Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2913 กวาดล้างทั้งนิกาย!
พวกลู่หยานทั้งสามนั้นเรียกได้ว่าไร้พรสวรรค์อย่างแท้จริง
คนทั้งสามนั้นต้องกินโอสถจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์โรจน์ลงไปถึงสิบเก้าเม็ดกว่าที่จะบรรลุขึ้นมหาจักรพรรดิมาได้
ช่างเป็นการใช้โอสถสวรรค์ระดับลึกล้ำอันล้ำค่าอย่างสิ้นเปลืองนัก!
แต่จะอย่างไรเสียตอนนี้นิกายโอสถประเสริฐมันก็มียอดฝีมือมหาจักรพรรดิมากขึ้นเป็นสี่คนแล้ว กำลังของพวกเขานั้นมันย่อมจะก้าวกระโดดขึ้นอย่างมาก
มหาจักรพรรดิจริงๆ และมหาจักรพรรดิครึ่งก้าวนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
ต่อให้เย่หยวนจะเป็นยอดคนแค่ไหนมันก็ไม่มีทางที่จะกระโดดข้ามระดับมหาจักรพรรดินี้ไปได้
ส่วนจักรพรรดิเที่ยงคนอื่นๆ เองก็ต่างพัฒนาฝีมือขึ้นไปอีกมาด้วยโอสถที่เหลือของเย่หยวน
ตอนนี้ทั้งนิกายโอสถประเสริฐนั้นนับถือเย่หยวนเหมือนดั่งเป็นเทพเจ้า
เย่หยวนนั้นอยู่ในนิกายโอสถประเสริฐไปอีกยาวนานถึงสามปี
สามปีที่ผ่านไปนั้นเย่หยวนใช้เวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาเลือดต้นและกำเนิดเทพระดับสาม
ตอนนี้เย่หยวนสามารถผสานเลือดต้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดาบเต๋าได้แล้ว
เขานั้นสามารถใช้พลังคลื่นกำเนิดออกมาได้แต่ว่าเขานั้นแค่สามารถใช้มันได้ ไม่อาจจะเข้าใจถึงที่มามันได้เลย
เหมือนดั่งคนที่รู้วิธีจุดไฟแช็กแต่ไม่รู้ว่าทำไมไฟแช็กถึงสร้างไฟออกมาได้
เลือดต้นนั้นเองก็สร้างขึ้นมาจากพลังที่ดั่งเดิมเป็นต้นกำเนิดของสวรรค์พลังของมันย่อมจะไม่ได้ด้อยไปกว่า ห้วงมิติกำเนิดเลย!
การที่เย่หยวนสามารถเข้าถึงพลังกำเนิดได้ตั้งแต่เวลานี้มันย่อมจะทำให้เขาตื่นเต้นมาก
ด้วยดาบเต๋าเป็นตัวกลางนั้นมันทำให้เขาสามารถเข้าใจถึงเลือดต้นได้อย่างรวดเร็ว
การเรียนรู้พลังคลื่นกำเนิดนั้นมันไม่มีทางลัด
แต่เย่หยวนกลับเจอทางลัดนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เย่หยวนต้องปวดหัวนั้นมันคือกำเนิดเทพระดับสามนั้นต่างหาก
เผ่าวิญญาณนั้นมีสามสุดยอดวรยุทธและสามสุดยอดสมบัติ พวกมันนั้นคือของล้ำค่าของสามสิบสามสวรรค์
กำเนิดเทพระดับสามนั้นมันเป็นคอขวดที่ยิ่งใหญ่ยากยิ่ง
ระดับสามนี้มันมีแต่มหาจักรพรรดิของเผ่าวิญญาณเท่านั้นที่เรียนรู้ได้
และกำเนิดเทพนั้นคือสุดยอดวรยุทธของเผ่าวิญญาณ มันย่อมยากกว่าวรยุทธใดๆ
เย่หยวนนั้นสามารถบ่มเพาะมันมาจนถึงระดับสองขั้นสุดได้อย่างง่ายดาย
แต่ครั้งนี้เขามาติดคอขวดจริงๆ เข้าแล้ว
ความสงบสามปีนั้นมันได้จบลงด้วยการมาถึงของทูตวิญญาณ!
