Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2632 โน้มน้าว!
ปลาย่างนั้นมันกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้!
เวลานี้แม้แต่ต้องหวู่เฉิงเฉาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อในภาพตรงหน้านี้เช่นกัน
แค่ดูสีหน้าตกตะลึงของเขานั้นมันก็พอจะบอกได้ชัดเจนแล้ว
“ข-ข้าเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” หวู่เฉิงเฉานั้นก้มลงมองดูมือของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
เย่หยวนยิ้มขึ้นมา “มันมิใช่ว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่เป็นพวกเขาที่อ่อนแอ! เวลานี้ฝีมือของเจ้ามันย่อมจะยังไม่ถึงระดับของเหล่านายห้างที่ข้าไปท้าทายเสียด้วยซ้ำ!”
ได้ยินเช่นนั้นแม้แต่ตัวฉีเหยียนเองก็ยังต้องกัดฟันแน่นขึ้นมาด้วยความคับแค้นใจ
แต่คิดดูอีกทีแล้วคำพูดของเย่หยวนมันก็มีแต่ความจริงสิ้น
เทียบกับคนอย่างเย่หยวนหรือชางหยงหนิงนั้นแล้ว พวกเขาทั้งหลายย่อมจะเป็นได้แค่ขยะ
เพราะจะอย่างไรเสียเขานั้นก็เป็นถึงนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่แล้วแต่กลับไม่อาจจะหลอมโอสถสวรรค์ให้มีคุณภาพสูงเทียบเท่ากับนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสองนี้ได้
แค่นี้มันก็ชัดเจนถึงช่องว่างความต่างของฝีมือแล้ว
เย่หยวนนั้นหันไปมองต้วนหยงชุนก่อนจะถามขึ้น “ผู้อาวุโสต้วน ทีนี้เจ้าพอใจหรือยังกับคำอธิบายนี้?”
ต้วนหยงชุนนั้นตอบกลับมาด้วยใบหน้าดำมืด “มันจะอธิบายอะไรได้?”
เย่หยวนที่ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับไป “ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เข้าใจ เพราะเช่นนั้นแหละข้าถึงได้เรียกเจ้าว่าโง่!”
“เจ้า!” ต้วนหยงชุนแทบจะไม่อาจห้ามตัวเองได้
แต่เย่หยวนนั้นไม่คิดสนใจและหันมากล่าวต่อหน้าคนทั้งหลายด้วยท่าทางจริงจัง “ที่เรียกพวกท่านทั้งหลายว่าโง่นั้นมันอาจจะฟังดูเลวร้ายไปหน่อยแต่มันก็คือความจริงที่เกิดขึ้นนี้!”
คำพูดเดียวนั้นมันทำให้เหล่าผู้อาวุโสมากมายทำหน้าเหยเกออกมา
แต่ว่าเย่หยวนนั้นกลับไม่คิดสนใจและตอบกลับไป “ทำไมพันธมิตรโอสถนั้นถึงขายโอสถสวรรค์ให้พวกท่านแต่กลับไม่คิดเปิดเผยวิชาความรู้เกี่ยวกับการโอสถออกมา? หากมิใช่เพราะบุตรศักดิ์สิทธิ์นั้นออกมาประลองกับข้าแล้วพวกท่านเหล่ายอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์จักรพรรดิหยกทั้งหลายนั้นจะรู้จักระดับแท้กันหรือไม่? ท่านลองใช้สมองคิดดูบ้างเถอะว่าทำไมมันถึงทำเช่นนี้ จะมองมุมไหนมันก็ไม่ชอบมาพากลทุกมุม!”
“ความขัดแย้งระหว่างผู้บรรลุสวรรค์และผู้คนท้องถิ่นนั้นมันเป็นอะไรที่มีอยู่มาแสนนาน หากโฉปู้ฉุนนั้นมีความคิดเช่นเดียวกันกับพวกท่านทั้งหลาย คิดหวังจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขกับคนท้องถิ่นแล้วมันก็คงไม่มีดินแดนสวรรค์ห้าแสงขึ้นมาในวันนี้! หรือว่าพวกท่านทั้งหลายนั้นคิดว่าตัวเองกลายเป็นคนท้องถิ่นไปแล้ว? เพียงแค่ว่าพวกท่านคิดว่าตัวเองเป็น แต่พวกเขาทั้งหลายนั้นจะยอมรับพวกท่านเป็นพวกเดียวกันหรือ?”
