Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2398 หากไม่ได้เขาก็คงไม่มีพวกเจ้าทั้งหลาย!
- Home
- Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ
- ตอนที่ 2398 หากไม่ได้เขาก็คงไม่มีพวกเจ้าทั้งหลาย!
หากซ่างเฟิงนั้นจะคุกเข่าพวกเขาทั้งหลายก็คงยังพอรับได้ในใจ
แต่การคุกเข่าตามของเฉียนจี้นี้มันได้ทำให้คนทั้งหลายไม่อาจรับและเข้าใจได้แม้แต่น้อย!
ไม่ว่าซ่างเหิงจะเก่งกาจสักเท่าใดแต่เวลานี้มันก็เป็นเพียงแค่เสี้ยวจิตสำนึก
เขานั้นจะเก่งกาจสักเท่าใดเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายไม่อาจจะจินตนาการถึงได้
เพราะเวลานั้นมันสามารถลบล้างได้ทุกสิ่งอย่าง
แต่เฉียนจี้นี้เป็นยอดคนอันดับหนึ่งของยุคสมัยนี้!
หากให้พูดกันตามหลักการแล้วตำแหน่งของเขามันอาจจะเหนือล้ำหัวเต๋าบรรพกาลเสียด้วยซ้ำ!
เต๋าบรรพกาลนั้นแข็งแกร่ง แต่นั่นคือแค่ความแข็งแกร่ง
ตระกูลเจียนนั้นทำงานหนักหน่วงมานับหมื่นล้านปี กำลังของพวกเขานั้นมันปกคลุมไปทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียน
นามอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นี้ไม่มีใครในมหาพิภพถงเทียนที่ไม่รู้จัก
เขานั้นคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ยังมีชีวิต!
การคุกเข่าของเขานี้มันย่อมจะมีความหมายว่ายอดคนอันดับสูงสุดของมหาพิภพถงเทียนได้ก้มหัวลงต่อหน้าเย่หยวน!
ความตื่นตะลึงของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันไม่อาจจะใช้คำพูดใดๆ มาอธิบาย
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายนั้นได้แต่หันมามองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึงอย่างเกินเข้าใจ
“นี่มัน… เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เย่หยวนแค่เดินทางผ่านกระแสมิติเวลากลับมาได้ทำไมคนอย่างท่านเฉียนจี้ถึงได้ยอมคุกเข่าลงต่อหน้าเขา?”
“นักบุญฟ้าคราม? มันเป็นใครกันเล่าถึงขั้นทำให้ยอดคนทั้งในอดีตปัจจุบันต้องก้มหัวให้พร้อมๆ กันเช่นนี้?”
“เย่หยวนนั้นก็มีอายุแค่ไม่กี่พันปี ทำไมเขาจึงได้รับการยกย่องจากยอดคนทั้งสองจนถึงขั้นคุกเข่าให้เช่นนี้?”
…
คำถามนั้นมันค้างคาอยู่เต็มอกเต็มใจอย่างที่แทบทำพวกเขาอกแตกตาย
แค่ไม่กี่ร้อยปีก่อนนี้เย่หยวนยังแข่งขันกับพวกเขาเพื่อเอาสมบัติสืบทอดเลิศล้ำ
แต่เดินทางเข้ากระแสห้วงมิติเวลาครั้งนี้มันกลับเหมือนเขาได้เปลี่ยนไปเป็นคนละโลก
เมื่อได้เห็นคนทั้งสองคุกเข่าลงเช่นนั้นเย่หยวนเองก็รู้สึกแปลกๆ ไม่น้อยก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “ลุกเถอะ! เวลานี้อ่างน้ำนั้นมันได้เปลี่ยนเป็นทะเลกว้างแล้ว! ข้านั้นก็แค่เย่หยวน มิใช่นักบุญฟ้าครามอีกต่อไป!”
แต่เฉียนจี้นั้นกลับส่ายหัวออกมาอย่างหนักแน่น “นักบุญฟ้าครามย่อมจะเป็นนักบุญฟ้าคราม จนกว่าหลากเผ่าพันธุ์นั้นจะตายสิ้น! หากไม่เป็นเช่นนั้นท่านก็จะยังเป็นนักบุญฟ้าครามเสมอไป! หากไม่มีท่านแล้วความสงบสุขนับหมื่นๆ ล้านปีของหลากเผ่าพันธุ์นี้มันคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้! หากไม่มีท่านแล้วเผ่าพันธุ์ทั้งหลายคงได้แต่นอนอยู่ใต้เท้าเผ่าเทวา! ต่อให้เวลานี้อ่างน้ำนั้นมันจะได้เปลี่ยนแปลงเป็นทะเลกว้างแต่คุณของท่านนั้นมันก็ยังคงอยู่อย่างชัดเจน!”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็หันไปสั่งคนทั้งหลาย “พวกเจ้าทั้งหลายมาคารวะท่านนักบุญฟ้าคราม!”
