Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2511 จากลา
ตูม!
ในที่สุดนั้นรูปปั้นทั้งแปดก็ไม่อาจจะทนรับพลังดาบที่บ้าคลั่งนี้ไว้ได้ไหมจนต้องแตกสลายลงกลายเป็นเสี่ยงๆ
จิตของแปดจอมเทพนั้นเองมันก็แตกดับลงไปพร้อมๆ กันรูปปั้นจนสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
เวลานี้มันได้ปรากฏแสงสีทองสว่างจ้าขึ้นมาในห้วงมิติ
ราวกับว่าห้วงมิติอีกชั้นหนึ่งกำลังจะแตกสลายลง
จนสุดท้ายมิติอันหนาแน่นในบริเวณรอบๆ มันก็แตกสลายลงสิ้น
พร้อมๆ กันปรากฏจุดแสงมากมายพวยพุ่งขึ้นมาจากซากของรูปปั้น
เจ้าจุดแสงทั้งหลายนั้นมันพุ่งขึ้นมาลอยวนไปมาหลายต่อหลายครั้งราวกกับกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่
และไม่นานจากนั้นจุดแสงทั้งหลายมันก็เริ่มจะพุ่งเข้าไปสู่ร่างกายของเหล่าชาวเผ่าเทวาทั้งหลาย
เมื่อได้รับเจ้าจุดแสงนี้เข้าร่างไปดวงตาของชาวเผ่าเทวาทั้งหลายมันกลับแสดงความมึนงงขึ้นมาตามๆ กัน
มันเป็นความมึนงงอย่างสุดจิตใจ!
“นี่มัน… ช่างเป็นความรู้สึกที่ประหลาดนัก! ระดับชั้นบรรยากาศสวรรค์?” เย่หยวนนั้นเงยหน้ามองดูท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่ยังค้างคาในใจ
เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ใช้พลังโจมตีหลายต่อหลายชั้นมาหุ้มค่ายกลดาบเอาไว้จนทำให้พลังของเขาพุ่งทะยานขึ้นไปถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
อาณาจักรระดับนั้นมันเป็นสิ่งที่เย่หยวนไม่เคยคิดฝันมาถึงก่อน!
เย่หยวนนั้นรู้สึกมึนหัวขึ้นมาน้อยๆ!
แต่ว่าก่อนที่เขาจะข้ามไปถึงระดับนั้นมันกลับเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นมาขวางตัวเขาไว้
เย่หยวนเข้าใจได้ทันทีว่านั่นมันคือช่องว่างของอาณาจักร!
เขานั้นยังไม่อาจจะหลุดพ้นจากโซ่ตรวนได้!
บางทีแล้วนี่มันอาจจะเป็นขีดจำกัดพลังของมหาพิภพถงเทียน!
“แล้วคนเราจะขึ้นไปถึงระดับชั้นบรรยากาศสวรรค์ได้อย่างไรกัน?! บางทีผู้อยู่เบื้องหลังของมันผู้นี้อาจจะรู้?”
เมื่อต้องถูกดึงกลับออกมาจากสภาพนั้นตัวเย่หยวนเองก็รู้สึกมึนงงไม่น้อย
เพราะเขานั้นคิดมาเสมอถึงเส้นทางที่จะบรรลุหลุดพ้นจากโซ่ตรวน
แต่การก้าวเดินขึ้นไปถึงระดับนั้นแม้มันจะดูแสนใกล้แต่มันกลับอยู่สุดแสนไกล เพราะว่าตัวเย่หยวนนั้นไม่รู้จะต้องเริ่มมันจากตรงไหน
มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาก้าวขึ้นถึงอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า
เพียงแค่ว่าตอนนี้มันกลับดูไร้สิ้นหนทางมากกว่าตอนนั้น!
เพราะสิ่งที่เขาต้องการจะบรรลุขึ้นไปนั้น มันไม่เคยจะมีใครในมหาพิภพถงเทียนทำได้มาก่อนในระยะเวลานับล้านๆ ปีที่ผ่านมานี้!
เรื่องเช่นนั้นมันจะต้องยากเย็นเพียงใด?