“ขอคารวะท่านทูตวิญญาณ!”
หวังจุนและศิษย์ทั้งหลายของนิกายโอสถประเสริฐนั้นก้มลงกราบกลุ่มคนตรงหน้า
ทูตวิญญาณคนนี้มันเป็นแค่จักรพรรดิเที่ยงขั้นสุดแต่ว่าเหล่ามหาจักรพรรดิทั้งหลายนั้นต่างต้องก้มกราบเขา มันช่างเป็นการกดขี่ที่โหดร้ายนัก
“อืม”
ทูตวิญญาณคนนั้นไม่คิดจะปล่อยให้คนทั้งหลายได้เงยหน้าปล่อยให้พวกหวังจุนก้มหัวอยู่อย่างนั้น
แต่ตอนนี้มหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์อีกคนหนึ่งได้ก้มหน้าลงมามองพวกลู่หยานทั้งหลายด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก
คนผู้นี้มานามว่าจางจั่วซานเป็นเจ้านิกายเมฆาผงาด
หากจะพูดถึงนิกายเมฆาผงาดแล้วพวกเขานั้นเป็นหนึ่งในนิกายใต้การปกครองของนิกายโอสถประเสริฐเมื่อก่อนคนที่แข็งแกร่งที่สุดยังเป็นแค่จักรพรรดิเที่ยง
เทียบกับนิกายโอสถประเสริฐในสมัยก่อนแล้วนิกายเมฆาผงาดนั้นย่อมจะเหมือนมดปลวก
แต่สถานการณ์นั้นมันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตอนนี้นิกายเมฆาผงาดมีมหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ถึงสามคนและยังมีมหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ขั้นกลางอยู่คนหนึ่งด้วย กำลังของพวกเขานั้นเหนือล้ำกว่านิกายโอสถประเสริฐไปหลายเท่านัก
แท้จริงแล้วทางเผ่าวิญญาณเองก็ไม่ได้เกณฑ์กำลังมนุษย์อย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ
พวกเขานั้นตัดกำลังคนเก่งไปเพิ่มกำลังคนอ่อน
แน่นอนว่าเวลาที่คิดจะเกณฑ์กำลังมันย่อมจะต้องดึงจากนิกายใหญ่ก่อนๆ
นี่มันคือเทคนิคการผลัดกำลังให้นิกายพวกหนึ่งแข็งแกร่งและนิกายอีกพวกอ่อนแอลง
พวกที่ถูกดึงกำลังออกไปนั้นย่อมจะเกลียดชังเผ่าวิญญาณจนถึงแก่น
แต่พวกที่ถูกเลี้ยงดูนั้นย่อมจะซาบซึ้งคุณเผ่าวิญญาณอย่างถึงแก่นเช่นกัน
ทำเช่นนี้นอกจากมันจะเป็นการตัดกำลังไม่ให้เผ่ามนุษย์ลุกขึ้นต่อต้านแล้วมันยังเป็นการทำให้เผ่ามนุษย์ได้กลายเป็นทาสของเผ่าวิญญาณด้วยความสมัครใจด้วย
นิกายโอสถประเสริฐนั้นมันเป็นฝ่ายที่ถูกตัดกำลัง
ส่วนนิกายเมฆาผงาดนั้นเป็นฝ่ายที่ถูกชุบเลี้ยง
จางจั่วซานนั้นไม่ได้มีพรสวรรค์มากมายอะไรแต่ด้วยพลังของเผ่าวิญญาณนั้นมันได้ทำให้เขาสามารถบรรลุขึ้นมาถึงมหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ขั้นกลางได้ไม่ยากเย็น
และจางจั่วซานคนนี้เองก็ได้กลายเป็นขี้ข้าของเผ่าวิญญาณอย่างสมัครใจ
หากเผ่าวิญญาณบอกให้เขาไปขวา เขาก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทูตวิญญาณคนนั้นหันมามองหน้าหวังจุนพร้อมกล่าว “หวังจุน โจ่วเฉินของนิกายโอสถประเสริฐเจ้าได้ตายลงไปพร้อมมหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์คนอื่นๆ อีกห้าคน”
คำพูดของทูตคนนี้มันไม่อารมณ์ใดๆ ราวกับว่ามหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ที่ตายลงไปนั้นมันเป็นแค่หมูหมา
หวังจุนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกายพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลลงอาบหน้า
“ศิษย์พี่! มันเป็นข้าเองที่ทำให้ท่านต้องเจอหายนะเช่นนี้!”
