Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2359 เชิญเข้ามาได้
ในวินาทีต่อมาเย่หยวนก็หายเข้าไปในกลีบดอกไม้ห้าสีนั้น
พร้อมๆ กันนั้นค่ายกลดาบของเขาเองก็จมหายไปด้วย
ทุกผู้คนนั้นได้แต่ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน
ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ?
นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ เลยมิใช่หรือ?
กำเนิดหมื่นเต๋านั้นมันมีแต่ต้องทำลายลงด้วยกำลังเท่านั้น
หากวิชานี้ของว่านเจิ้นมีจุดอ่อน เย่หยวนก็ย่อมจะสามารถใช้มันทำลายวิชานี้ลงได้
แต่เพียงแค่ว่ากระบวนท่าวิชาที่ว่านเจิ้นใช้ออกมานี้มันสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่มีจุดอ่อนใดๆ ให้เปิดเผย!
เช่นนั้นแล้วคลื่นพลังจากภายในของกระบวนท่าวิชานี้มันจะรุนแรงปานใด?
แค่ลองคิดดูสักนิดมันก็น่าจะเข้าใจได้
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
ภายใต้ภาพกลีบดอกไม้ห้าสีปกคลุมโลกหล้านั้นมันกลับเกิดเสียงระเบิดขึ้นมา
คนทั้งหลายนั้นไม่อาจจะเห็นเงาร่างของเย่หยวนใดๆ ได้เลย เห็นเพียงแค่ดาบที่พุ่งผ่านและมุดกลับหายเข้าไปภายใน
แต่เมื่อผางเจิ้นเห็นภาพนี้ตัวเขานั้นกลับต้องเบิกตากว้าง!
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่เก่งกาจนัก ถึงขั้นสามารถมองเห็นจุดอ่อนได้ในพริบตา! ว่านเจิ้นนั้นใช้พลังสร้างกำเนิดหมื่นเต๋า หากคิดอยากทำลายมันลงแล้วมันก็ต้องทำลายจากภายในเท่านั้น! แม้ว่าทำเช่นนั้นไปมันจะอันตรายอย่างมากก็ตาม แต่หากไม่ทำมันก็คงไม่มีทางชนะได้!” ผางเจิ้นร้องกล่าว
ห้าธาตุกำเนิดเต๋า มันจะทำการกำเนิดพลังขึ้นมาอย่างไร้สิ้นสุด!
นี่มันคือพลังของเต๋า มันคือพลังของเต๋าอย่างแท้จริงที่แม้จะมีขนาดน้อยกว่าเต๋าสวรรค์ไปมาก
ว่านเจิ้นนั้นไม่ได้เก่งกาจที่พลังการโจมตีเป็นทุนเดิม สิ่งที่เขาเหนือล้ำกว่าใครคิดเกราะที่ไร้จุดอ่อนของเขา
ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจล้ำโจมตีรุนแรงปานใด มันก็ไม่มีทางจะทำลายเต๋าของเขาลงได้
ในหมู่เด็กชะตาไร้คาดเดาอันดับต้นๆ นั้นหากให้พูดว่าใครเก่งกาจเรื่องการโจมตีที่สุดมันก็คงเป็นผางเจิ้น
แต่หากจะถามว่าใครนั้นถึกทนจัดการลงยากที่สุด มันก็คงเป็นว่านเจิ้นแล้ว!
เพราะแม้แต่ตัวผางเจิ้นเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปท้าทายว่านเจิ้นมั่วๆ
หากคิดอยากเอาชนะว่านเจิ้นลงนั้นมันมีแต่ต้องใช้พลังที่เหนือล้ำระดับของเจ้าฟ้าดินเท่านั้น ใช้พลังของอาณาจักรบ่มเพาะกดหัวเขาลง
ไม่เช่นนั้นแล้วคงต้องปะทะกับเขาจากภายใน!
ดูท่าแล้วเย่หยวนคงจะมองเห็นถึงจุดนั้นตั้งแต่วินาทีแรก
แต่เห็นถึงมันก็เรื่องหนึ่ง จะกล้าเข้าไปไหมนั้นมันคนละเรื่องกันสิ้นเชิง
เพราะแก่นของวิชานี้มันมิใช่แก้วที่เปราะบาง แตะเบาก็พังทลาย แต่มันเป็นแก่นพลังสุดแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้คนต้องสิ้นหวัง!
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาที่เก่งกาจหลายต่อหลายคนนั้นต่างหันมาให้ความสนใจการต่อสู้นี้
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้านี้พวกเขาทั้งหลายต่างตื่นตะลึงไปสุดใจ
“เย่หยวนคงได้ตายแล้ว! พัฒนาเต๋ามากล้นเพื่อให้กำเนิดโลกของตนเอง การเข้าไปในโลกนั้นมันก็เหมือนการรนหาที่ตายมิใช่หรือ?”
