Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2606 เขาศักดิ์สิทธิ์
“หืม? ทำไมกันเล่า?” เย่หยวนถามขึ้นอย่างสงสัย
แค่ส่งจดหมายท้าดวลมันจะยังมีอะไรยุ่งยากอีก?
เฮ่อหยุนเซียงยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “นายท่าน ระหว่างสามปีที่ท่านเก็บตัวอยู่นี้หกในเก้าเจ้าเมืองที่เหลือนั้นต่างบรรลุขึ้นไปชั้นสองกันสิ้น เวลานี้ในชั้นหนึ่งเหลือเจ้าเมืองรุ่นเก่าอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะผงะไป “พวกเขาไม่คิดจะบรรลุขึ้นไปมานานนับสิบๆ ปีทำไม… เอ๋? เพราะข้าหรือ?”
เฮ่อหยุนเซียงพยักหน้ารับ “จะเพราะเรื่องอะไรได้อีกเล่าท่าน? ข่าวการต่อสู้ของท่านกับจางซุนซิงหยู่มันแพร่กระจายออกไปถึงเมืองทั้งสิบอย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองสะพานนิลและเมฆาหยกตะวันลับนั้นรีบบรรลุขึ้นไปภายในสามเดือน ส่วนเจ้าเมืองอีกสี่คนที่เหลือก็เลือกจะบรรลุขึ้นไปภายในเวลาแค่สองปี”
ที่แห่งนี้มันไม่มีคนโง่เง่าไร้สมอง พวกเขานั้นต่างเป็นถึงยอดฝีมือที่ขึ้นมาปกครองเมืองของชั้นแรกนี้ไว้ได้
การที่เย่หยวนมาท้าทายจางซุนซิงหยู่เช่นนี้มันย่อมจะเป็นสัญญาณว่าพวกเขาเองก็ไม่อาจจะรอดการท้าทายไปได้เช่นกัน
และการต่อสู้นี้มันยังสุดแสนที่จะดุเดือด พวกเขานั้นไม่อยากจะเป็นหินให้เย่หยวนเหยียบหัวเล่น
การต่อสู้อันดุเดือดเดิมพันด้วยชีวิตเช่นนี้หากพลาดไปเพียงนิดแล้วชีวิตก็คงหาไม่
แม้ว่าเหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายนั้นจะเป็นยอดคนมากพรสวรรค์สักเพียงใดแต่พวกเขานั้นก็ยังรู้จักรักตัวกลัวตาย รู้ดีว่าเวลาไหนควรจะออกหน้า รู้ดีว่าเวลาไหนควรจะหลบหาย
ไม่มีใครโง่พอจะไปท้าทายศัตรูที่พวกเขารู้ตัวดีว่าไม่มีทางเอาชนะได้
ทำเช่นนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย!
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะบรรลุขึ้น
‘ท้าทายไม่ได้ ข้าก็หลบได้!’
‘แน่นอนว่าเจ้าสามารถจะบรรลุขึ้นมาตามพวกข้าได้’
‘แต่หลังจากขึ้นไปชั้นสองแล้วศัตรูที่เจ้าเจอคงจะเหนือล้ำไปอย่างมาก ไม่มีเวลามาสนใจพวกข้าทั้งหลายเป็นแน่’
แท้จริงแล้วที่เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายไม่คิดบรรลุขึ้นไปก็เพราะว่าพวกเขาจะได้สุมกำลังอยู่ในชั้นนี้
พวกเขานั้นต้องฝึกฝนกำลังฝีมือให้มากพอจะใช้ชีวิตได้บนชั้นสองจึงจะกล้าบรรลุขึ้นไป
มุมปากของเย่หยวนกระตุกขึ้นทันทีที่ได้ยิน “มันยังเหลือเจ้าเมืองอีกสามคนมิใช่หรือ? ในเมื่อพวกเขานั้นยังไม่บรรลุขึ้นไปก็อย่าได้รอช้า ไปส่งจดหมายท้าดวลเสีย”
เฮ่อหยุนเซียงยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนั้นก็คงไม่ได้! เจ้าเมืองไฟทุ่น เมืองตั้งเมฆาและเมืองเขากล้วยไม้นั้นต่างแสดงออกมาแล้วว่าจะยอมจำนนต่อนายท่าน! นอกจากนี้เหล่าเจ้าเมืองคนใหม่ทั้งหกเองก็ต่างมารอพบท่านอยู่ในเมืองเราสิ้น”
เย่หยวนที่ได้ยินนั้นต้องกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย คนทั้งหลายนี้มันไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย!
จะอย่างไรเย่หยวนก็ไม่อาจจะต่อยหน้าคนที่ก้มหัวให้ได้!
ด้วยนิสัยของเย่หยวนนั้นหากอีกฝ่ายคิดยอมแพ้จำนนแล้ว เขาย่อมจะไม่เหลืออารมณ์ไปรังแกพวกเขาอีก
แต่ว่าเย่หยวนนั้นก็ได้เข้าใจอีกครั้งว่าแดนเนรเทศนี้มันไม่มีคนหลงตัวเอง ทุกคนอยู่กับความเป็นจริง
หากเจ้าแข็งแกร่ง คนทั้งหลายก็พร้อมจะคุกเข่าให้!
เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงต้องสั่งออกมา “เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไปเรียกพวกเขามาคุยหน่อย”
…
“เจ้าเมืองไฟทุ่น หลินถงขอคารวะนายท่านเย่หยวน!”
“เจ้าเมืองตั้งเมฆา เว่ยเซียงขอคารวะนายท่านเย่หยวน!”
“เจ้าเมืองเขากล้วยไม้ ซูเว่ยชิงขอคารวะนายท่านเย่หยวน!”
…
เมื่อเจ้าเมืองทั้งสามนั้นแนะนำตัวแล้วเหล่าเจ้าเมืองรุ่นใหม่ทั้งหกคนเองก็ต่างลงมาคุกเข่าคารวะเย่หยวนตามๆ กัน
นี่มันเท่ากับว่าเย่หยวนนั้นสามารถสยบแดนเนรเทศชั้นหนึ่งลงได้อย่างหมดสิ้นแล้ว!
เย่หยวนหันไปมองหน้าคนทั้งหลายก่อนจะพบว่าพวกหลินถงทั้งสามนั้นแท้จริงแล้วกลับมีคลื่นพลังที่รุนแรงมาก ดูแล้วแข็งแกร่งกว่าไประดับหนึ่งด้วยซ้ำ
เย่หยวนที่ได้เห็นจึงอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “เดิมทีข้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งสามที่ไม่ยอมบรรลุขึ้นไปนั้นจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่เจ้าเมืองรุ่นเก่า แต่ดูท่า… มันคงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดแล้ว!”
หลินถงก้าวออกมากล่าว “ที่นายท่านว่ามันก็ถูก! พวกเราทั้งสามนั้นเป็นสามอันดับต้นของเจ้าเมืองรุ่นเก่า! ตัวจางซุนซิงหยู่นั้นเป็นอันดับสี่!”
การจัดอันดับนี้มันมีแต่ตัวเจ้าเมืองทั้งสิบเท่านั้นที่รู้
เวลานี้หลินถงกล่าวออกมามันจึงทำให้คนทั้งหลายต้องอ้าปากค้าง
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็ถามขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมพวกเจ้าถึงเลือกจะมาคุกเข่าต่อหน้าข้าและไม่บรรลุขึ้นไปเล่า?”
หลินถงตอบกลับมา “นายท่านสามารถบรรลุสำเร็จแปลงยอดเต๋าได้ ทั้งยังบรรลุขึ้นชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยขั้นสุดด้วยเวลาแสนสั้น พวกเราย่อมจะไม่มีทางเทียบเคียงได้แล้ว แต่จะให้บรรลุไปทั้งอย่างนี้พวกเราก็ยังไม่อยากจะยอมรับมัน”
เย่หยวนเอียงคอถามกลับไป “พวกเจ้าเองก็คิดอยากฝึกแปลงยอดเต๋า?”
หลินถงนั้นไม่คิดปกปิดใดๆ พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว! เหตุผลที่พวกเราเหล่าเจ้าเมืองทั้งสิบคิดถกเต๋ากันทุกปีมานั้นมันก็เพื่อที่จะบรรลุสำเร็จแปลงยอดเต๋านี่เอง! ด้วยพรสวรรค์ของนายท่าน ท่านเองก็น่าจะเข้าใจว่ารากฐานนั้นมันคือสิ่งสำคัญเพียงใดสำหรับนักยุทธ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงยังไม่อยากบรรลุจนกว่าจะทำมันได้สำเร็จ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะมั่นใจว่าตนเองไร้พรสวรรค์จนเกินจะบรรลุมันได้จริงๆ!”
ความคิดเช่นนี้เย่หยวนย่อมจะเข้าใจมันได้ดี
พวกหลินถงทั้งสามยอมที่จะแบกรับความอับอายมาก้มกราบคารวะเขาเป็นนาย ไม่ยอมบรรลุขึ้นชั้นต่อไปเพราะว่าพวกเขาต้องการเส้นทางยุทธที่มั่นคงกว่านี้
แต่ว่าคำพูดของหลินถงมันก็ทำให้เย่หยวนได้เห็นถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง
แดนเนรเทศนี้มันมีการเปลี่ยนเจ้าเมืองกันแทบตลอด
ย่อมจะมีคนมากมายที่คิดหยุดตัวเองไว้ที่ชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยขั้นสุดและค่อยสัมผัสพลังแห่งกฎแห่งยอดเต๋าไปอย่างพวกหลินถงนี้
หรือจะบอกว่าหลายต่อหลายปีที่ผ่านๆ มานี้มันไม่เคยมีใครบรรลุสำเร็จแปลงยอดเต๋าได้เลย?
มันย่อมจะไม่มีทาง!