คำพูดของเย่หยวนนั้นมันเปี่ยมล้นไปด้วยความเย้ยหยัน
คำพูดนั้นมันโหดร้ายเย็นชาแต่เหตุผลนั้นกลับหนักแน่นถูกต้อง
เพราะว่าเหตุผลที่คนทั้งหลายยังเป็นเช่นนี้กันมันก็เพราะว่าพวกเขาคิดแบบนี้จริง
พวกเขานั้นย่อมจะไม่คิดว่าตัวเองกลายเป็นคนท้องถิ่นใดๆ แต่เพียงแค่ว่าความสงบสุขอันยาวนานมันทำให้จิตใจของพวกเขาผ่อนคลายความกังวลลงไปมาก
พวกเขานั้นมิใช่เหล่าผู้บรรลุสวรรค์ในตอนก่อนนั้นแล้ว!
เหตุผลที่เหล่าผู้บรรลุสวรรค์เก่งกาจนั้นหนึ่งมันเป็นเพราะว่าเส้นทางของพวกเขาจนกว่าจะบรรลุสวรรค์ขึ้นมาได้นั้นมันเต็มไปด้วยภัยร้ายและขวางหนามและอย่างที่สองก็คือสภาพของทวีปพิรุณใสนี้
สี่ยอดแดนสวรรค์นั้นมันต่างมีแต่คนที่ไม่เป็นมิตรกับผู้บรรลุสวรรค์ทั้งหลาย ทำให้เหล่าผู้บรรลุสวรรค์ขึ้นมานั้นต่างต้องบีบบังคับตัวเองให้รับมือคนทั้งหลายนั้นให้ได้
แต่โฉปู้ฉุนนั้นได้เอาชนะและยึดครองดินแดนหนึ่งมาเป็นที่พักให้แก่ผู้บรรลุสวรรค์ได้
เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายจึงเริ่มที่จะใช้ชีวิตกันอย่างสบายใจไร้ความเครียดกังวลมากขึ้น
เหล่าคนที่คิดเหมือนต้วนหยงชุนนั้นต่างมองเรื่องราวด้วยมุมมองของคนที่ไม่คิดอะไรมากมายเช่นนี้
“หึๆ ที่น่าขันที่สุดนั้นก็คือนิกายสวรรค์ทั้งห้าที่ควรเป็นกิ่งก้านจากต้นตอเดียวกันนั้นกลับปล่อยให้นิกายสวรรค์ยุทธมั่นถูกพันธมิตรโอสถคว่ำบาตรไปอย่างไม่คิดทำอะไร ไม่มีนิกายไหนที่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ! ดูท่าการที่นิกายสวรรค์ยุทธมั่นถูกทำลายลงไปนั้นมันคงทำให้พวกท่านทั้งหลายได้ประโยชน์มากล่ะสิ? แต่พวกท่านเคยคิดหรือบ้างว่านี่แหละคือวิธีที่พันธมิตรโอสถมันจะใช้ในการทำลายดินแดนสวรรค์ห้าแสงลง? วันนี้เป็นตาของนิกายสวรรค์ยุทธมั่น วันพรุ่ง… มันอาจจะเป็นตาของนิกายสวรรค์หมื่นช้างก็ได้?”
