Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2357 ว่านเจิ้นผู้แข็งแกร่ง!
จู่ๆ มันก็ปรากฏแสงดาบพุ่งทะยานขึ้นมารอบกายเย่หยวน
ฉัวะ!
เย่หยวนนั้นไม่ต้องหันไปมองร่างของคนผู้นั้นแม้แต่น้อย แต่ร่างของเขานั้นมันก็ถูกสับจนเละไปแล้ว
อีกด้านตัวว่านเจิ้นก็ต้องหรี่ตาลงมอง
เย่หยวนสังหารยอดฝีมือที่ติดสิบอันดับแรกได้อย่างง่ายดาย!
แข็งแกร่งเสียจริงๆ!
ในเมืองเมฆหนุนนั้นผู้คนทั้งหลายต่างต้องอ้าปากค้างมองดูเรื่องราวอย่างตกตะลึง
“แข็งแกร่ง! นั่นมันคือยอดฝีมือที่ติดสิบอันดับได้ แต่เขานั้นกลับฆ่าสังหารอีกฝ่ายลงโดยไม่ต้องมองด้วยซ้ำ!”
“นั่นหรือคือพลังของแนวคิดแห่งกาลเวลา? สมชื่อหนึ่งในสุดยอดแนวคิดจริง แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“เวลานี้เย่หยวนเก่งกาจปานใดแล้วกันแน่? ดูจากท่าทางของเขานั้นมันเหมือนว่าเขากำลังเตรียมตัวสู้ว่านเจิ้นเลย!”
…
ทุกผู้คนนั้นต่างมองดูเรื่องราวอย่างร้อนรนจิตใจ พวกเขานั้นอยากจะรู้เหลือเกินว่าระหว่างอันดับหนึ่งคนก่อนและอันดับหนึ่งคนปัจจุบันนี้ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
แม้ว่าแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นมันจะแข็งแกร่งปานใดแต่การพัฒนาที่ว่านเจิ้นทำมาในช่วงหลายปีนี้มันก็ทำให้คนทั้งหลายไม่อาจตัดสินได้ว่าเขานั้นเก่งกาจขึ้นปานใดแล้ว
จะรู้ได้นั้นมันมีแต่ต้องสู้กันให้เสร็จ!
เพราะอย่างไรเสียว่านเจิ้นนั้นก็มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าเย่หยวนไปถึงสามดาว!
“แนวคิดแห่งกาลเวลามันช่างเหนือล้ำจริงๆ!”
ว่านเจิ้นหัวเราะลั่นขึ้นมาพร้อมปล่อยคลื่นพลังของจักรพรรดิเทพสวรรค์แปดดาวออกมา!
ในเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้เย่หยวนได้ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งมาตลอดจนทำให้เวลานี้เขามีพลังบ่มเพาะเทียบเคียงกับอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ห้าดาวได้แล้ว
ในหมู่เด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายนั้น โดยเฉพาะเหล่าคนที่ติดพันอันดับแรก แค่ครึ่งดาวมันก็มากพอจะทำให้เกิดความแตกต่างล้ำได้
แต่เย่หยวนนั้นกำลังจะท้าทายว่านเจิ้นที่เป็นถึงจักรพรรดิเทพสวรรค์แปดดาวด้วยพลังบ่มเพาะของจักรพรรดิเทพสวรรค์ห้าดาว
แต่มันกลับไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล
เพราะเย่หยวนนั้นมีไม้ตายที่มากล้นเกินนับ!
จากนั้นมันก็เกิดคลื่นพลังของแนวคิดทั้งห้าปรากฏขึ้นมาหมุนวนรอบตัวว่านเจิ้นอย่างสมดุล
เย่หยวนที่ได้เห็นต้องเบิกตากว้างขึ้นมา “ผสานแนวคิดห้าธาตุ! พี่ว่านช่างเก็บงำฝีมือไว้จริงๆ!”
ว่านเจิ้นที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “มันมิใช่ว่าข้าจงใจปิดบัง เพียงแค่ว่าข้าไม่มีโอกาสจะได้ใช้มันออกมาก็เท่านั้น!”
แนวคิดห้าธาตุนั้นมันไม่ได้เรียนรู้บรรลุยากใดๆ
เพราะมันคือหนึ่งในแนวคิดพื้นฐาน นักยุทธส่วนใหญ่นั้นต่างล้วนสามารถจะบรรลุมันได้หนึ่งหรือสองแนวคิดในแนวคิดทั้งห้านั้น
คนที่เก่งๆ หน่อยก็อาจจะบรรลุได้ถึงสามแนวคิด
และแท้จริงแล้วตัวหลู่ซือยีที่เย่หยวนเคยพบเจอนั้นเองก็มากพรสวรรค์พอที่จะบรรลุแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้าได้สิ้น
แต่บรรลุได้นั้นมันมิใช่ปัญหา การผสานต่างหากที่ยากเย็น!
