Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2374 วังสวรรค์เฝ้า
“ต-ตาย? เขา… สังหารทูตเทวะ!”
“เจ้ากล้าสังหารทูตเทวะ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดสังหารทูตเทวะ!”
“จบแล้ว! เจ้าทำเราฉิบหายแล้ว! นิกายม่วงน้อยเรานั้นจบสิ้นแล้ว!”
…
ด้วยการที่เย่หยวนสังหารทูตเทวะลงไปการตอบสนองแรกของคนทั้งหลายนั้นคือไม่ว่าเขานี้จะเก่งกาจสามารถกระโดดข้ามอาณาจักรต่อสู้เผ่าเทวาอย่างไร แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นเย่หยวนที่นำพาความฉิบหายมาให้พวกเขา
ได้ยินเช่นนั้นตัวเย่หยวนก็ได้แต่ต้องส่ายหัวพร้อมถอนหายใจยาว
ความน่าเกรงขามของเผ่าเทวานั้นมันฝังรากลึกจนถึงกระดูกของผู้คน คนทั้งหลายนี้ย่อมจะไม่คิดขัดขืนใดๆ
เย่หยวนที่มองดูเรื่องราวนั้นรู้สึกกังวลใจอย่างมากจนต้องลุกขึ้นมาลงมือช่วยเหลือ
เขานั้นยังคิดว่าทีแรกนิกายม่วงน้อยจะขัดขืนบ้าง แต่สุดท้ายตัวโมชิงซานกลับไม่ได้ลงมือใดๆ
แต่จะอย่างไรมันก็พอเข้าใจได้ว่าภายใต้การกดดันมหาศาลนี้ เผ่ามนุษย์และเผ่าต่างๆ จึงได้แต่ต้องกล้ำกลืนอย่างเงียบงัน
เพราะหากขัดขืนแล้วจะต้องพบเจอความตาย
มีหรือที่นิกายม่วงน้อยนี้จะมาคิดหยุดทัพเผ่าเทวาใดๆ?
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตใดก็ล้วนกลัวความตายกันสิ้น
“อ่า เช่นนั้นทำไมพวกเจ้าไม่จับข้าไปส่งให้พวกเผ่าเทวาเล่า?” เย่หยวนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
โมชิงซานที่ได้ยินนั้นต้องผงะก่อนจะตอบมาด้วยหน้าเหยเก “เรื่อง… เรื่องนั้นจะทำได้อย่างไร? น้องชายอย่าได้ล้อกันเล่นเลย! เพียงแค่ว่า… การสังหารทูตเทวะนั้นมันเป็นความผิดใหญ่หลวง!”
เขารู้ว่าเย่หยวนกำลังเย้ยหยันเขา
เย่หยวนยักไหล่กลับไป “ข้าเอาจริง พวกเจ้าจะไม่คิดจับข้าส่งไปจริง?”
โมชิงซานนั้นได้แต่ต้องส่ายหัวออกมา “น้องชายทำเพื่อช่วยเหลือเรา ต่อให้ข้าโมชิงซานจะต่ำยิ่งกว่าเดียรัจฉานข้าก็ไม่กล้าทำเรื่องราวเช่นนั้นลง! น้องชายเจ้ารีบไปเถอะ! หลังจากคนของวังสวรรค์เฝ้ามาถึงแล้วเจ้าจะไม่อาจหนีได้อีก! เหล่าเจ้าหน้าที่เทวานั้นล้วนแต่เป็นยอดฝีมืออาณาจักรเต๋าสวรรค์แปดลายขั้นปลาย เจ้าสู้พวกเขาไม่ได้หรอก!”
ในนิกายม่วงน้อยนี้มันมีเจ้านิกายโมชิงซานแข็งแกร่งที่สุด
แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นแค่จักรพรรดิเทพสวรรค์หกดาว ห่างไกลจากพลังของอาณาจักรเต๋าสวรรค์แปดลายขั้นปลายอย่างมาก
ยอดฝีมืออาณาจักรเต๋าสวรรค์แปดลายขั้นปลายนั้นมันสามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้หมดสิ้น!
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะกล่าวขึ้นมา “เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่น? หากเจ้าไม่จับข้าส่งไปแล้วข้าจะทำลายนิกายม่วงน้อยของเจ้านี้ทิ้งเสีย!”
โมชิงซานหน้าถอดสีลงทันทีที่ได้ยินเพราะความกดดันตรงหน้านั้น!
ด้วยกำลังของเย่หยวนในเวลานี้หากคิดอยากทำลายนิกายม่วงน้อยใดๆ ลงนั้นมันย่อมแสนง่ายดาย
แต่ระหว่างที่ทุกผู้คนต่างไม่มีใครรู้ว่าต้องรับมืออย่างไรมันก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินขึ้นมา
ชายหนุ่มกล่าว “ผ-ผู้อาวุโสท่านคงไม่ได้… คิดจะไปทำลายวังสวรรค์เฝ้าหรอกใช่ไหม?”