คำพูดนี้มันทำให้เหล่าเจ้านิกายทั้งหลายได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมา
เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขากล้าจะตัดขาดจากพันธมิตรโอสถนั้นมันก็เพราะการผงาดของเย่หยวน
หากมิใช่เพราะเรื่องนี้แล้วพวกเขาก็คงไม่อาจจะตัดสินใจเด็ดขาดได้
ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นย่อมจะสนใจแต่ประโยชน์ของตนเองและไม่คิดเข้าไปหาเรื่องใส่ตัว
แต่เย่หยวนและชางหยงหนิงนั้นประลองโอสถกันอย่างยิ่งใหญ่จนพวกเขาไม่อาจจะปล่อยมันผ่านไปได้เช่นกัน สุดท้ายจึงได้เลือกจะตัดขาดกับพันธมิตรโอสถไป
เย่หยวนนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเย้ยหยัน “ใช่แล้ว! การตัดขาดจากพันธมิตรโอสถในตอนนี้มันอาจจะทำให้เราต้องเจ็บไปนาน! แต่ว่าหากไม่ยอมเจ็บเพื่อตัดเนื้อร้ายนี้ทิ้งไปแล้ววันหน้าผู้บรรลุสวรรค์เราก็จะไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตา! ใช่ เวลานี้ข้าอาจจะยังไม่มีพลังพอเอาชนะผู้นำพันธมิตรโอสถนั้น! แต่ใครกล้ารับรองเล่าว่าวันหน้าข้าจะไม่อาจเอาชนะมันลงได้? หากบุตรศักดิ์สิทธิ์มันก้าวขึ้นเป็นใหญ่แล้วพวกท่านเคยคิดหรือไม่ว่ามันจะมีผู้บรรลุสวรรค์นักหลอมโอสถสวรรค์คนใดก้าวขึ้นมาเอาชนะเขาได้บ้าง?”
“ส่วนเรื่องของนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่นั้นเองก็มิใช่เรื่องใหญ่โตใดๆ! พวกท่านนั้นได้เห็นแล้วว่าฝีมือของหวู่เฉิงเฉาเป็นอย่างไร! ข้ามั่นใจว่าจะทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ระดับสี่ได้ภายในสิบปี! ที่สำคัญไปกว่านั้นเรายังมีผู้อาวุโสฉีเหยียนและผู้อาวุโสตงหรุยทั้งสองคนนี้อยู่ด้วย พวกเขานั้นมีพลังบ่มเพาะมากพอแล้วที่เหลือก็แค่รากฐานที่ยังไม่แน่นหนาเท่านั้น ตราบเท่าที่พวกเขาเข้าไปเรียนรู้ที่ศาลาโอสถเรา เย่ผู้นี้ขอรับรองได้เลยว่าข้าจะทำให้พวกเขาหลอมโอสถสวรรค์ได้คุณภาพสูงล้ำไม่แพ้ของพันธมิตรโอสถภายในเวลาสามสิบปี!”
คำพูดนี้มันทำให้เหล่าเจ้านิกายทั้งห้าต่างผงะไปตามๆ กัน!
เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขาอยากจะฟัง!
เพียงแค่ว่าในความคิดของพวกเขานั้นต่อให้เย่หยวนจะเก่งกาจแค่ไหนแต่การจะทำให้คนอื่นๆ ก้าวขึ้นไปถึงระดับของเย่หยวนได้นั้นมันย่อมจะมิใช่เรื่องง่ายดาย
“ผู้อาวุโสเย่ นี่พูดจริงหรือ?” หยางเจี๋ยนั้นอดถามขึ้นไม่ได้
“ใช่แล้วผู้อาวุโสเย่ ท่านจะมาล้อเล่นต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ผู้อาวุโสเช่นนี้ไม่ได้นะ!” เฟิงซวนยี่กล่าวขึ้นมาด้วยความกังวล
เวลานี้แม้แต่ฉีเหยียนเองก็ยังรู้สึกกังวลจนต้องถามขึ้น “ผู้อาวุโสเย่ ฉีคนนี้จะทำได้จริงหรือ?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ผู้อาวุโสฉี ท่านไม่ต้องถ่อมตัวให้มากไปหรอก! แท้จริงแล้วท่านทั้งสองนั้นก็แค่ถูกพันธมิตรโอสถมันหลอกตาเท่านั้น! ภายใต้ความรู้ที่ตื้นเขินเช่นนี้พวกท่านกลับยังก้าวขึ้นไปถึงระดับสี่ได้ แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าพวกท่านนั้นมากพรสวรรค์เพียงใด มันอาจจะเหนือล้ำกว่าเหล่าผู้อาวุโสของพันธมิตรโอสถทั้งหลายนั้นไปเสียด้วยซ้ำ! เพียงแค่ว่าพวกท่านนั้นไม่รู้วิธีฝึกฝนที่ถูกต้อง! ตราบเท่าที่พวกท่านเข้าศาลาโอสถมาแล้วเย่ผู้นี้ขอรับรองเลยว่าพวกท่านจะพัฒนาไปได้ราวเกิดใหม่ในเวลาสามสิบปีนี้!”
