนี้มันก็ไม่สนหัวผู้คนจนทำให้ตกเป็นเป้าหมายการเย้ยหยันได้ง่ายๆ
วินาทีต่อมามันก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นบนฟ้าเผยให้เห็นม้วนประกาศสีทองอร่าม
ม้วนประกาศนั้นมันค่อยๆ กางออกมาจากด้านบนทำให้คนทั้งหลายต้องเบิกตาจ้องมองอย่างตื่นเต้น
ไม่นานส่วนหัวของประกาศมันก็เผยออกมาให้เห็นต่อหน้าทุกผู้คน
อันดับหนึ่ง ว่านเจิ้น แต้มเทพสงครามสามล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นเจ็ดพันสามร้อยยี่สิบเอ็ด!
ได้เห็นนามนี้คนทั้งหลายต่างก็พยักหน้ารับตามที่คาดหมายกัน
“เก่งกาจเสียจริง! เวลาหนึ่งปีมานี้ว่านเจิ้นกลับหาแต้มเทพสงครามเพิ่มได้มากกว่าหมื่นในแต้ม!”
“มาถึงระดับของเขานี้แล้วเขายังสามารถหาแต้มเพิ่มได้อีกนับหมื่นในเวลาหนึ่งปี กำลังของเขานี้มันช่างเหนือล้ำเสียจริง!”
“ตำแหน่งของเขานั้นอยู่สูงจนไม่มีใครจะเทียบเคียงได้แล้ว แม้แต่จางเหลียนเองก็คงไม่อาจตามติดทัน”
…
เพราะแม้พวกเขาจะได้เห็นนามนี้มาหลายต่อหลายครั้งแต่เมื่อได้เห็นแต้มของว่านเจิ้นอีกครั้งคนทั้งหลายก็ยังต้องตกตะลึง
เวลาพันปีมานี้ว่านเจิ้นได้กลายเป็นจุดสุดยอด กลายเป็นปรากฏการณ์
ตั้งแต่ครั้งแรกที่อับดับทองคำเทพสงครามถูกประกาศออกมา ว่านเจิ้นก็ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งอยู่เสมอมา
แม้ว่าในครั้งแรกที่อับดับทองคำเทพสงครามถูกประกาศออกมาว่านเจิ้นจะเสียเวลามากมายหลายสิบปีไปกับการบ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลาก็ตาม
จากนั้นเมื่ออับดับทองคำเทพสงครามครั้งที่สองถูกประกาศ แต้มของว่านเจิ้นมันก็ยิ่งทิ้งห่างผู้คนไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ไกลจากตัวจางเหลียนลิบลับ
จากนั้นช่องว่างมันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ
เมื่อม้วนประกาศนั้นค่อยๆ เลื่อนลงมามันก็เผยให้เห็นอันดับสองอย่างจางเหลียน
แต้มเทพสงครามของเขาเองก็อยู่ที่สองล้านห้าแสนกว่า
ลงมาจากนั้นมันก็กลายเป็นหนึ่งล้านเจ็ดแสนในอันดับสาม
ช่องว่างนั้นมันช่างยิ่งใหญ่
“หลี่จินกลับตกจากสิบอันดับไปแล้ว! การแข่งขันของสิบอันดับแรกนี้มันยิ่งดุเดือดขึ้นทุกวัน”
“จูเทียนนั้นขึ้นมาเบียดเอาที่สิบไปได้ แต่คนที่ตามหลังมาเองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน!”
“อันดับแปดถึงสิบห้านั้นมีแต้มเทพไม่ต่างกันเลย หากมีใครบรรลุแนวคิดขึ้นมาได้ช่องว่างใดๆ นี้มันคงถูกทำลายลงแน่!”