โจ่วเฉินนั้นคือเจ้านิกายโอสถประเสริฐคนก่อน!
ห้าสิบกว่าปีก่อนนั้นเขาได้ถูกเกณฑ์ออกไปสู้รบพร้อมๆ กับมหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์หกคนเหลือไว้เพียงแค่หวังจุนคนเดียวนี้ที่เป็นมหาจักรพรรดิในนิกาย
เพราะฉะนั้นโจ่วเฉินจึงได้มอบตำแหน่งเจ้านิกายให้แก่หวังจุน
แม้จริงแล้วการเกณฑ์กำลังในตอนนั้นตัวหวังจุนเองก็ถูกเรียกตัวไปด้วยแต่ทางโจ่วเฉินนั้นได้มอบทรัพยากรมากมายให้แก่ทูตวิญญาณคนนี้จนทำให้สุดท้ายนิกายโอสถประเสริฐยังเหลือยอดฝีมือไว้ได้
นี่มันคือเหตุผลที่ทำให้ทรัพยากรในคลังของนิกายโอสถประเสริฐนั้นเหลือน้อยจนเย่หยวนยังตกใจ
หลายพันปีมานี้ฝันร้ายของนิกายโอสถประเสริฐนั้นมันมีมากมายจนเกินนับ!
บรรพบุรุษหางหยางนั้นได้พาศิษย์กลุ่มหนึ่งออกไปต่อสู้กับเผ่าเลือดอย่างยาวนานนับพันปีแต่สุดท้ายก็สิ้นใจ ลงไป
เมื่อข่าวร้ายนี้ส่งกลับมาถึงนิกายนั้นมันทำให้คนทั้งนิกายต้องเศร้าเสียใจ!
แต่มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของฝันร้ายเท่านั้น
เพราะหลังจากที่บรรพบุรุษหางหยางตายลงไปแล้วเผ่าวิญญาณก็ได้เกณฑ์กำกำลังมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ทั้งหลายออกไปรบ
จากนั้นมันก็เป็นมหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ตาม
จนถึงวันนี้ที่ทั้งนิกายนั้นเหลือมหาจักรพรรดิแค่หวังจุนคนเดียวแล้ว!