เย่หยวนนั้นย่อมจะไม่คิดกล่าวโม้เกินตัวใดๆ เพราะแท้จริงตัวเขาเองก็ตื่นตะลึงในการหลอมโอสถของฉีเหยียนไม่น้อยเช่นกัน
หวู่เฉิงเฉานั้นมีพรสวรรค์ไม่น้อย
แต่พรสวรรค์ของฉีเหยียนนั้นมันเหนือล้ำกว่าหวู่เฉิงเฉาไปมาก
สิ่งใดที่หวู่เฉิงเฉาทำได้ ฉีเหยียนย่อมจะทำได้เช่นกัน ทั้งยังจะใช้เวลาไม่มากเลยด้วย
เหมือนอย่างเช่นโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับหนึ่งนั้นที่เย่หยวนต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปีกว่าที่จะฝึกฝนให้มันบรรลุขึ้นไปถึงระดับสุด
แต่ฉีเหยียนนั้นอาจจะทำได้หลังจากฝึกฝนไปเพียงแค่ไม่กี่เดือน
ขอเพียงแค่เขารู้วิธีการฝึกที่ถูกต้อง
คำพูดนี้มันทำให้ฉีเหยียนหัวใจเต้นแรงราวกับสาวน้อยแรกรุ่น
ฉีเหยียนรีบก้มหัวตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลใด “ได้ ข้าจะขอเข้าร่วมศาลาโอสถ!”
ในเวลาเดียวกันนั้นเองตงหรุยก็ลุกขึ้นมากล่าวตาม “เฒ่าคนนี้เองก็จะขอเข้าร่วมศาลาโอสถ!”
เมื่อสองนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ทั้งสองคนประกาศร่วมศาลาโอสถออกมาแล้วน้ำหนักของเรื่องมันจึงยิ่งไม่อาจขยับได้อีก!
สำหรับเหล่าผู้บรรลุสวรรค์แล้วนั้นตำแหน่งของคนทั้งสองนั้นมันย่อมจะใหญ่โตยิ่ง
ในนิกายนั้นปากเสียงของคนทั้งสองมันหนักแน่นไม่แพ้เสียงของเจ้านิกาย
หยางเจี๋ยหันหน้ามองดูคนทั้งหลายก่อนจะถามขึ้นมา “ใครคิดขัดอีกหรือไม่?”
ต้วนหยงชุนนั้นได้แต่อ้าปากเหมือนคิดอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ต้องหุบปากลง
“เอาล่ะ! เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้! จากวันนี้ไปเราห้ายอดนิกายสวรรค์จะร่วมมือกันขับอำนาจของพันธมิตรโอสถออกไปให้พ้นจากดินแดนสวรรค์ห้าแสง! นอกจากนั้นแล้วเราจะยังช่วยเหลือการพัฒนาของศาลาโอสถอย่างเต็มที่! เย่หยวน หากศาลาโอสถเจ้ามีอะไรที่ต้องการเจ้าจงกล่าวบอกมา! แต่หากวันนี้คำพูดของเจ้ามันเป็นแค่ลมปากไร้ความจริงแล้ววันหน้าก็อย่ามาหาว่าเจ้านิกายผู้นี้โหดร้ายแล้วกัน!” หยางเจี๋ยประกาศผลของการประชุมขึ้น