Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2970 หากชะตาต้องกันเราคงได้พบกันใหม่!
ภายใต้พลังของร่มคลื่นม่วงนั้นรากวิญญาณของมู่หลินเสวียมันก็ค่อยๆ กลับมารวมเป็นหนึ่ง
มู่หลินเสวียที่นอนหลับใหลมานานปี ตอนนี้ค่อยๆ กลับมามีร่องรอยของชีวิตอีกครั้ง
ทำให้เย่หยวนต้องยิ้มกว้างขึ้นมาทั้งน้ำตา
“ผู้อาวุโส ข้า…ทำได้แล้ว!”
สภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันเหมือนคนที่ต้องการแบ่งปันความยินดีในหัวใจออกมา
หมี่เทียนยิ้มตอบกลับไป “สวรรค์นั้นให้รางวัลผู้พยายาม! ไอ้หนู ยินดีกับเจ้าด้วย!”
เย่หยวนนั้นเป็นคนที่รักษาท่าทางไว้เสมอ
ไม่ว่าจะเจอเรื่องยากลำบากแค่ไหนเขาก็จะยังคงรักษาท่าทางเย็นเยือกไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง
แต่ว่าตอนนี้เย่หยวนกลับกำลังร้องไห้น้ำตาไหลท่วมหน้าเหมือนดั่งเด็กน้อยคนหนึ่ง
มันเป็นครั้งแรกเช่นกันที่หมี่เทียนได้เห็น
หมี่เทียนนั้นรู้สึกตื้นตันขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน เจ้าเด็กคนนี้มันช่างมีความรักที่หนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขา!
ในโลกของผู้บ่มเพาะนั้นความรู้สึกมันเป็นสิ่งที่พึ่งพาไม่ได้ที่สุด
คนที่หักหลังกันนั้นส่วนมากมันก็เป็นคนใกล้ตัวทั้งสิ้น
ต่อให้มันจะไม่ถึงขั้นหักหลังแต่เวลาที่เนิ่นนานของพวกเขามันก็จะลบล้างความสนิทชิดเชื้อใดๆ ไป…
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่ใช่ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ความรักของเขามันก็กลับเพิ่มพูนขึ้นแทน
คนรักจากภพเบื้องล่างนั้นเย่หยวนกลับก้าวขึ้นมาจนถึงวันนี้เพราะตัวนาง มันย่อมมิใช่เรื่องง่ายๆ
เขาอดยินดีไปกับเย่หยวนด้วยไม่ได้
“อ่า…”
มู่หลินเสวียร้องขึ้นมาในลำคอ
เย่หยวนนั้นตื่นเต้นดีใจอย่างมากรีบหยิบเอาโอสถสวรรค์ขึ้นมาส่งมันเข้าร่างมู่หลินเสวียไปทันที
ตอนนี้มู่หลินเสวียกลับมามีสติแล้ว มิใช่แค่ซากศพไร้วิญญาณแล้วย่อมสามารถจะบ่มเพาะต่อไปได้
เพราะฉะนั้นด้วยพลังของโอสถสวรรค์นี้มู่หลินเสวียก็ค่อยๆ พัฒนาพลังบ่มเพาะขึ้นเรื่อยๆ!
ครึ่งเดือนต่อมานั้นโอสถสวรรค์นั้นก็ละลายจนหมดทำให้มู่หลินเสวียกลายเป็นยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์ไป
เรื่องแค่นี้มันง่ายดายอย่างมากสำหรับตัวเย่หยวนในเวลานี้
สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วจนในวันนี้ ในที่สุดมู่หลินเสวียก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา
เย่หยวนนั้นรู้สึกว่าหัวใจของตนนั้นมันแทบจะหลุดออกมาจากปาก
เขานั้นเข้าไปกอดมู่หลินเสวียไว้และร้องลั่นขึ้น “หลินเสวีย สวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งข้าจริงๆ! เจ้ากลับมาแล้ว!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเฝ้ารอวันนี้มานานแค่ไหน?”
“เด็กโง่ เจ้าไม่คิดจะมีชีวิตต่อไปแล้วหรืออย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ข้าเจ็บปวดหัวใจแค่ไหน?”
“หลายต่อหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจมอยู่ในความรู้สึกผิด! ไม่ว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นเท่าใดสุดท้ายความผิดในใจของข้านี้มันก็ไม่อาจจะจางหายไป!”
“แต่ว่าทุกอย่างมันจบแล้ว! ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปแล้ว!”
“ดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมา!”
“ดีจริงๆ ที่เจ้าฟื้นกลับมา!”