ในเวลานี้จุดแสงหนึ่งมันก็ได้แทรกตัวเข้าไปในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเข้าสู่ร่างของเยวี่ยเมิ่งลี่
เย่หยวนที่ได้เห็นจึงรีบปล่อยร่างของเยวี่ยเมิ่งลี่กลับออกมาทันที
“พี่หยวน ข้า… ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ! ข้า… ไม่อาจจะควบคุมความคิดตนเองได้เลย!” เยวี่ยเมิ่งลี่กล่าวขึ้น
นางนั้นจดจำได้ทุกสิ่งจึงรู้ดีว่าการกระทำของตนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มันสร้างผลกระทบอย่างไรให้แก่เย่หยวน
ความรู้สึกผิด ความโทษตัวเองมันต่างปะทุขึ้นมาในจิตใจของนางอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้
นางนั้นไม่ได้คิดสงสารตัวเองที่ถูกล้างสมองแต่นางนั้นสงสารเย่หยวนที่ต้องมารับมือกับนางในสภาพนั้น
มีเพียงนางคนเดียวนั้นที่จะเข้าใจว่าหลายปีมานี้เย่หยวนต้องอดทนสักแค่ไหน
เย่หยวนนั้นค่อยๆ ยกแขนขึ้นโอบกอดร่างของนางไว้ก่อนจะกล่าวขึ้น “เด็กโง่ มันมิใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย จะขอโทษไปทำไมกันเล่า? คนผิดนั้นมันตายลงไปแล้ว เจ้าอย่าได้โทษว่าตัวเองให้พี่ต้องลำบากใจเลย”
ลี่เอ๋อพยักหน้ารับขึ้นมาแต่ก็ยังไม่อาจจะหยุดน้ำตาที่ไหลรินได้
“พี่หยวน เรื่องของพี่หลินเสวียนั้น…”
เย่หยวนถอนใจยาวออกมาก่อนจะส่ายหัวอย่างชัดเจน
ลี่เอ๋อได้แต่ทำสีหน้าเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกัดริมฝีปากของตนแน่น “ทำไมกัน! ทำไมสวรรค์จึงโหดร้ายเช่นนี้! พี่หลินเสวียนั้นเป็นคนดีงามล้ำแต่ทำไมสวรรค์จึงต้องคิดทำให้นางทรมานปานนี้ด้วย?”
นางนั้นอัดอั้น นางนั้นไม่อยากยอมรับ นางนั้น… สงสารเย่หยวน!
นางติดตามเย่หยวนมานานปีตลอดเส้นทางความเป็นใหญ่ นางนั้นย่อมจะเข้าใจดีอย่างสุดซึ้งว่ามู่หลินเสวียเป็นตัวตนที่สำคัญเช่นใดต่อเย่หยวน
ตั้งแต่ที่เย่หยวนนั้นยังเป็นแค่มดปลวกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จนก้าวขึ้นมาเป็นราชันย์ผู้ครองมหาพิภพถงเทียนนี้ ทุกสิ่งอย่างที่เย่หยวนทำลงไปมันก็เพื่อจะหาทางช่วยเหลือมู่หลินเสวียสิ้น
แต่เขาก็ยังไม่อาจทำสำเร็จ!
แม้ว่าตอนนี้เย่หยวนจะไม่ได้แสดงออกมามากมายแต่นางนั้นรู้ว่าการทำเช่นนี้มันคือการที่เย่หยวนกกำลังปกปิดความเจ็บปวดไว้ภายใน
เย่หยวนนั้นเหม่อลอยเงยหน้ามองฟ้าไกลก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความหนักแน่น “ไม่เป็นไร หากมหาพิภพถงเทียนนี้มันไม่มีวิธีจะช่วยหลินเสวียแล้ว เช่นนั้นพี่ก็จะก้าวข้ามสวรรค์ขึ้นไป! ต่อให้พี่ต้องทำลายเก้าสวรรค์สิบปฐพีพี่ก็จะทำให้หลินเสวียฟื้นคืนมาให้ได้!”