“เฮอะ! หวังจุนแทนที่จะร้องไห้กับความตายของโจ่วเฉิน เจ้าหันมาสนใจตัวเองจะดีกว่าไหม? ท่านทูตวิญญาณนั้นบอกไว้ว่าคนนิกายโอสถประเสริฐนั้นจะถูกส่งไปยังสนามรบเจาะชาด! ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีมหาจักรพรรดิถึงสี่คนแล้วเจ้าก็จะได้ไม่ต้องเหงาไปคนเดียวอีก”
จางจั่วซานยิ้มเย้ยหวังจุนพร้อมกล่าวขึ้น
ได้เห็นนิกายโอสถประเสริฐนั้นมีมหาจักรพรรดิเกิดขึ้นมาใหม่ถึงสามคนแน่นอนว่าตัวจางจั่วซานย่อมจะตกตะลึง
เพราะเดิมทีแล้วนิกายโอสถประเสริฐนั้นกำลังตกต่ำจนปล่อยให้นิกายเมฆาผงาดขึ้นมาปกครอง
พวกลู่หยานนั้นมีฝีมือแค่ไหนตัวจางจั่วซานเองก็รู้
คิดอยากจะบรรลุมหาจักรพรรดิทั้งมันย่อมมิใช่เรื่องง่ายกับคนทั้งสาม
แต่ใครจะไปคิดว่าไม่เจอกันไม่กี่สิบปีนี้คนทั้งสามกลับจะบรรลุมหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ได้สิ้น
แต่มันก็ถือว่าดีเพราะตอนนี้เขาจะได้รวมยอดฝีมือของนิกายโอสถประเสริฐทั้งหลายได้ในรวดเดียวจึงได้เข้าไปกระซิบบอกให้ทูตวิญญาณคนนั้นดึงเกณฑ์เอากำลังทั้งหมดของนิกายโอสถประเสริฐไปให้สิ้น
ครั้งนี้เขาจะได้ทำลายนิกายโอสถประเสริฐได้อย่างหมดรากหมดโคนเสียที
หวังจุนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่างคิดอยากจะฉีกร่างจางจั่วซานให้เป็นชิ้น
เขานั้นรู้ดีว่าคนผู้นี้คงเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการเกณฑ์
“ท่านทูตวิญญาณ! นิกายโอสถประเสริฐของข้านั้นมันแทบจะไม่เหลือยอดฝีมืออีกแล้วเพื่อช่วยเหลือเผ่าวิญญาณต่อสู้กับเผ่าเลือด! ตอนนี้เราเหลือกันอยู่แค่ไม่กี่คน! ครั้งนี้หวังจุนพร้อมที่จะออกเดินทางไปยังสนามรบเจาะชาดแต่ท่านทูตวิญญาณโปรดช่วยปล่อยพวกลู่หยานทั้งสามไปด้วยเถอะ!” หวังจุนนั้นกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ
ทูตวิญญาณคนนั้นก้มลงมองหน้าหวังจุนก่อนจะตอบกลับไป “ได้ตายเพื่อเผ่าวิญญาณนั้นถือเป็นเกียรติแล้ว! ทำไม? เจ้าคิดว่าทูตคนนี้ทำการลำเอียงหรือ? ไม่ต้องตอบแล้วสภาพของสนามรบเจาะชาดนั้นมันหนักหน่วงเราต้องการกำลังคนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ครั้งนี้มิใช่แค่พวกเจ้าทั้งสี่แต่จักรพรรดิเที่ยงทั้งหมดของนิกายเจ้าก็ต้องไปด้วย!”
เมื่อจางจั่วซานได้ยินเขาก็แทบหลุดหัวเราะลั่นขึ้นมา
หวังจุนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองดูทูตคนนี้ด้วยดวงตาแดงก่ำ
นี่มันคือการกวาดล้างทั้งนิกายชัดๆ!
หวังจุนนั้นคับแค้นจนเผลอปล่อยคลื่นพลังมหาจักรพรรดิออกมาจากร่างและทำท่าเหมือนจะลงมือแล้ว
แต่ว่าทูตวิญญาณคนนั้นกลับไม่เกรงกลัวและถามกลับไป “ทำไมเจ้าคิดจะทำร้ายข้าคนนี้? เจ้าต้องคิดดีๆ ก่อนเล่า หากเจ้าลงมือแล้วนิกายโอสถประเสริฐนี้คงได้หายไปจากแผ่นดินอย่างสิ้นเชิง!”
คำพูดนี้มันเหมือนถังน้ำเย็นที่ราดลงบนหัวของหวังจุน
คลื่นพลังมหาจักรพรรดิใดๆ ของเขานั้นมันหดหายลงไปสิ้นเชิง
ยอมไปมันก็แทบไม่มีหวังรอด
แต่หากไม่ไปก็คงได้ถูกเผ่าวิญญาณกวาดล้างหมดสิ้น!