เย่หยวนนั้นกอดร่างของมู่หลินเสวียที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาราวกับว่าเขานั้นไม่เคยได้กอดนางมาก่อน
เขานั้นกลัว กลัวว่าภาพตรงหน้านี้จะเป็นแค่ความฝัน
ได้เห็นเย่หยวนแสดงอารมณ์รุนแรงเช่นนั้นออกมาแม้แต่ตัวหยุนหนีผู้เย็นเยือกเองก็ยังอดมีน้ำตาขึ้นไม่ได้
ในสามสิบสามสวรรค์นี้มันย่อมจะแทบไม่มีภาพเช่นนี้เกิดขึ้น
แต่มู่หลินเสวียที่เย่หยวนกอดไว้แน่นนั้นกลับทำหน้ามึนๆ งงๆ
เวลานั้นมันไม่ได้ทำร้ายนางแม้แต่น้อย
แม้จะผ่านไปกี่ปีใบหน้าของนางก็ยังเป็นหญิงงามทลายเมือง แต่ว่าสายตาของนางนั้นกลับมีแต่ความว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแต่สุดท้ายนางก็ค่อยๆ ผลักตัวเย่หยวนออกมาและถามขึ้น “เจ้าเป็นใคร?”
เย่หยวนสั่นสะท้านไปทั้งกายและกล่าวขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหู “หลินเสวีย ข้าจี้ฉิงหยุน! จ…เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”
มู่หลินเสวียขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาเหมือนพยายามนึก “จี้ฉิงหยุน?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ข้าจี้ฉิงหยุน! ฉิงหยุนซี! เจ้าลองนึกดูดีๆ!”
“ก่อนนั้นในโถงราชันโอสถ ข้าและเจ้าร่วมดื่มกันใต้แสงจันทร์ และเจ้าก็แนบไหล่ข้าด้วยดาบแถมยังสั่งให้ข้ายอมเจ้าอีก!”
“ก่อนนั้นตอนที่ราชันศักดิ์สิทธิ์วาโยสวรรค์คิดทำร้ายข้า เจ้าก็ไล่ล่าเขาไปสุดฟ้า! จากนั้นข้าไปหาเจ้าเพื่อขอบคุณ แต่เจ้ากลับปิดประตูไม่ยอมพบข้า!”
“…”
เย่หยวนนั้นเล่าเรื่องราววันวานให้นางฟังราวด้วยน้ำเสียงอันแสนระลึกถึง
แต่ว่าตัวมู่หลินเสวียนั้นกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาและตอบไป “ขออภัยด้วย ที่เจ้าเล่ามานั้นข้าจำไม่ได้เลยสักเรื่อง”
เย่หยวนนั้นรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าผ่าลงกลางหัวและต้องยืนนิ่งไปทันที
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
“เช่นนั้นแล้ว…เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตัวเองคือใคร?” เย่หยวนถามขึ้น
มู่หลินเสวียพยักหน้ารับ “ราชันศักดิ์สิทธิ์ภูตหิมะ มู่หลินเสวีย! ที่นี่…ดูท่าจะมิใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์?
พลังบ่มเพาะของข้าเองก็ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นไปอย่างมากล้นเช่นกัน”
เย่หยวนได้แต่ต้องผงะไป นางกลับจำเรื่องอื่นได้แต่ลืมเรื่องของเขาไป?
หรือว่าเขานั้นคือความเจ็บปวดที่นางอยากลืมไปจากใจ?
หมี่เทียนถอนหายใจยาวออกมา “ดูท่ารากวิญญาณของนางจะกลับมาไม่ครบ!”
เย่หยวนเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นข้าจะใช้ศาสตร์รวมวิญญาณอีกครั้งและหลอมรากวิญญาณของนางใหม่!”