เพราะคิดอยากผสานห้าแนวคิดเข้าเป็นหนึ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ยากเสียยิ่งกว่าการขึ้นสวรรค์
ความยากของมันนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าความยากของการที่เย่หยวนบรรลุสองสุดยอดแนวคิด!
การผสานธาตุทั้งห้าเป็นหนึ่งนั้นมันย่อมจะมีพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าสุดยอดแนวคิดเลย!
ธาตุทั้งห้านั้นมันต่างล้วนส่งเสริมกันและขัดขวางกันในเวลาเดียวกัน
หากสามารถผสานมันให้เป็นหนึ่งได้จริงแล้วมันก็จะสร้างวงไร้สิ้นสุดขึ้นมา กลายเป็นโลกย่อมๆ หนึ่งใบที่มีพลังเหนือล้ำจินตนาการ
ที่สำคัญไปกว่านั้นเย่หยวนยังสัมผัสได้ว่าแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้าของว่านเจิ้นนั้นมันสมดุลอย่างมาก
ในธาตุทั้งห้านั้นมันมีพลังของกันและกันอยู่เสมอๆ ไม่มีพลังใดแปลกแยก
คงเรียกการผสานห้าธาตุนี้ได้ว่าสมบูรณ์แบบ!
แต่จู่ๆ เย่หยวนก็ต้องขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา “ห้าธาตุของพี่ว่านมันน่าจะทำได้มากกว่านี้มิใช่หรือ?”
ว่านเจิ้นที่ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับมา “ใช่! แนวคิดแห่งน้ำ แนวคิดแห่งไฟ แนวคิดแห่งไม้ของข้านั้นมันก้าวขึ้นไปจนถึงระดับพลังต้นกำเนิดแล้ว! เพียงแค่ว่าหากสมดุลของห้าธาตุมันพังลงพลังของมันกลับจะด้อยลงแทน เพราะฉะนั้นพลังที่เหนือล้ำของธาตุทั้งสามนั้นมันจึงไร้ค่าสิ้นเชิงต่อข้า”
เย่หยวนที่ได้ยินต้องสูดหายใจเข้าลึก
เดิมทีเขานั้นคิดว่าว่านเจิ้นคงบรรลุพลังต้นกำเนิดสักหนึ่งหรือสองอย่าง ไม่นึกฝันว่าเขานั้นกลับจะบรรลุพลังต้นกำเนิดไปถึงสามอย่างด้วยกัน!
หากวันหนึ่งเขานั้นสามารถดึงพลังแห่งธาตุทั้งห้าให้ขึ้นไปถึงระดับพลังต้นกำเนิดได้สิ้น เขาคงจะได้สมดุลแห่งห้าธาตุที่เหนือล้ำจนน่ากลัว!
เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึก “มันเป็นเย่ผู้นี้เองที่ดูถูกผู้กล้าบนโลกหล้า! พี่ว่านนั้นมีพรสวรรค์เหนือล้ำคนตั้งแต่บรรพกาลมา! ที่หายากไปกว่านั้นก็คือพี่ว่านนั้นกลับมีมุมมองเปิดกว้างเห็นภาพรวมของโลกได้ มันช่างเป็นยอดคนที่หาได้ยากยิ่ง!”
ว่านเจิ้นที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “น้องเย่เลิกกล่าวชมข้าเถอะ! หากวัดกันแค่พรสวรรค์แล้วมันจะยังมีใครเหนือล้ำกว่าเจ้าได้? อ่า แนวคิดแห่งกาลเวลา! ว่านผู้นี้ลองศึกษาบ่มเพาะมันแสนนานแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไป! เวลานี้น้องเย่กลับสามารถควบคุมห้วงมิติเวลาได้สิ้นแล้ว พลังของเจ้าคงเหนือล้ำสวรรค์ฟ้าดิน เลิกพูดเถอะ เรามาลงมือกันเลย!”
เย่หยวนที่ได้ยินเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ฮ่าๆๆ เช่นนั้นก็มาสู้กัน!”
ในเวลานี้ทั้งกรงยักษ์นั้นมันกลายเป็นทะเลเลือดมีแต่ความวุ่นวายทุกหย่อมหญ้า
แต่คนทั้งสองนี้กลับมีแต่อีกฝ่ายอยู่ในสายตา
เจดีย์สมบัตินั้นปรากฏขึ้นมาบนมือของว่านเจิ้น
จางนั้นเขาก็ใช้พลังของเจดีย์สมบัติทะลวงฟ้าดินพุ่งทะยานใส่ร่างของเย่หยวน
ความเร็วของมันนี้เหนือล้ำจนไม่อาจมองตามทัน
เย่หยวนหรี่ตาลงพร้อมเรียกใช้งานค่ายกลดาบออกมารับเจ้าเจดีย์สมบัติไว้
ตูม!
ตูม!
ตูม!
