Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2471 ไม่ขอลดตัวรับไว
“เจ้านี่มันชั่วร้ายอย่างบ้าคลั่งแท้ กลับกล้าลงมือต่อคนบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องราวถึงมากมายปานนี้!” เย่หยวนหันไปกล่าวต่อฉางเล่อด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม
เพราะเหล่านักหลอมโอสถที่ตายตกลงไปนั้นแทบจะไม่มีใครเคยมีเรื่องบาดหมางใดๆ กับจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อมาก่อน
แต่เจ้าหมอนี่มันกลับสังหารคนลงอย่างเลือดเย็น ความผิดร้ายของเขานี้มันมากมายจนเกินกว่าจะนับ
ด้านฉางเล่อเองก็หรี่ตากัดฟันตอบกลับขึ้นมา “แล้วทำไมข้าต้องไปยอมเป็นหมารับใช้คนอื่นชั่วชีวิตเล่า? ข้าไม่มีทางยอม! ข้านั้น… ไม่อาจยอม! ทุกคนนั้นทำเหมือนข้าเป็นแค่หมารับใช้ของมัน! ข้าที่เป็นศิษย์คนโตนี่กลับมีค่าด้อยเสียยิ่งกว่าศิษย์รุ่นที่สาม! ฮ่าๆๆ… เจ้าพวกที่อวดอ้างว่าเป็นอัจฉริยะทั้งหลายนั้นมันสมควรตายแล้ว! พวกมันมีค่าแค่เป็นหินให้ข้าเหยียบก็เท่านั้น!”
เวลานี้เมื่อความตายมาเยือนใกล้ถึงเต็มทีตัวฉางเล่อจึงได้ปล่อยปลดความอัดอั้นที่เก็บกักไว้นานแสนนานออกมา
เพราะเวลานี้ตัวฉางเล่อเองก็ใจเย็นลงมากแล้ว
เขานั้นมิใช่คนโง่จนจะเชื่อว่าเย่หยวนนั้นจะยังปล่อยให้เขารอดชีวิตไป
เพราะฉะนั้นเขาจึงเลิกที่คิดร้องขอชีวิตใดๆ
เย่หยวนนั้นมองดูฉางเล่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกสงสารใด
คนน่าสงสารนั้นมันย่อมจะมีด้านที่น่าสมเพชอยู่
คนเรานั้นต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ความทะเยอทะยานของฉางเล่อเองก็ยิ่งใหญ่เพียงแค่ว่าวิธีการของเขามันชั่วร้ายเกินรับ
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือเขาเลือกคู่ต่อสู้ผิดไป
เขานั้นไม่ควรจะมาท้าทายเย่หยวน
“มีอะไรจะพูดอีกไหม?” เย่หยวนถามขึ้น
ฉางเล่อหัวเราะขึ้นมาเมื่อได้ยิน “เย่หยวน เจ้านั้นคงได้เห็นถึงยอดเต๋าที่ข้ากลืนกินมาแล้วใช่หรือไม่? ฮ่าๆๆ ตราบเท่าที่เจ้านำมันไปศึกษาต่อแล้วด้วยพรสวรรค์ของเจ้านั้นการจะก้าวขึ้นระดับโอสถเต๋ามันคงแสนง่ายดาย! จักรพรรดิผู้นี้ไม่มีคำใดจะกล่าวอีกแล้ว เจ้าจงรับความทะเยอทะยานของจักรพรรดิผู้นี้ไปสานต่อเสียเถอะ! ฮ่าๆๆ…”
เย่หยวนยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ก็จริง ยอดเต๋ามากมายเช่นนี้มันน่าสนใจไม่น้อยแต่เจ้าเองจะดูถูกเย่คนนี้มากเกินไปแล้ว! เจ้าคิดว่าแค่จะบรรลุระดับโอสถเต๋าข้าต้องพึ่งของเช่นนี้ด้วยหรือ?”
พูดจบเย่หยวนก็ยื่นมือออกมาดึงพลังงานสีดำจนหมุนวนรอบกายเย่หยวนราวกับว่าเป็นลมพายุแห่งความโหยหวน
ร่างกายของเย่หยวนนั้นค่อยๆ เปล่งแสงสีจางออกมา
จากนั้นเขาก็ลูบลือลงบนพายุสีดำนั้นทำให้คลื่นพลังงานบ้าคลั่งมันค่อยๆ สงบลง
เวลานี้ตัวเย่หยวนนั้นมีคลื่นพลังราวพระโพธิสัตว์ที่ลงมาโปรดโลก!
คลื่นพลังหมุนวนนั้นมันย่อมจะเกิดขึ้นมาจากวิญญาณแค้นของคนที่ตายและถูกฉางเล่อกลืนกินมา
แม้ว่าจิตศักดิ์สิทธิ์ของคนทั้งหลายจะถูกกลืนกินไปแต่ความแค้นก่อนตายนั้นมันยังคงฝังแน่น
ไม่ยอมรับ ไม่อยากตาย!