เยวี่ยเมิ่งลี่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง “ม-มันยังมีอะไรอยู่เหนือสวรรค์ไปหรือ?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “มหาพิภพถงเทียนนี้มันเป็นเพียงแค่กรงใหญ่ที่ขังพวกกเราไว้ให้เป็นของเล่นจากน้ำมือของยอดฝีมือเหนือสวรรค์ไป! แปดจอมเทพนั้นเอย สงครามสิ้นโลกนั้นเอย การต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งเต๋าบรรพกาลเอย สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เกมของคนเบื้องบน! ในสายตาของพวกเขานั้นเรายังเป็นแค่มดปลวก!”
เยวี่ยเมิ่งลี่สั่นสะท้านไปทั้งใจสายตาของนางนั้นไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ฟัง
แต่วินาทีเดียวกันนั้นเทียนชิงก็กล่าวขึ้นมาแทรก “ไม่มีทาง! ไม่มีทางแน่! เจ้าพูดเหลวไหล! เผ่าเทวาเรานั้นคือเผ่าที่สวรรค์เลือก เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่เหนือหัวใคร! มันจะยังมีโลกเบื้องบนสวรรค์ไปได้อย่างไรกัน? หากมันมีอยู่จริงทำไมจนป่านนี้ยังไม่เคยมีตำนานว่าใครบรรลุขึ้นไปได้กันเล่า? เจ้าเหลวไหลแล้ว!”
เขานั้นไม่อยากจะยอมรับความจริงและไม่คิดจะยอมรับมัน
การถูกจับเป็นทาสมานานนับหมื่นๆ ล้านปีและได้ตื่นขึ้นมาจากการสะกดนั้น มันไม่แปลกใดที่เขาจะเชื่อในอดีตมากกว่าปัจจุบัน
แต่ว่าในจิตใจลึกๆ ของเขานั้นเขาย่อมจะรู้ถึงความจริงอันโหดร้ายนี้ดี
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าพูดเหลวไหลหรือไม่นั้นเจ้าเองก็รู้แก่ใจมิใช่หรือ? แน่นอนว่าข้านั้นไม่ต้องมาอธิบายใดๆ หรอก เพราะว่าไม่นานเจ้าก็จะได้เห็นมันเองกับตาแล้ว! ลี่เอ๋อ ไปกันเถอะ”
เยวี่ยเมิ่งลี่นั้นพยักหน้ารับก่อนจะตามเย่หยวจากไป
ได้เห็นคนทั้งสองหายลับไปจากสายตาเทียนชิงก็ต้องกำหมัดแน่นขึ้นมา
“ท-ท่านเทียนชิง พ-พวกเราเป็นอะไรกันแน่?” ข้างๆ เทียนชิงนั้นหยวนเซี่ยวก็กล่าวถามขึ้นมาอย่างคนสิ้นสติ
เทียนชิงที่ได้ยินจึงค่อยๆ คลายหมัดออกมาก่อนจะตอบไปด้วยใบหน้าเหยเก “ที่มันพูดมานั้นถูกแล้ว เรา… มันก็แค่กลุ่มคนน่าสงสารเท่านั้น! ข้าได้เข้าใจเสียทีว่าทำไมมันจึงไม่คิดล้างบางทำลายเผ่าเทวาลง!”
…
ณ โถงใหญ่เมืองอินทรีสวรรค์ เวลานี้เยวี่ยเมิ่งลี่ ว่านเจิ้น ลู่เอ๋อ ภูตเพลิง ผางเจิ้น มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้และคนสนิทเย่หยวนอีกมากมายต่างมาประชุมกันพร้อมหน้า
แต่สีหน้าของพวกเขานั้นมันกลับดูไม่ค่อยสู้ดีนัก
เย่หยวนนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “ทุกท่านทั้งหลายโปรดให้อภัยความเห็นแก่ตัวของเย่ผู้นี้ด้วย หายนะครั้งนี้ข้าเป็นคนเรียกมันมา มันก็ควรจะเป็นหน้าที่ข้าจัดการมันเอง! เพียงแค่ว่าหลังจากข้าออกไปแล้วมันคงมีโอกาสกกลับมาได้น้อยนิด ขอให้ทุกท่านดูแลตัวเองจากนี้ไปด้วย!”
