Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2403 พวกมันหาเจอได้อย่างไร?
“เจ้า… รู้หรือ?”
ผางเจิ้นกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัยจนลืมใช้คำสุภาพไป เขานั้นพยายามจะส่งจิตของเขาออกไปรอบๆ แต่กลับไม่พบเจอสิ่งใดๆ
ว่านเจิ้นเองก็ไม่ต่างหันนัก เขานั้นก็ได้ปล่อยจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนออกไปโดยรอบแต่กลับไม่พบเจอสิ่งใด
เพราะฉะนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยคำของเย่หยวน
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกมันซ่อนอยู่ในป่าราวสามแสนกิโลเมตรจากนี้? ต่อให้พวกมันจะอยู่จริงๆ แล้วพวกมันก็คงมีวิธีการซ่อนอย่างแยบยลมิใช่หรือ? เจ้าสามารถจะตรวจสอบถึงที่อยู่ของพวกมันได้อย่างไร?” ว่านเจิ้นถามขึ้น
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ไม่ว่าพวกมันจะซ่อนลึกแค่ไหนมันก็ไม่อาจพ้นสายตาของข้าได้! หากพวกเจ้าทั้งหลายไม่เชื่อเราก็ค่อยๆ เข้าไปดูกัน แต่ก่อนนั้นเรามาปกปิดคลื่นพลังของฝังเราเสียก่อนเถอะ!”
แม้แต่ตอนที่เย่หยวนยังมีพลังบ่มเพาะต่ำตมเวลานั้น เขาก็ยังสามารถสัมผัสถึงสายตาของจักรพรรดิเทพสวรค์เฉียนจี้ได้
เวลานี้เมื่อเย่หยวนก้าวขึ้นมาถึงระดับของยอดคนแห่งยุคสมัย มีหรือที่คนทั้งหลายนั้นจะสามารถหลบซ่อนจากสายตาของเขาไปได้?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเขาบรรลุแนวคิดแห่งมิติเวลานั้นมา ประสาทสัมผัสต่างๆ ของเย่หยวนมันก็สามารถจะจับทะลุได้แม้แต่มิติและเวลา
แม้ว่าทัพบุตรเทวะนั้นจะซ่อนตัวไว้ดีแค่ไหน พวกเขาก็ย่อมจะไม่สามารถหลบรอดสายตาของนักบุญฟ้าครามได้
ระหว่างที่คุยกันไปนั้นเย่หยวนก็วาดมือตั้งค่ายกลยักษ์ขึ้นมาครอบทั้งกองทัพ
ภายในค่ายกลนี้มันมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เหนือล้ำจนแม้แต่เจ้าฟ้าดินเองก็คงไม่อาจจะจับถึงมันได้ง่ายๆ
เมื่อพวกว่านเจิ้นทั้งหลายได้เห็นฝีมือของเย่หยวนนี้พวกเขาทั้งหลายต่างก็ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน
สภาพของเย่หยวนในเวลานี้มันเหนือล้ำเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ
การใช้ค่ายกลดาบต่อสู้นั้นมันก็เรื่องหนึ่ง แต่การครอบกองทัพนับแสนไว้เช่นนี้มันย่อมจะแตกต่างกันมหาศาล
เรื่องราวเช่นนี้ต่อให้จะเป็นจอมเทพค่ายกลระดับเจ้าฟ้าดินเองก็คงไม่อาจทำได้ง่ายๆ
เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาเริ่มจะเข้าใจถึงที่มาความเคารพของเฉียนจี้และซ่างเหิงที่มีต่อเย่หยวน
ตัวตนที่สามารถสร้างยุคสมัยได้นั้นมันย่อมจะมิใช่ตัวตนที่คนทั่วไปจะเข้าใจ
กองทัพของพวกเขาทั้งหลายถูกเก็บซ่อนมิดชิดและค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ทางด้านทัพบุตรเทวะนั้นกำลังร้อนรุ่ม!
ชายวัยกลางคนชุดฟ้าน้ำเงินคนหนึ่งในทัพบุตรเทวะกล่าวขึ้น “แม่ทัพเทียนซู เรานั้นเอาชนะทัพมนุษย์ครั้งก่อนไปได้แล้ว ยังมีเหตุผลใดให้ต้องมารออยู่ที่นี่อีกหรือ?”
เทียนซูนั้นเป็นผู้อาวุโสอันดับสองของเก้าผู้อาวุโสตระกูลสายเลือดสวรรค์และเป็นแม่ทัพผู้นำทัพบุตรเทวะนี้
หากเย่หยวนอยู่ตรงนี้เขาคงรู้ได้ทันทีว่าคนที่พูดกับแม่ทัพผู้นี้อยู่มันคือหยวนเจี่ยวที่ทำร้ายเขาจนสาหัสในครานั้น!
เวลานี้มิใช่เพียงแค่หยวนเจี่ยวจะฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้งแต่ตัวเขายังก้าวขึ้นมาจนอยู่ในอาณาจักรเต๋าสวรรค์แปดลายขั้นสุดได้
เขานั้นอยู่ห่างจากอาณาจักรเต๋าสวรรค์เก้าลายเพียงน้อยนิด!