“หึๆ ยังไงก็เป็นว่านเจิ้นที่เก่งกาจกว่าไปขั้นหนึ่ง! ดูท่าที่เขาล่าแต้มเทพสงครามมาได้มากมายมันก็คงเพราะความได้เปรียบเรื่องการล่าของค่ายกลดาบนั้นเท่านั้น”
“มันดูแปลกๆ นะ! ทำไมข้าถึงเห็นเหมือนสีหน้าของว่านเจิ้นมันดูไม่ค่อยดีเลยเล่า?”
…
เหล่าผู้คนทั้งหลายนั้นย่อมจะเป็นแค่คนนอกที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวและคิดว่าการกระทำของเย่หยวนนี้มันโง่เง่าสิ้นดี
กำลังนั้นตัดสินทุกสิ่ง!
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นจะเป็นเด็กชะตาไร้คาดเดาเช่นกันแต่ช่องว่างของยอดฝีมือระดับสูงๆ ที่ได้เข้าไปในกรงมันก็แตกต่างจากคนที่อยู่เบื้องนอกมาก!
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
เสียงระเบิดนั้นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเก่าทุกครั้งไป
คลื่นเสียงสะท้านนี้มันเหมือนค้อนใหญ่ที่ตอกลงกลางใจของผู้คนอย่างไม่รู้ตัว
จากนั้นมันก็เกิดคลื่นพลังสั่นสะท้านแผ่นดินไหวขึ้น!
เวลานี้กลีบดอกห้าสีนับหมื่นนั้นมันแตกสลายลงไปพร้อมๆ กันในพริบตา
คลื่นพลังรุนแรงนั้นมันทะลุออกไปถึงด้านนอกกรงไปถึงด้านล่างพื้นดินของมิติสงครามดึกดำบรรพ์!
จากนั้นขุนเขาแผ่นดินมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
นี่มันคือพลังของจักรพรรดิเทพสวรรค์ พลังที่ทำลายภูมิประเทศได้ง่ายๆ น่ากลัวจนเกินจินตนาการ
ว่านเจิ้นนั้นกระอักเลือดออกมาคำโตก่อนจะพุ่งลอยถอยหลังกลับไป
ส่วนอีกด้านนั้นมันก็ปรากฏให้เห็นถึงค่ายกลและดาบมากมายมหาศาลนั้นต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง
นั่นมันคือค่ายกลดาบของเย่หยวน!
ทุกผู้คนนั้นต่างต้องอ้าปากค้างมองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เย่หยวนชนะ?
เวลานี้แม้แต่ตัวผางเจิ้นหรือยูถันจื่อเองก็ยังต้องอ้าปากค้างตาม
เพราะไม่มีใครคิดว่าว่านเจิ้นจะกลับแพ้ลงจริงๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาแพ้ลงอย่างรวดเร็ว!
สภาพของตัวเย่หยวนเองนั้นก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ บาดแผลบนร่างกายนั้นมันมากจนเกินกว่าจะมองดูตรงๆ ได้
ในหมู่คนรุนเดียวกันนั้นคนที่จะทำให้เขาลำบากได้ถึงขั้นนี้มันคงเพิ่งมีว่านเจิ้นเป็นคนแรก!
“ช่างเป็นค่ายกลดาบที่แข็งแกร่งนัก! เจ้านั้นใช้พลังของสองต้นกำเนิดผสานเข้ากับมิติเวลา ค่ายกลดาบนี้มันจะต้องลือลั่นไปในวันหน้าอย่างแน่นอน! มันมีนามว่า?” ว่านเจิ้นนั้นค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นมาถามเย่หยวน
เพราะก่อนหน้านี้เขาลงมือเต็มที่คิดถึงขั้นสังหารเย่หยวน
แต่น่าเสียดายที่เย่หยวนนั้นกลับมีค่ายกลดาบที่น่ากลัวจนเกินไป!
ไม่ว่าจะเป็นโจมตีหรือป้องกัน ค่ายกลดาบนี้มันแข็งแกร่งจนน่าขนลุก!
เต๋าดาบต้นกำเนิดนั้นมันก็เป็นหนึ่งในเต๋าที่เน้นเรื่องพลังโจมตีสูงเป็นทุนเดิม พร้อมด้วยพลังของมิติเวลาและหลอมรวมในเต๋าค่ายกลต้นกำเนิด
นี่มันคือวิชาที่รุนแรงและหนักหน่วง!
วิชาเช่นนี้คนในระดับเดียวกันย่อมจะไม่มีใครเทียบเคียงได้!
หากมิใช่เพราะเขานั้นมีพลังบ่มเพาะสูงกว่าเย่หยวนสามดาวแล้วเขาคงแพ้ไปตั้งแต่วินาทีแรก
เขานั้นคงไม่อาจจะรับการโจมตีของเย่หยวนได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว!
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียนี่มันก็คือดาวของอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ ความยิ่งใหญ่ของมันนั้นเหนือล้ำปานใด?
ไม่ต้องนับให้ถึงสาม แค่หนึ่งดาวนั้นมันก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะก้าวข้ามได้!
แต่เย่หยวนนั้นกลับกระโดดก้าวขึ้นมาปะทะกับยอดอัจฉริยะอย่างว่านเจิ้นได้
มีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่แตกตื่น?