…
ยิ่งม้วนประกาศกางออกคำพูดถกเถียงของผู้คนก็ยิ่งดุเดือด
นามทองคำของยอดคนสิบอันดับแรกนั้นมันจะส่องสว่างใหญ่โตกว่าคนที่เหลือบนอับดับทองคำเทพสงครามอย่างมาก
เพราะว่ายิ่งอันดับต่ำ มันก็ยิ่งจะไม่มีค่าให้สนใจ
แม้ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงของลำดับอยู่บ้างแต่หากไม่เข้าใจสิบอันดับแรกคนทั้งหลายย่อมจะไม่มีใครคิดสนใจ
แต่ว่าช่วงปีที่ผ่านมานี้มันมีนามหนึ่งที่ทุกคนสนใจ นั่นก็คือเย่หยวน
ตอนที่อับดับทองคำเทพสงครามถูกประกาศในครั้งก่อนเย่หยวนได้ขึ้นมาติดอับดับทองคำเทพสงครามเป็นครั้งแรกและทำให้เกิดความแตกตื่นในฝูงชน
ครั้งนี้คนทั้งหลายจึงคิดอยากจะดูให้เห็นว่าเย่หยวนนั้นจะร่วงจากอับดับทองคำเทพสงครามหรือว่าเลื่อนขึ้นไปสูงกว่าเก่า
หลังจากสิบอันดับแรกผ่านไป ม้วนประกาศมันก็ตกลงมาเผยให้เห็นชื่อของทุกผู้คนในทันที
ทุกผู้คนนั้นต่างมองหากันให้ทั่วประกาศแต่แม้จะหาอยู่นานสองนานก็ยังไม่พบเจอนามเย่หยวน
“มีใครเห็นเย่หยวนหรือไม่? ข้าดูตั้งแต่สามพันจนถึงพันห้าแล้วแต่ก็ยังไม่เจอมันเลย!”
“ดูท่าคงตกลงไปต่ำกว่าสามพันแล้วใช่หรือไม่? หรือว่าอาจจะไปพลาดท่าตายที่ไหนที่เราไม่ทันได้เห็น”
“ข้าเจอแล้ว! นี่มัน… นี่มัน…”
“เกิดอะไรขึ้น? มันอยู่อันดับใด?”
“ห้า… ห้าร้อยห้าสิบสาม! เป็นไปได้อย่างไรกัน?
“หะ?! อันดับห้าร้อยกว่า?”
แน่นอนว่าคนทั้งหลายจะย่อมแตกตื่นไปตามๆ กันคนทั้งหลายต่างหันไปมองหาอันดับห้าร้อยห้าสิบสามและพบว่านามของเย่หยวนมันอยู่ที่อันดับห้าร้อยห้าสิบสามจริงๆ!
ก้าวขึ้นมากว่าสองพันอันดับในเวลาปีเดียว?
นี่มันจะแปลกเกินไปหรือไม่?
“อันดับห้าร้อยห้าสิบสาม แต้มเทพสงครามหกแสนสามหมื่นสี่พันสามร้อยหกสิบห้าแต้ม! ซี๊ด… เขาหาแต้มเทพสงครามได้กว่าห้าแสนแต้มในเวลาแค่ปีเดียวนี้?”
“อับดับทองคำเทพสงครามคงไม่ได้ประกาศผิดหรอกใช่หรือไม่? ตอนครั้งแรกที่อับดับทองคำเทพสงครามถูกประกาศออกมาตัวว่านเจิ้นยังต้องใช้เวลากว่าสามสิบปีกว่าที่จะหาได้ถึงห้าแสนแต้มเช่นนี้ แล้วเย่หยวนนั้นกลับใช้เวลาแค่ปีเดียวในการรวบรวมมัน?”
เจียงเจ๋อนั้นได้แต่ยืนค้าง
แต้มเทพสงครามกว่าห้าแสนแต้มในเวลาแค่ปีเดียว มันเหมือนเป็นการใช้ค้อนใหญ่ตอกลงกลางหัวของเขาอย่างแรง
เขานั้นเตรียมปากไว้ด่าเย่หยวนแล้ว แต่จำนวนห้าแสนแต้มนี้มันกลับทำให้เขาไม่กล้าอ้าปากพูดกล่าวใดๆ
ด้วยความเร็วเท่านี้ แม้แต่ตำแหน่งของว่านเจิ้นก็คงไม่ปลอดภัยแล้วมิใช่หรือ?
ในเวลาแปดปีที่เหลือนี้หากเขาหาได้ห้าแสนแต้มต่อปีจริงแล้วมันก็จะเท่ากับสี่ล้านแต้มเทพสงคราม! นี่มันคือความเร็วที่เหนือล้ำสวรรค์!
ไม่สิ! ยิ่งขึ้นไปอันดับสูงมันก็จะยิ่งได้แต้มเทพสงครามจากการล่าน้อยลง
เวลานี้แม้แต่ตัวว่านเจิ้นยังช้าลงไปอย่างมาก มีหรือที่เย่หยวนจะคงความเร็วนี้ไปได้ตลอด?
……………..