คนทั้งสองนั้นปะทะกันด้วยเสียงสนั่นฟ้า
คลื่นพลังรุนแรงนั้นแตกกระจายออกมาจากการปะทอของคนทั้งสองจนไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้
ภายในกรงนั้นเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายต่างต้องสั่นกลัวค่อยๆ เดินทิ้งระยะออกมาจากการต่อสู้ของคนทั้งสอง
เด็กชะตาไร้คาดเดาคนหนึ่งถอนหายใจยาวออกมา “ให้ตายสิ เจ้าสองคนนี้มันเก่งกาจเสียจริง! สิบอันดับเหมือนๆ กันแต่ความห่างชั้นมันกลับไม่อาจเทียบเคียง!”
“เจ้าคนที่ใช้ค่ายกลดาบนั้นทีแรกข้าก็คิดว่ามันคงเป็นตัวตนอ่อนแอ ไม่นึกเลยว่าจะเก่งกาจได้ถึงปานนี้ โชคดีที่ข้าไม่ได้ลงมือ!”
“แนวคิดแห่งกาลเวลาผสานกับพลังของสองพลังต้นกำเนิด เจ้าเด็กคนนี้มันสัตว์ประหลาดชัดๆ! แล้วก็อีกฝ่ายนั้นเองก็สามารถสร้างสมดุลสุดยอดให้ธาตุทั้งห้าได้! เจ้าสองคนนี้มันมิใช่คนแล้ว!”
…
ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนๆ แต่ช่องว่างระหว่างยอดคนสิบอันดับนั้นมันก็แตกต่างไปอย่างมากไม่ต่างกัน
ภายใต้สถานการณ์ปกตินั้นพวกที่ขึ้นถึงสามหรือสองอันดับแรกล้วนแล้วแต่จะแยกห่างจากคนอันดับรองๆ ลงไปมาก
ส่วนเรื่องที่ว่าอันดับหนึ่งของแต่ละเมืองนั้นแข็งแกร่งปานใด มันมีแต่ต้องประลองเท่านั้นถึงจะรู้
การต่อสู้ของว่านเจิ้นและเย่หยวนนั้นทำให้พวกเขาได้เข้าใจ
ภายในศึกอันดุเดือดนี้มันมีเงาร่างชุดดำหนึ่งยืนนิ่งอยู่กลางอากาศพร้อมด้วยพลังสายฟ้าบ้าคลั่งบนกาย
ไม่มีใครกล้าจะเข้าไปใกล้คนผู้นี้! เพราะว่าพลังสายฟ้าในร่างของเขานั้นมันน่ากลัวจนเกินไป!
แม้จะโง่เง่าแค่ไหนก็เข้าใจได้ว่านี่คือทายาทของเต๋าบรรพกาลสายฟ้า ผางเจิ้นผู้นั้น!
เวลานี้สายตาของเขามันได้หันไปมองดูการต่อสู้ของว่านเจิ้นและเย่หยวน
“หึ ไม่นึกเลยว่านอกจากเราแล้วจะยังมีคนที่ปะทะกับว่านเจิ้นได้ขนาดนั้นปรากฏขึ้นมา เจ้าเด็กคนนี้มันเก่งกาจล้ำ! ดูท่าสมบัติสืบทอดเลิศล้ำคงไม่อาจได้มาง่ายๆ แล้ว!”
ชายหนุ่มชุดดำอีกผู้หนึ่งเดินก้าวเข้ามาพร้อมพัดที่โบกไหวในมือ ก้าวขึ้นมายืนเคียงผางเจิ้น
คนอื่นๆ นั้นกลัวผางเจิ้น แต่เขานั้นไม่คิดสนใจ
ชายหนุ่มนั้นยกพัดขึ้นมาโบกปัดอย่างสบายอารมณ์ เขานี้คือยูถันจื่อผู้ที่มีนามลื่อลั่นไม่แพ้ผางเจิ้นหรือว่านเจิ้น
ผางเจิ้นหัวเราะขึ้นมา “สมบัติสืบทอดเลิศล้ำนั้นเป็นของข้า ไม่มีใครจะเอาไปได้! ว่านเจิ้นก็ไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ได้!”
ยูถันจื่อหัวเราะขึ้นมา “ผางเจิ้น เจ้าทำตัวเช่นนี้ตลอด! ใครที่จะได้สมบัติสืบทอดเลิศล้ำนั้นไปหากยังไม่ถึงเวลาก็คงไม่มีใครรู้หรอกใช่หรือไม่?”
ผางเจิ้นจึงหันกลับมามองอย่างเย็นเยือก “ดูท่าเจ้าจะอยากลองมือกับข้าแล้ว?”
ยูถันจื่อนั้นยกพัดขึ้นมาปิดรอยยิ้มไว้ “สู้นั้นย่อมจะสู้ แต่ก่อนนั้นเราควรไปกวาดขยะทิ้งกันก่อนมิใช่หรือ? แล้วก็สองคนนั้น ปล่อยให้มันสู้กันให้สาใจก่อนจะไม่ดีหรือ?”
ผางเจิ้นนั้นดึงคลื่นพลังกลับไป “อืม ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก!”
ฟุบ!
พูดจบเขาก็พุ่งทะยานร่างไปด้วยความเร็วที่ทำให้สายฟ้ายังต้องอาย
……………………….