เย่หยวนหันไปมองที่ชายหนุ่มนั้นก่อนจะจับได้ว่านี่คือหนึ่งในคนที่ถูกจับรอประหารของนิกายม่วงน้อย
ก่อนหน้านี้เขายังถูกจับมัดมือรอความตาย แต่ตอนนี้เขาได้รับการช่วยเหลือปล่อยออกมาแล้ว
เย่หยวนยิ้มถามกลับไป “น่าสนใจ เจ้ามีนามว่า?”
เขานั้นก็ไม่นึกไม่ฝันว่าในหมู่ผู้ถูกกดขี่นี้มันจะยังมีคนที่มองความตั้งใจของเขาออก
จะอย่างไรเสียเรื่องที่เขาคิดทำมันก็ไม่ได้เดายาก เพียงแค่ว่าในหมู่คนทั้งหลายนี้มันไม่มีใครจะกล้าคิดถึง
เพราะว่าพวกเขาไม่เคยคิดจะต่อต้านก่อกบฏใดๆ
ชายหนุ่มนั้นตอบกลับมา “ผู้น้อยมีนามว่าฉินเชา!”
เย่หยวนตอบกลับไป “อืม เจ้าเดาได้ถูก ข้านั้นจะไปเพื่อทำลายวังสวรรค์เฝ้านั้น!”
ฉินเชาตอบกลับมาด้วยใบหน้าหนักแน่น “ข้ารู้ทางไปวังสวรรค์เฝ้า ผู้น้อยจะขอนำทางให้ท่านเอง!”
เย่หยวนนั้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบกลับไป “เจ้าไม่กลัวตาย?”
ฉินเชานั้นตอบกลับมาด้วยการพยักหน้า “แน่นอนว่าข้ากลัว! แต่ผู้น้อยนี้ไม่อาจทนรับวันเวลาเช่นนี้ได้อีกแล้ว! หากมนุษย์เราไม่ขัดขืนเราก็จะถูกทำเหมือนเป็นหมูเป็นหมาเช่นนี้ต่อไป หากพวกมันไม่พอใจพวกมันก็จะฆ่าสังหารเราเอาเล่นๆ! ที่สำคัญไปกว่านั้นคือผู้อาวุโสได้ช่วยชีวิตนางที่รักของข้าน้อยไว้ ข้าย่อมจะต้องขอตอบแทนด้วยชีวิต!”
เย่หยวนหรี่ตาลงมองทางโมเสียวเฉาก่อนจะพบว่าตัวนางนั้นก็เบิกตากว้างขึ้นมาเช่นกัน
ดูท่าแล้วนางคงเป็นรักข้างเดียวของฉินเชาไม่ผิดแน่
ในนิกายม่วงน้อยนี้มันมีคนมากมายที่ชอบในตัวโมเสียวเฉา
ฉินเชาเองก็แค่เป็นหนึ่งในนั้น
แต่คำพูดของคนทั้งสองนี้มันทำให้คนทั้งหลายต้องอ้าปากค้างออกมา
วังสวรรค์เฝ้านั้นคือตัวแทนของเผ่าเทวา!
การจะไปทำอะไรที่วังสวรรค์เฝ้านั้นมันเหมือนการไปดึงเขี้ยวออกจากปากเสือ!
ถึงเวลานั้นแล้วเบื้องบนของเผ่าเทวาเองก็คงไม่อาจอยู่เฉย
และนอกจากนี้แล้วเย่หยวนยังเป็นแค่จักรพรรดิเทพสวรรค์ห้าดาว ต่อให้จะสังหารทูตเทวะลงได้แต่จะมีปัญญาไปทำอะไรที่วังสวรรค์เฝ้า?
แน่นอนว่าเผ่ามนุษย์ที่ถูกกดขี่มาแสนนานนี้มันย่อมจะมีคนที่ไม่ประมาณตัวไปท้าทายเผ่าเทวาอยู่ไม่น้อย
แต่ผลลัพธ์นั้นมันชัดเจนอยู่กับตา
ชายหนุ่มคนนี้เองก็เป็นหนึ่งในคนเช่นนั้น
เขานั้นคิดรนหาที่ตายแต่ฉินเชานั้นกลับคิดจะไปตายกับเขาด้วย!
“ฉินเชา เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า?” โมชิงซานนั้นตะคอกออกมา
แม้เขาจะไม่กล้าว่าอะไรใส่เย่หยวนแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นดีเห็นงามด้วยกับฉินเชา
ฉินเชายิ้มตอบกลับมา “อาจารย์ ท่านลองหันไปมองสิ นั่นลูกสาวท่าน! เผ่าเทวามันคิดจะเอานางไปเป็นของเล่นแต่ท่านก็ยังปล่อยให้พวกมันทำตามใจ! แล้วก็พวกเจ้าทั้งหลาย! มีพวกเจ้ากี่คนที่ชมชอบศิษย์น้องเสียวเฉา? แต่ทำไมมันจึงไม่มีใครกล้าลุกมาปกป้องนางแม้สักคน?”