คำพูดนี้มันหนักแน่นอย่างไม่คิดจะสนคำเถียงใดๆ
เขานั้นไม่ได้ปรึกษาพูดคุย แต่นี่มันคือคำสั่ง!
ยูถันจื่อนั้นกัดฟันแน่นร้องกล่าวขึ้นมา “นักบุญฟ้าครามห่าเหวใดเล่า! มันด้วยเรื่องใด? ดูอย่างไรมันก็เป็นแค่เด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มีสิทธิใดจะให้ข้าไปคุกเข่าต่อหน้ามัน?”
“ใช่แล้ว! ท่านเฉียนจี้ เจ้าจำผิดคนหรือไม่? เขานี้คือเย่หยวนมิใช่นักบุญฟ้าครามใดๆ ที่ท่านพูดกล่าว”
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายย่อมจะไม่คิดอยากยอมรับเรื่องราวนี้ในใจ การให้พวกเขาไปคุกเข่าให้คนรุ่นเดียวกันนั้นมันย่อมจะเกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหว
แต่เฉียนจี้กลับขมวดคิ้วแน่นหันไปกล่าวกับยูถันจื่อ “ดูถูกนักบุญฟ้าครามมันเท่ากับดูถูกหลากเผ่าพันธุ์! ยูถันจื่อ เจ้าหมดสิทธิ! ทุกสิ่งอย่างที่เจ้าได้มาในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้จักรพรรดิผู้นี้จะริบคืนสิ้น!”
เฉียนจี้กล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าดำมือก่อนจะชี้นิ้วไปยังยูถันจื่อ
ยูถันจื่อนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายราวกับว่าพลังงานในร่างหมดสลายลง
กำลังของเขานั้นค่อยๆ ถอยกลับไปไม่นานก็กลับมาอยู่ในจุดเดียวกับตอนที่มาถึงมิติสงครามดึกดำบรรพ์ครั้งแรก
ใบหน้าของเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัว “กำ… กำลังของข้า!”
เฉียนจี้หรี่ตาลงกล่าว “สิ่งต่างๆ ในมิติสงครามดึกดำบรรพ์ล้วนเกิดขึ้นด้วยมือข้า! ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ได้กลับเอาพลังเข้าร่างตน ข้าย่อมจะสามารถดึงพลังกลับมาได้ทุกเมื่อ!”
เฉียนจี้นั้นสามารถดึงพลังสืบทอดต่างๆ จากสนามรบโบราณได้ แน่นอนว่าการจะดึงพลังจากร่างแยกของยูถันจื่อมันย่อมง่ายดาย
เขานั้นพยายามหนักหน่วงมานับพันปีแต่ไม่นึกฝันว่าสุดท้ายแล้วมันกลับเสียเปล่า! เขากลับไม่ได้ประโยชน์ใดๆ!
เวลานี้เขาอยากจะตบหน้าตัวเองให้เต็มแรงสักที
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะยังมีหน้าไปพูดจาสามหาวเช่นนั้นหรือ?
เว้นเสียแต่ว่าเขานั้นจะไม่อาจเข้าใจได้เลยว่านักบุญฟ้าครามในสายตาของเฉียนจี้และซ่างเหิงนั้นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายต่างยืนทื่อดูท่าแล้วคงไม่มีใครคิดว่าเรื่องมันจะจบเช่นนี้
พร้อมๆ กันนั้นพวกเขาก็ได้เข้าใจถึงความสูงส่งของตัวตนนักบุญฟ้าครามที่อยู่ในใจเฉียนจี้!
ว่านเจิ้นนั้นเป็นคนที่หัวเร็วจึงรีบคุกเข่าลงคนแรก
เฉียนจี้นั้นอาจจะจำผิดได้ แต่มันย่อมจะไม่มีทางใดที่ทั้งเฉียนจี้และซ่างเหิงทั้งสองคนจะจำคนผิดได้พร้อมๆ กัน
ดูท่าจากสีหน้าของคนทั้งสองก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาทั้งสองเองก็คงไม่อยากเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้านี้เช่นกัน
พวกเขาทั้งสองนั้นพยายามหาเหตุผลมาแย้งแต่สุดท้ายก็ต้องเชื่อความจริง
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เมื่อพวกเขาตัดสินใจเชื่อแล้วพวกเขาก็ยังคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล
นี่มันแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าตัวตนของนักบุญฟ้าครามนั้นมันยิ่งใหญ่ปานใด!
การคุกเข่านี้เย่หยวนรับมันได้แน่นอน!
เมื่อว่านเจิ้นนำแล้วเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายก็ย่อมค่อยๆ ทำตามไป
ไม่เช่นนั้นแล้วหากถูกเฉียนจี้ริบพลังคืนไปมันคงเสียหายกันพอดี
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคุกเข่าลง
เฉียนจี้หันไปมองที่ยูถันจื่อก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นเยือก “อะไร? ทำไมยังไม่คุกเข่าอีก?”