แต่คลื่นพลังจากตัวของเย่หยวนในเวลานี้มันได้ปลอบประโลมวิญญาณทั้งหลายทำให้พวกเขาได้รู้สึกถึงความอบอุ่นอีกครั้ง
“ไม่ต้องกังวลไป ข้านั้นไม่คิดใช้พวกเจ้าบ่มเพาะใดๆ หรอก หากทำเช่นนั้นข้าจะต่างจากมันตรงไหนกันเล่า? เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” เย่หยวนกล่าวขึ้น
วิญญาณแค้นทั้งหลายนั้นค่อยๆ แยกออกจากพายุหมุนปรากฏเป็นร่างหันมาก้มขอบคุณเย่หยวน
แต่ก่อนจะไปนั้นพวกเขาทั้งหลายต่างหันมามองฉางเล่อด้วยความสมเพช
จากนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ค่อยๆ จางหายลงไปกับตา
“ขอบพระคุณนายท่านมากที่ปล่อยให้เราได้กลับสู่วัฏสงสาร!”
“ขอบคุณนายท่าน ข้าน้อยซาบซึ่งยิ่ง!”
“คุณของนายท่านนี้ต่อให้ไปเกิดใหม่ข้าน้อยก็จะขอจดจำมันไว้!”
…
เงาร่างมากมายค่อยๆ แยกตัวออกจากคลื่นพายุและหันมาก้มหัวขอบคุณเย่หยวนตามๆ กัน
กงล้อสีดำของจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อนั้นมันเป็นอะไรที่สุดแสนน่ากลัว หลังจากถูกเขาคนนี้กลืนกินไปแล้ววิญญาณของคนทั้งหลายจะต้องติดอยู่ภายในไม่อาจไปเกิดใหม่ได้อีก
แต่เย่หยวนนั้นปลดปล่อยพวกเขาให้ได้กลับเข้าสู่วัฏสงสารอีกครั้ง
คุณในครั้งนี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะเข้าใจดีว่ามันยิ่งใหญ่ปานใด
ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อนั้นได้แต่ต้องอ้าปากค้างมองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
เขานั้นไม่คิดฝันว่าบนโลกนี้มันจะยังมีใครทนปฏิเสธเส้นทางสู่พลังที่ง่ายดายเช่นนี้อยู่!
ด้วยพรสวรรค์ของเย่หยวนแล้วหากศึกษายอดเต๋าของวิญญาณทั้งหลายนี้การจะบรรลุระดับโอสถเต๋ามันคงง่ายเสียยิ่งกว่าขยับนิ้ว
แต่เขานั้นกลับปล่อยมันทิ้งไป!
“เจ้า… เจ้า…” จักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อนั้นพยายามจะพูดกล่าวแต่ไม่นึกถึงคำพูดใดๆ ได้
เย่หยวนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทน “แน่นอนว่าแม้แต่ตัวข้าก็ยังเกิดโลภขึ้นมาวูบหนึ่งเหมือนกัน เพียงแค่ว่าการจะเอาพวกเขามาใช้เป็นเครื่องมือบ่มเพาะนั้นคนอย่างเย่หยวนนี้ไม่ขอลดตัวไปทำมัน! เจ้าคิดจะใช้พวกเขาทั้งหลายนี้มาทำลายจิตเต๋าข้าหรือ? จะคิดอ่อนหัดเกินไปแล้ว! ที่สำคัญไปกว่านั้น… ด้วยพรสวรรค์ของข้านี้ข้ายังต้องไปพึ่งพาอะไรในการจะบรรลุระดับโอสถเต๋าอีกหรือ?”
คำพูดของเย่หยวนนี้มันเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
สิ่งที่เย่หยวนมั่นใจที่สุดนั้นมันมิใช่วิชายุทธ มันมิใช่วิญญาณโกลาหลดั่งเดิม แต่มันคือเต๋าโอสถเสมอมา!
สิ่งที่ทำให้เขาก้าวเดินขึ้นมาถึงจุดที่อยู่นี้ได้มันมิใช่พรสวรรค์ในวิชายุทธใดๆ แต่เป็นพรสวรรค์ในด้านการโอสถ!
ก่อนนั้นเขาก็เริ่มเข้าสู่ยอดเต๋าด้วยเต๋าโอสถ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เขาสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียน
เส้นทางการผงาดของเขานั้นมันล้วนมีเต๋าโอสถหนุนหลังอยู่เสมอ!
เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความมั่นใจนี้
ที่สำคัญไปกว่านั้นอาณาจักรวิชาการโอสถของเขานั้นมันก็อยู่ห่างจากระดับโอสถเต๋าไปเพียงแค่ก้าว
การขึ้นอาณาจักรโอสถเต๋านั้นมันแค่ขึ้นอยู่กับเวลา
จักรรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อนั้นมีใบหน้าซีดขาวเพราะรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบมันกำลังจะแหลกสลายลงตรงหน้า
เพราะยอดเต๋าของคนทั้งหลายนั้นมันก็เปรียบเป็นดั่งชีวิตของตัวเขาเอง ยอดเต๋าของคนมากมายนี้มันคือยอดเต๋าของเขา
เขานั้นเชื่อว่าหากใครในมหาพิภพถงเทียนนี้ได้เห็น พวกเขาก็คงไม่อาจจะทนความยั่วเย้าของมันได้
แต่เย่หยวนนั้นกลับโยนมันทิ้งเหมือนเป็นแค่ของมือสอง
นี่มันคือความมั่นใจของอัจฉริยะที่แท้จริง!
วินาทีนั้นเองที่มันได้ปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นมาบนอากาศ
โอสถบรรพกาล!
เมื่อเย่หยวนได้เห็นโอสถบรรพกาลตัวเขาก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงมอง
ชายคนนี้คือคนที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเต๋าโอสถ แต่สุดท้ายกลับมาพบเจอจุดจบที่แสนน่าสังเวช
วิญญาณของโอสถบรรพกาลหันมามองดูเย่หยวนด้วยสีหน้าหนักใจ
แต่สุดท้ายเขาก็ยังกล่าวออกมา “เย่หยวน ขอบคุณเจ้ามาก!”
เย่หยวนจึงยกมือขึ้นมาโบกปัด “ไม่ต้องหรอก ความแค้นใดๆ ที่เรามีต่อกันก็ให้มันจบลงเท่านี้แล้วกัน”
โอสถบรรพกาลพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหาฉางเล่อที่นั่งตัวสั่นอยู่ “เจ้าเด็กโง่! เจ้ามันก็คิดอะไรมากเกินไป! หลังจากเฒ่าผู้นี้บรรลุขึ้นระดับโอสถเต๋าไปได้แล้วข้าย่อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าได้ขึ้นสู่ระดับโอสถเต๋าเช่นกัน! เฮ้อ!”
แต่ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อนั้นกลับหัวเราะตอบกลับมา “เลิกวางท่าเป็นคนดีเถอะ! ข้านั้นมันก็เป็นได้แค่หมาตัวหนึ่งในสายตาเจ้า! หลายปีมานี้เจ้าไม่เคยจะหันมาสนใจดูแลข้าสักครั้งด้วยซ้ำ! เวลานี้เจ้ากลับคิดใช้คำพูดสวยหรูมาทำให้ข้ารู้สึกผิดหรือ? หึๆ เจ้าคิดว่าข้าโง่มาก?”
แต่โอสถบรรพกาลนั้นไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองใดๆ “เจ้าคิดหรือว่าเรื่องที่เจ้าทำนั้นมันจะหลุดพ้นสายตาของเฒ่าคนนี้ไปได้? แล้วตอนที่เจ้าลงมือต่อข้านั้นเจ้าคิดว่าข้าจะไม่มีพลังพอต่อต้านใดๆ จริงหรือ? แล้วหากข้าไม่ให้ค่ากับเจ้าแล้วเหตุใดข้าต้องพาเจ้าหนีออกมาจากอาณาจักรทหัยเมฆานั้นด้วยเล่า?”
ฉางเล่อนั้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบกลับมา “ในสายตาของเจ้าข้ามันคงเป็นหมารับใช้ผู้แสนซื่อสัตย์ สั่งงานอะไรได้ง่ายดาย! เลิกพูดจาไร้สาระเถอะ! ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรข้าก็ไม่มีทางเชื่อลมปากของเจ้าหรอก!”
โอสถบรรพกาลจึงตอบกลับไป “เจ้าเด็กโง่นี่ เจ้าคือลูกของเฒ่าผู้นี้! แม้แต่เสือร้ายมันก็ยังไม่กินลูกของตน! เหตุใดเฒ่าผู้นี้ต้องทำร้ายเจ้าด้วย?”
ฉางเล่อที่ได้ยินนั้นหัวเราะลั่นขึ้นมา “ฮ่าๆๆ… เจ้าเฒ่า เจ้าคิดล้อข้าเล่นแล้ว?”
โอสถบรรพกาลจึงตอบกลับไป “ตอนที่เจ้ายังเล็กนั้นเจ้ามีปานรูปใบเมเปิลที่ท้อง เจ้านั้นจะรู้สึกได้ว่ามันร้อนและตนเองมีความเร็วการบ่มเพาะเหนือล้ำกว่าใครๆ หลังจากนั้นมาตอนที่เจ้าและแม่ตกอยู่ในอันตรายเจ้าปานนี้มันก็สังหารศัตรูของเจ้าลงให้ แต่ตั้งแต่นั้นมาปานรูปใบเมเปิลนั้นมันก็จางหายไป…”
คำพูดแต่ละคำที่โอสถบรรพกาลกล่าวขึ้นมานั้นมันทำให้สีหน้าของฉางเล่อเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดๆ
เพราะเรื่องนี้มันเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้!
………………..