เย่หยวนนั้นไม่เคยสงสัยในพรสวรรค์ของตัวเอง แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนอื่นๆ จะอ่อนแอไร้พรสวรรค์กว่าเขาจนหมดสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแดนเนรเทศนี้แล้ว คนที่มีชีวิตรอดได้ย่อมจะสามารถดึงเอาพรสวรรค์ที่มีทั้งหมดออกมาใช้ได้
คิดมาถึงตรงนี้เย่หยวนก็ถามขึ้นอย่างมีหวัง “เช่นนั้นแล้วในชั้นหนึ่งนี้มันยังมีใครที่บรรลุสำเร็จแปลงยอดเต๋าบ้างหรือไม่?”
หลินถงตอบกลับมา “แน่นอนว่ามี! แท้จริงแล้วมีไม่น้อยเลยด้วย!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขึ้นมา คิดว่าตัวเองคิดถูกแน่แล้ว!
“อ่า ที่ใดเล่า? บอกข้ามา!” เย่หยวนกล่าวขึ้น
หลินถงจึงตอบกลับไป “ณ แดนเหนือสุดนั้นมันมียอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดปีนามเขาคาบเมฆอยู่ ที่แห่งนั้นมันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของแดนเนรเทศชั้นหนึ่งนี้! มีเพียงเหล่านักยุทธที่บรรลุสำเร็จแปลงยอดเต๋าเท่านั้นที่จะก้าวขึ้นไปบนเขาลูกนั้นได้!”
เย่หยวนที่ได้ยินจึงผงะหลังไป “เช่นนั้นที่พวกเจ้ายังอยู่ชั้นหนึ่งกันนี้คงเพื่อจะไปยังเขาคาบเมฆแล้ว?”
หลินถงพยักหน้ารับ “นายท่านฉลาดยิ่ง มันเป็นเช่นนั้น!”
เจ้าเมืองรุ่นใหม่ทั้งหกคนนั้นต่างอ้าปากค้างขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน พวกเขานั้นไม่ได้รู้เลยว่าในชั้นหนึ่งนี้มันกลับจะยังมีสถานที่เช่นนั้นอยู่!
และสิ่งที่เจ้าเมืองทั้งหลายแสวงหานั้นมันก็คือสุดยอดของสุดยอดพลัง!
สิ่งที่น่าขันที่สุดก็คือพวกเขานั้นกลับคิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือในเมืองมาตลอด ที่แท้แล้วพวกเขาเป็นได้แค่กบในกะลา!
แต่เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นมา “เช่นนั้นแล้วจะยังรออะไรกันอยู่เล่า! นำทางไปสิ!”
หลินถงนั้นผงะไปก่อนจะรีบกล่าวขึ้นขัด “นายท่าน เรานั้นไม่เคยสำเร็จแปลงยอดเต๋าได้และไม่มีสิทธิจะเข้าไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์ คนที่ฝ่าฝืนจะตายสถานเดียว!”
เย่หยวนยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยิน “หากข้าบอกว่าเจ้าไปได้เจ้าก็ย่อมไปได้! เขาศักดิ์สิทธิ์บ้าบออะไรกัน มันก็แค่เหล่านักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยขั้นสุดกันทั้งนั้น! หากมันรู้ว่าอะไรดีก็แล้วไป หากมันไม่รู้จักดีชั่ว ข้าก็จะให้มันได้รู้ว่าข้าพร้อมจะฆ่าล้างเขามันลง! อยากจะรู้เหลือเกินว่าเขาคาบเมฆ ของพวกยังจะกล้าเรียกตัวเองเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ใดๆ อีก!”
เย่หยวนไม่ชอบเรื่องเช่นนี้มาก อีกฝ่ายนั้นสุดท้ายก็เป็นแค่นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยแท้ๆ แต่กลับมาวางท่าอวดเก่งเหนือหัวผู้คน
ใครจะไปกลัว!
เย่หยวนผู้นี้สามารถจัดการคนทั้งนิกายสวรรค์ยุทธมั่นให้ลงไปนอนชักได้ มีหรือที่จะยังต้องมากลัวกลุ่มกองกำลังนักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยกลุ่มหนึ่ง?
คิดจะมาอวดอ้างตัวเองต่อหน้าเขานั้น อย่างน้อยๆ ในชั้นหนึ่งของแดนเนรเทศนี้มันก็ไม่มีใครทำได้!
เมื่อพวกหลินถงทั้งสามได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็ต้องอ้าปากค้างขึ้นมาตามๆ กัน
เจ้าหมอนี่มันโอหังจนเกินรับ!
คนเช่นนี้อยู่รอดมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไรกัน?
เพราะจะอย่างไรเสียเหล่ายอดฝีมือบนเขาคาบเมฆนั้นมันก็มีหลายคนที่บรรลุแปลงยอดเต๋ามาได้นับพันๆ ปีแล้ว กำลังของพวกเขาเหนือล้ำจนไม่อาจจะคาดเดาได้
แต่เจ้าบ้านี่กลับไม่คิดจะสนใจเกรงกลัวใดๆ บนเขาคาบเมฆแม้แต่น้อย!