“ผู้อาวุโสท่านนี้ช่วยเหลือเราและช่วยเหลือศิษย์น้องเสียวเฉา แต่แทนที่พวกเจ้าจะขอบคุณพวกเจ้ากลับมาด่าว่าท่านบอกว่าท่านพานิกายม่วงน้อยฉิบหาย! เรานั้นคือคน! เรานั้นมีศักดิ์ศรีของตัวเองมิใช่หมูหมา! มิใช่ปลาปู! เผ่าเทวามันคิดทำกับเราเหมือนหมูหมาไม่ได้หมายความว่าเราต้องกลายเป็นหมูหมาไปจริงๆ! ข้านั้นเป็นคนที่ต้องตายอยู่แล้ว เวลานี้ขอมอบชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อาวุโสท่านไปจะเป็นไร?”
คำของฉินเชานี้ดังลั่นหูทุกผู้คน
ศิษย์นิกายม่วงน้อยหลายคนได้แต่ต้องก้มหน้าอย่างอับอาย
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นตัวเขาก็ได้แต่ต้องยิ้มรับ
ในยุคสมัยนี้ มันเพราะว่ามีคนอย่างฉินเชานี้เองที่ทำให้เผ่ามนุษย์ได้มีอนาคตต่อไป!
นิกายม่วงน้อยนั้นมันเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของยุคสมัย
มันยังมีค่ายสำนักเหมือนนิกายม่วงน้อยนี้อีกมากมายบนหล้า
ต่อให้จะเป็นแค่สำนักละคน แต่หากมีคนอย่างฉินเชาเกิดขึ้นมาได้มันก็ย่อมจะกลายเป็นกองกำลังยิ่งใหญ่
“ผู้อาวุโส ข้าจะไปส่งท่านเอง!” ฉินเชาหันหน้ากลับมาบอกเย่หยวน
เย่หยวนจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ”
คนนิกายม่วงน้อยนั้นได้แต่ต้องมองดูหลังของคนทั้งสองเดินจากไป
ในหมู่คนนั้นตัวโมเสียวเฉาได้แต่ต้องเบิกตากว้างราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รู้จักกับศิษย์พี่ฉินเชาก็ไม่ปาน
…
ระหว่างทางมานั้นเย่หยวนได้แต่คิดหนักแต่ตัวฉินเชากลับเริ่มเปลี่ยนสีหน้าไป
ในตอนแรกๆ นั้นเขายังหนักแน่นด้วยความเดือดดาลแต่ยิ่งเวลาผ่านไปสีหน้าของเขาก็ยิ่งซีดจางอย่างไร้ร่องรอยของยอดผู้กล้าใดๆ
แต่ยิ่งเข้าไปใกล้วังสวรรค์เฝ้ามากเท่าใด ลมหายใจของก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นมา
ดูท่าแล้วเขาคงกลัวจนเริ่มกังวล
กำลังของเผ่าเทวานั้นมันถูกฝังรากลึกในจิตใจของผู้คน ไม่อาจจะทำให้จางหายไปได้ง่ายๆ
ฉินเชานั้นมีเลือดร้อนในตอนแรกๆ เขาจึงกล้าที่จะทำอะไรทุกสิ่งอย่าง
แต่ยิ่งเดินมาใกล้วังสวรรค์เฝ้านั้น เขาก็ยิ่งกังวลหนัก
เย่หยวนนั้นไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงนั้นและคิดหนักอยู่ในใจ
“ข้านั้นตกมาในห้วงมิติเวลา เช่นนั้นแล้วโลกนี้มันจริงหรือปลอมกัน?”
“หากมันปลอมแล้วข้าจะกลับไปอย่างไร?”
“แต่หากมันจริงแล้วการกระทำของข้าจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ไปจนทำให้ทิศทางของเผ่ามนุษย์เปลี่ยนไปหรือไม่?”
“เช่นนั้นหากประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปจริงแล้ว ข้าจะยัง… มีตัวตนอยู่หรือไม่?”
…
ความสงสัยมากล้นปะทุขึ้นในใจเขา
เขานั้นผ่านห้วงมิติเวลามาจนถึงที่แห่งนี้ เป็นเพียงแค่ผีเสื้อตัวน้อย
เช่นนั้นแล้วผีเสื้อน้อยๆ อย่างเขานี้จะทำให้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของผู้คนเปลี่ยนไปหรือไม่?
นี่มันเป็นคำถามที่ลึกล้ำเกินกว่าจะหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง
………………