หยวนเจี่ยวนั้นเป็นหนึ่งในบุตรเทวะที่ไม่ประสบความสำเร็จแต่ด้วยกำลังที่เหนือล้ำเกินกว่าบุตรเทวะสอบตกคนไหนๆ เขาจึงได้เข้ามารับตำแหน่งเก้าผู้อาวุโสสายเลือดลึก
ส่วนเหล่าบุตรเทวะที่แท้จริงนั้นพวกเขาย่อมจะก้าวขึ้นไปถึงระดับอาณาจักรเต๋าสวรรค์เก้าดาวกลายเป็นยอดขุมกำลังของเผ่าเทวาสิ้น
เวลานี้เมื่อเขาพัฒนาไปได้อีกขั้นเขาจึงได้รับตำแหน่งจากเทียนซู
และกำลังของทัพนี้มันก็มีแต่คนระดับหยวนเจี่ยวกันสิ้น แน่นอนว่ามันย่อมเป็นกองกำลังที่แสนน่ากลัว!
เมื่อเทียนซูได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มตอบกลับมา “วางใจเถอะ มันย่อมจะมีกองทัพใหม่มา! ข้านั้นได้จงใจปล่อยข่าวออกไปแล้วเวลานี้ทัพผสมมันคงเริ่มได้ข่าวนี้กัน! ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายมนุษย์หรืออสูรมันย่อมจะต้องมาช่วยเหลือผู้คน! ไม่เช่นนั้นแล้วพวกมันก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ทิ้งพวกพ้องและถึงเวลานั้นทัพผสมมันก็คงแตกสลายอย่างที่เราไม่ต้องทำอะไร! แน่นอนว่าข้าย่อมจะไม่อยากให้พวกมันมานั่นแหละ”
หยวนเจี่ยวนั้นเบิกตากว้างขึ้นมาก่อนยกนิ้วโป้งสูง “สมเป็นท่านแม่ทัพ! แผนการนี้มันย่อมจะไม่มีทางใดแก้ออกได้! หากพวกมันมามีหรือที่จะต้านทานกำลังทัพบุตรเทวะเราได้? ไม่มาแล้วก็ยิ่งจะทำให้ทัพของพวกมันแตกแยก จิตใจของผู้คนเหินห่าง เราชนะอย่างไม่ต้องทำอะไร!”
แผนการของเทียนซูนี้มันยอดเยี่ยมอย่างเหนือล้ำ
เพราะการปะทะส่วนใหญ่มันย่อมจะเป็นการปะทะของคนระดับต่ำกว่าเจ้าฟ้าดิน
และคนในระดับนี้มันย่อมจะไม่มีใครสามารถต้านทานพลังของทัพบุตรเทวะได้
ส่วนพวกเจ้าฟ้าดินและเต๋าสวรรค์เก้าลายทั้งหลายนั้น พวกเขามีจำนวนน้อยนิดจึงไม่อาจจะลงสนามรบได้ง่ายๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือกำลังการต่อสู้ของพวกเขานั้นมันแสนทรงพลังนำพาความวินาศ เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงศึกตัดสินทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่คิดจะส่งคนระดับนั้นลงมา
แต่แน่นอนว่ามันย่อมมิใช่ว่าไม่มีเจ้าฟ้าดินลงสนามรบ เพียงแค่ว่าหลังปะทะกันไปหลายครา ฝ่ายที่ชนะนั้นล้วนเป็นเผ่าเทวา
สงครามสิ้นโลกครั้งนี้มันยังคงเป็นเพียงชัยชนะของเผ่าเทวาเพียงฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่มมา
เทียนซูยิ้มกว้าง “เพราะฉะนั้นเราจึงต้องนั่งรอเงียบๆ ไปตรงนี้ให้พวกมันมารนหาที่ตาย! มหาค่ายกลปิดคลื่นพลังของท่านเทียนหยูนี้มันมีประโยชน์เสียจริง! จนถึงเวลานี้มันมีเจ้าฟ้าดินมาตรวจสอบมากมายแล้วแต่กลับยังไม่มีใครพบเจอพวกเราเลย!”
ตูม!
ตูม!
ตูม!
…
คำของเทียนซูยังพูดไม่ทันขาดคำมันก็ต้องเกิดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินถล่มฟ้าทลายขึ้นมา
และคลื่นพลังนี้มันได้ปะทะเข้ากับทัพบุตรเทวะอย่างรุนแรง
วินาทีนี้มันจึงเกิดเสียงร้องโหยหวนอย่างไม่อาจห้าม
“ศัตรูบุก!”
“ถอยเร็ว! ศัตรูบุก!”
“พวกมนุษย์กล้ามาลอบโจมตีเรา! พวกมันหาเราเจอได้อย่างไร?”