“ไม่ได้ผลหรอก ดูท่าวิญญาณส่วนหนึ่งของนางคงเข้าสู่วัฏสงสารไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจแค่ไหนมันก็คงไม่อาจหาวิญญาณนั้นเจอแล้ว” หยุนหนีกล่าวขึ้นมาแทรก
หมี่เทียนได้แต่ต้องกล่าวขึ้นมาด้วยความปวดใจ “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของคนเบื้องล่างนั้นมันแบ่งออกเป็นสามวิญญาณเจ็ดจิต นางนั้นเผาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนทำให้วิญญาณขาดความเสถียร และเปลี่ยนสามวิญญาณเจ็ดจิตเป็นรากวิญญาณไป การที่เดินทางล่องลอยไปตามสวรรค์ต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไปสามวิญญาณเจ็ดจิตนั้นมันก็ย่อมจะเจอเรื่องราวต่างๆ นานาก็อาจจะบ่มเพาะต่อเองจนบรรลุเต๋าได้ แต่ตราบเท่าที่ยังไม่เข้าสู่วัฏสงสารแล้วมันก็ย่อมจะไม่มีทางหนีจากการเรียกของร่มคลื่นม่วงได้ แต่ดูท่า…”
เขานั้นไม่ต้องพูดให้จบความหมายมันก็ชัดเจน
แม้แต่ร่มคลื่นม่วงยังเรียกมาไม่ได้ เช่นนั้นมันคงเข้าวัฏสงสารไปแล้วแน่
มู่หลินเสวียได้แต่ต้องนั่งงงฟังคำพูดของคนทั้งหลายอย่างไม่อาจเข้าใจได้
เย่หยวนนั้นได้แต่ต้องกล่าวขึ้นอย่างไม่คิดยอมแพ้ “ต่อให้จะเข้าวัฏสงสารไปแล้วมันก็ยังอยู่ในสามสิบสามสวรรค์นี้ใช่หรือไม่? มันจะหาไม่เจอเลย?”
หยุนหนีกล่าวขึ้น “ความแตกต่างนั้นมันยิ่งใหญ่เกินไป หลังจากเข้าวัฏสงสารแล้วมันก็เป็นชีวิตใหม่
นางไม่มีความทรงจำเดิม ไม่มีความรู้สึกเดิมจากชาติก่อนแม้แต่น้อย ต่อให้เจ้าจะเจอตัวนางในตอนนี้เจ้าจริงๆ
เจ้าคิดหรือว่านางจะยอมผสานตัวเองเข้ากับใครก็ไม่รู้น่ะ?”
เย่หยวนต้องเงียบลงไปทันที
เพราะเขาก็ไม่คิดฝันว่าผ่านความยากลำบากมากมายปานนี้สุดท้ายกลับไม่อาจคืนชีพมู่หลินเสวียได้สมบูรณ์
สิ่งที่หยุนหนีพูดมานั้นมันถูกต้องที่สุด
หากตอนนี้มีคนมาบอกว่าเป็นตัวเย่หยวนในชาติก่อนคิดให้เขารวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันเขาจะยอมรวมด้วยหรือ?
ไม่มีทาง!
‘ข้านั้นคือข้า เพียงหนึ่งเดียวในโลก!’
แต่จะให้เขายอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้?
เขาก็ไม่อยากรับมัน!
หากคืนชีพมู่หลินเสวียได้ไม่สมบูรณ์แล้วมันจะคืนชีพนางขึ้นมาเพื่ออะไรเล่า?
ในตอนนั้นเองที่มู่หลินเสวียขยับตัวเดินออกไปจากโถงใหญ่
เย่หยวนสะดุ้งตัวขึ้นเดิมตามออกไป “หลินเสวีย เจ้าจะไปไหนกัน?”
มู่หลินเสวียตอบกลับมา “ที่แห่งนี้ดูท่าคงมิใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นโลกใบใหม่ ข้าจะออกไปดูโลกเสียหน่อย”
เย่หยวนถอนหายใจยาวออกมาและยิ้มตอบไป “ได้ ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
พูดจบเขาก็คิดจูงมือมู่หลินเสวียออกไป
“หยุด!” มู่หลินเสวียสะบัดมือออกและกล่าวขึ้นต่อ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือใครและเจ้ามีเป้าหมายอะไร แต่เจ้าไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนคนมีความรักกับข้า ข้ามู่หลินเสวียไม่ขออยู่ในสภาพเช่นนั้น! ไปไกลๆ เสีย! ข้ารู้ว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าข้านักแต่ข้ามู่หลินเสวียขอยอมตายดีกว่าอยู่เป็นสัตว์เลี้ยงคนอื่น!”
พูดจบมู่หลินเสวียก็เดินหายไป
เย่หยวนได้แต่ต้องยืนนิ่งอย่างไม่รู้ต้องทำอย่างไร
เขานั้นผ่านความยากลำบากมามากมายแต่กลับต้องมาเจอภาพเช่นนี้หรือ?
“ข้าจะไปจับนางกลับมาเอง!” หยุนหนีลุกขึ้นและกำลังจะตามหลังมู่หลินเสวียออกไป
“ช่างเถอะ ให้นางไปเถอะ” เย่หยวนกล่าวขึ้นขัดไว้
หยุนหนีหรี่ตาลงถาม “เจ้าจะปล่อยนางไปเช่นนี้จริง?”
เย่หยวนยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “หากชะตาต้องกันเราคงได้พบกันใหม่! ที่สำคัญนิสัยเช่นนี้ถึงจะเป็นมู่หลินเสวียที่ข้ารู้จักจริงๆ!”