ดาบทั้งหลายนั้นมันค่อยๆ กลับไปหมุนวนรอบตัวเย่หยวนอย่างสงบนิ่งอีกครั้ง
เย่หยวนยิ้มตอบกลับมา “ค่ายกลดาบนี้มีนามว่านิพพานแท้!”
ว่านเจิ้นที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆ ค่ายกลดาบนิพพานแท้ ชื่อดี! ข้าหวังว่าค่ายกลดาบนี้มันจะช่วยปกป้องศักดิ์ศรีของมนุษย์เราไว้!”
เย่หยวนที่ได้ยินก็แสดงสีหน้าจริงจังพยักหน้าตอบกลับมา “เย่ผู้นี้จะทำให้สุดความสามารถ! พี่ว่าน ศึกของเราหยุดไว้เท่านี้จะดีหรือไม่?”
ดูท่าแล้วคนทั้งสองคงไม่คิดตัดสินกันให้ถึงที่สุดจริงๆ
เพราะแค่นับกันด้วยวิชาก่อนหน้านี้ มันก็นับว่าเย่หยวนเอาชนะว่านเจิ้นได้แล้ว
แต่จะอย่างไรว่านเจิ้นนั้นก็จัดการลงได้ยาก ต่อให้เย่หยวนจะอยากสังหารว่านเจิ้นลงจริงๆ มันก็คงไม่ง่ายดายนัก
คนทั้งสองนั้นนับถือกันในใจและย่อมจะไม่คิดตัดสินกันให้ถึงตายไปข้าง เพราะหากทำเช่นนั้นพวกเขาคงเสียโอกาสรับสมบัติสืบทอดไป
“ฮ่าๆ มันก็ควรเป็นเช่นนั้นแหละ! หากเราตายไปตอนนี้คงได้เป็นโศกนาฏกรรมแน่นอนแล้ว!” ว่านเจิ้นหัวเราะลั่นขึ้นมา
เวลานี้มันมียอดฝีมืออีกราวครึ่งหนึ่งเหลืออยู่ในกรง
และอัตราการตายมันก็ยิ่งต่ำลงๆ
เวลานี้นักยุทธทั้งหลายต่างจับคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
คนที่อ่อนแอจริงๆ นั้นย่อมจะตายลงไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ
คนที่เหลือนี้คือยอดคนอย่างแท้จริง!
เมื่อได้เห็นเย่หยวนหันหน้ามาหาคนทั้งหลายก็หน้าซีดขาวพุ่งถอยหลังหนีไปตามๆ กัน
ดูท่าแล้วพวกเขาคงกลัวอย่างมาก
เพราะว่าเรื่องราวการปะทะของคนทั้งสองนั้นมันรุนแรงล้ำ
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะมั่นใจในตัวเองสักเท่าใด พวกเขาก็ไม่ได้หลงผิดถึงขั้นนั้น
ที่สำคัญไปกว่านั้นพวกเขาทั้งหลายยังหวาดกลัวค่ายกลดาบนิพพานแท้อยู่ติดตา
ค่ายกลดาบนิพพานแท้นั้นมันแข็งแกร่งมาก แต่หากถามว่าแข็งแกร่งถึงขั้นไหนนั้นมันคงมีแต่ว่านเจิ้นที่ได้ปะทะกับมันเท่านั้นที่จะตอบได้
มีหรือที่พวกเขาจะกล้าเข้าไปท้าทายเย่หยวนในเวลานี้?
เมื่อได้เห็นท่าทางนั้นของคนทั้งหลายเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะยืนนิ่ง
เย่หยวนนั้นไม่ชอบความรู้สึกนี้ แม้ว่าต่อให้เขาฆ่าสังหารคนทั้งหลายไปแล้วพวกเขาจะไม่ได้ตายจริงๆ ก็ตาม
เขานั้นทำใจไปท้าทายผู้แข็งแกร่งได้ แต่สำหรับคนที่อ่อนแอกว่าแล้วตราบเท่าที่อีกฝ่ายไม่มาหาเรื่องเขา เขาก็ไม่อาจทำใจไปโจมตีอีกฝ่ายได้
เพราะอย่างไรเสียนี้มันก็คือความหวังของพวกเขาเช่นกัน
นี่มันคือความหวังที่จะได้รับสุดยอดสมบัติสืบทอด!
ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่คนทั้งหลายจะมาสู้กันอย่างไรเหตุผล?
เย่หยวนยักไหล่อย่างเบื่อหน่าย “พวกเจ้าต่อกันเถอะ ข้าจะนั่งพักหน่อย อ่า… หากมีใครอยากลองสังหารข้าก็เชิญเข้ามาได้เลยนะ”
พูดจบเย่หยวนก็นั่งลงขัดสมาธิกับพื้นทันที
คนทั้งหลายที่ได้เห็นต่างหันไปมองหน้ากันอย่างมึนงง
เจ้าหมอนี่มันจะวางท่ามากเกินไปหรือไม่?
แต่ถามว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นกล้าจะไปท้าทายเย่หยวนหรือ?
คำตอบคือไม่!
…………….