…
ทัพบุตรเทวะนั้นฝึกฝนกันมาอย่างหนักหน่วงแม้จะถูกการลอบโจมตีแต่พวกเขาก็กลับไม่แตกตื่นใดๆ แม้จะตกใจไม่น้อย!
หลังจากหายตกใจกันแล้วพวกเขาก็เริ่มกลับไปตั้งทัพกันอย่างรวดเร็ว
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือทัพบุตรเทวะนั้นมีจำนวนมากเหนือล้ำกว่า
แม้ว่าจะสูญเสียไปมากจากการถูกลอบโจมตีนี้แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เสียหายหนักหน่วง
แต่คำถามของพวกเขาทั้งหลายนั้นคือ มนุษย์หาพวกเขาเจอได้อย่างไร?
เพราะจะอย่างไรเสียแม้แต่เจ้าฟ้าดินเองก็ยังเคยมาตรวจสอบแต่ก็คว้าน้ำเหลวไป
หยวนเจี่ยวนั้นกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นตะลึง “นี่มัน… มนุษย์เจอพวกเราได้อย่างไร? ที่สำคัญไปกว่านั้นหน่วยสอดแนมเรากลับไม่อาจตรวจพบพวกมันก่อนได้!”
เทียนซูตอบกลับมาด้วยใบหน้าดำมืด “ดูท่าเราจะเจอยอดคนเข้าแล้ว! แต่ไม่ต้องตระหนกไป ต่อให้มันจะเจอพวกเราได้มันก็ย่อมจะไม่มีทางหนีจากพวกเราไปได้!”
พูดจบแล้วเขาก็ปล่อยปราณเทวะของตนออกมาขยายเสียงสั่ง “ทุกคนอย่างได้ตระหนกไป รีบกลับเข้าประจำตำแหน่งรับศัตรู!”
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำสั่งนั้นคนทั้งหลายก็กลับเข้าสู่รูปแบบทัพรับหน้าศัตรูในทันที
ไม่ไกลออกไปนั้นตัวเย่หยวนต้องเบิกตากว้างอย่างชื่นชม
สถานการณ์นั้นมันเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา เวลานี้ตำแหน่งของหลากเผ่าพันธุ์และเผ่าเทวามันได้กลับด้านกัน
อย่างที่เขาว่าธรรมย่อมชนะอธรรม แม้ว่าเผ่าเทวามันจะยังเป็นตัวร้ายฝ่ายอธรรมแต่เวลานี้พวกมันทั้งหลายนั้นกลับเป็นฝ่ายถูกกดขี่แทน
การผงาดของหลากเผ่าพันธุ์นั้นเป็นความอับอายของพวกมัน
ครั้งนี้พวกมันจึงตั้งใจมุ่งมั่นจะกลับมาทวงอำนาจคืน!
เพียงแค่ว่าสงครามสิ้นโลกครั้งก่อนนั้นตำแหน่งผู้ต่อต้านและผู้ปกครองมันสลับตำแหน่งกับตอนนี้
จิตใจมุ่งมั่นของทัพบุตรเทวะนั้นมันมิใช่สิ่งที่ทัพมนุษย์ทั้งหลายจะเทียบเคียงได้!
หากทัพของเขานั้นถูกลอบโจมตีมันคงจะแตกสลายแยกกันไปคนละทิศคนละทาง
แต่ทัพบุตรเทวะนี้กลับสามารถมารวมกลุ่มจัดทัพกันได้อย่างรวดเร็ว
แต่เย่หยวนเองก็เข้าใจว่านี่มันคือการเริ่มต้นเท่านั้น
หากไม่มีการหลั่งเลือดแล้วมีหรือที่จะเกิดยอดฝีมือขึ้นมาได้?
เขานั้นนำคนของตนเองด้วยค่ายกลดาบนิพพานแท้มุ่งบุกเข้าทัพของศัตรู
ค่ายกลดาบนิพพานแท้นั้นมันเป็นเครื่องมือแห่งชัยชนะแต่ภายใต้การต่อสู้ระดับนี้ที่อีกฝ่ายนั้นเป็นยอดฝีมือระดับบุตรเทวะสิ้น การจะกวาดล้างอีกฝ่ายลงมันคงไม่ง่ายดาย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นตัวเย่หยวนก็ยังเหมือนมีดที่คมกริบฝ่าเข้ากลางทัพศัตรู
เขาคนเดียวนี้กลับสามารถเปิดช่องโจมตีได้
ด้านหลังเขานั้นมันตามมาด้วยว่านเจิ้นและผางเจิ้นที่ฆ่าสังหารสุดแรงจนทำให้ฟ้าดินแทบเปลี่ยนสี
ทัพบุตรเทวะนั้นมันยังไม่ทันจัดเสร็จสิ้นก็ถูกเย่หยวนตัดผ่านไป
แต่ว่าขณะที่เทียนซูกำลังสั่งการออกมานั้นจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนมันก็สัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคย
รอยยิ้มชั่วร้ายจึงได้เกิดขึ้นมาที่มุมปากของเขาอย่างไม่อาจห้าม
……………..