“นายท่านพูดอะไรออกมากกัน? นี่มันมิใช่เรื่องของท่านแค่คนเดียวเสียหน่อย มันเป็นเรื่องของนักยุทธทั้งมหาพิภพถงเทียนด้วยกกันสิ้น! ว่านเจิ้นนั้นจะขอติดตามนายท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่!” ว่านเจิ้นนั้นกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
“นายท่าน ผางเจิ้นผู้นี้เองก็เป็นถึงเต๋าบรรพกาลแล้ว! ข้านั้นจะอย่างไรก็คงพอช่วยท่านได้บ้าง! หากนายท่านจะออกไปรับมือศัตรูสุดแสนแกร่งนั้นมีหรือที่ข้าผางเจิ้นจะอยู่เฉยได้?”
ผางเจิ้นนั้นกลายเป็นเต๋าบรรพกาลสายฟ้าไปแล้วและย่อมจะไม่ยอมนอนรออยู่เฉยๆ เมื่อมีศัตรูมาเยือน
ในหมู่คนทั้งหลายที่มาวันนี้มันมีเต๋าบรรพกาลอยู่หลายคนไม่น้อย
นี่คงเรียกได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพิภพถงเทียนแล้วก็ว่าได้
คนทั้งหลายนั้นย่อมจะไม่ยอมและคิดติดตามเย่หยวนออกไปให้ได้
แต่เย่หยวนนั้นกลับส่ายหัวตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “พวกเจ้านั้นไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอกับอะไร! การโจมตีที่รุนแรงสุดตัวของข้านั้นคงไม่อาจจะทำอันตรายใดๆ เขาผู้นั้นได้แม้แต่น้อย! หากพวกเจ้าออกไปนั้นมันคงมีแต่จะออกไปตายเปล่า!”
เมื่อได้ยินคนทั้งหลายก็ต้องสั่นสะท้านเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
การโจมตีรุนแรงสุดตัวของเย่หยวนนั้นรุนแรงแค่ไหนไม่มีใครทราบได้
พวกเขารู้เพียงแค่ว่ามันรุนแรงพอจะเอาชนะทุกสิ่งอย่างบนมหาพิภพถงเทียนนี้ได้!
เพราะว่าพวกเขานั้นไม่อาจจะวัดถึงมันได้เลย!
ดาบของเย่หยวนนั้นมันได้ถูกยกย่องว่าเป็นสิ่งที่คมกริบที่สุดบนมหาพิภพถงเทียนไปแล้ว!
หากการโจมตีสุดตัวของเขานั้นยังไม่อาจจะทำอันตรายอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย เช่นนั้นอีกฝ่ายจะต้องเป็นตัวอะไรกันแน่?
“บัญญัติเทพแห่งถงเทียนและมหาค่ายกลสืบทอดนั้นข้าได้ทิ้งมันไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วสิ้น แต่จะอย่างไรมันก็ต้องมีคนจัดการดูแล! หากข้าพ่ายลงแล้วจริงๆ ข้าก็หวังว่าสักวันมหาพิภพถงเทียนเราจะยังหาทางหลุดพ้นจากมือคนได้ ในวันหน้าหากมีใครที่โชคชะตานำพาให้ก้าวขึ้นมาถึงระดับของข้าได้อีกครั้งพวกเขาย่อมจะต้องหลุดพ้นจากโซ่ตรวนและทลายสวรรค์นี้ลงแน่! เรื่องราวเช่นนี้ข้าไม่อาจจะมอบมันให้คนอื่นจัดการดูแลได้ เป็นพวกเจ้าที่ดูแลมันนั่นแหละจะเหมาะสมที่สุด!” เย่หยวนกล่าวขึ้นมา
“พี่หยวน ท่านไปเถอะ ข้าจะรอท่านกลับมา!” เยวี่ยเมิ่งลี่กล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
แต่ดวงตาของนางนั้นมันเปี่ยมล้นไปด้วยความหนักแน่น
เย่หยวนได้แต่ยิ้มตอบกลับไป
เขานั้นรู้จักลี่เอ๋อดี หากเขาตายลงจริงๆ แล้วตัวลี่เอ๋อเองก็คงไม่คิดจะใช้ชีวิตอีก
..