ยูถันจื่อนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายราวกับได้ตกลงสู่ทะเลน้ำแข็ง สุดท้ายเขาก็คุกเข่าลง
ถูกริบพลังไปแล้วแต่ก็ยังต้องคุกเข่า
ยูถันจื่อนั้นคิดอยากจะร้องไห้ขึ้นมาให้ได้เสียตอนนี้
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นคือตัวตนที่เขาไม่อาจจะขัดได้ เพราะต่อให้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลเขาเองก็คงถูกทำลายลงในพริบตาหากคิดไปท้าทายเฉียนจี้เข้าจริงๆ
ในมหาพิภพถงเทียนนี้นอกจากเต๋าบรรพกาลแล้วมันไม่มีใครจะเทียบเคียงอำนาจตระกูลเจียนได้
เมื่อคนทั้งหลายค่อยๆ คุกเข่าลงตามๆ กันแล้วมันก็เหลือเพียงแค่เต๋าบรรพกาลสายฟ้าที่ยังยืนนิ่ง
เฉียนจี้จึงหันไปกล่าว “ผางเทียน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครมอบมงกุฎเต๋าบรรพกาลให้เจ้า?”
ครั้งนี้ตัวเฉียนจี้ไม่ได้เรียกเขาว่าเต๋าบรรพกาลสายฟ้าแต่เรียกเขาด้วยนามจริงอย่างผางเทียน!
มันเป็นการบอกนัยๆ ว่าอย่าลืมต้นกำเนิดของตน
หากไม่มีสองนักบุญฟ้าครามและมายาล้ำแล้ว มันก็คงไม่มีเต๋าบรรพกาลสายฟ้าใดๆ ในวันนี้!
เต๋าบรรพกาลสายฟ้านั้นผงะไปทันที คนอื่นคุกเข่าได้ แต่เขานั้นคือสุดยอดตัวตนบนโลกหล้าอย่างเต๋าบรรพกาล!
ตัวเขาจะคุกเข่าลงได้หรือ?
แต่ว่าตัวเขานั้นก็เป็นคนที่รอดมาจากยุคสมัยก่อนได้และย่อมรู้ถึงชื่อเสียงของนักบุญฟ้าครามและมายาล้ำทั้งสอง
เขานั้นเข้าใจดีว่าคำพูดของเฉียนจี้นี้มันไม่มีอะไรผิดไปเลย!
เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหรี่ตามอง “เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือนักบุญฟ้าคราม?”
เฉียนจี้พยักหน้ารับ “ไม่ผิดแน่! ก่อนหน้านี้ร่างกายของเขายังไม่มีคลื่นพลังเช่นนั้น แต่เวลานี้หลังกลับมาจากกระแสมิติเวลาเขาก็ได้คลื่นพลังที่เป็นของตัวเองกลับมา! เขานี่แหละคือนักบุญฟ้าครามอย่างแท้จริง!”
เต๋าบรรพกาลสายฟ้าเงียบลงไป จนสุดท้ายเขาก็คุกเข่าลงตาม
“ทุกคน คุกเข่าสามครั้งและคำนับเก้าครั้ง ขอคารวะนักบุญฟ้าคราม!” เฉียนจี้ร้องสั่ง
“เราขอคารวะนักบุญฟ้าคราม!” ภายใต้การนำของเฉียนจี้นั้นคนทั้งหลายจึงได้เริ่มคุกเข่าสามคำนับเก้าลงต่อหน้าเย่หยวนนี้
นี่มันคือการแสดงความเคารพขั้นสูงสุด!
หลังจากจบพิธีนั้นลงเย่หยวนก็ถอนหายใจยาวพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ “ลุกกันเถอะ! มันมิใช่แค่พวกเจ้าแต่นักบุญคนนี้เองก็แทบไม่อยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อพวกเจ้าจดจำว่าข้านั้นเป็นนักบุญได้มันก็ย่อมจะหมายความว่าเรื่องที่ข้าเจอมามิใช่แค่ความฝันแล้ว! เพียงแค่ว่าจะอย่างไรมันก็ทำใจเชื่อได้ยากเสียจริงๆ”
เฉียนจี้พยักหน้ารับ “มันย่อมมิใช่ความฝันใด! มหาค่ายกลสืบทอดทั้งสิบแปดที่ท่านสร้างไว้นั้นมันได้ทำให้เผ่าพันธุ์เราเจริญรุ่งเรือง! ไม่มีใครจะมาลบล้างเรื่องนี้ลงได้!”
พูดจบเขาก็หันไปหาเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลาย “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงไม่ยอมรับในใจ รู้สึกว่าท่านนักบุญฟ้าครามนั้นเป็นแค่คนรุ่นเดียวกันกับพวกเจ้าไม่สมควรได้รับการคารวะขั้นสูงสุดเช่นนี้! แต่หากไม่มีเขาแล้วโลกใบนี้… มันก็คงไม่ได้มีพวกเจ้าขึ้นมา!”
………….