MistyVeil ขอบคุณฉินซานอีกครั้ง แล้วรีบกลับไปตระกูลลั่วอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพา SpyingBlade ไปพร้อมกับเธอด้วย NalanPureSoul ไม่มีธุระไปไหนต่อและตัดสินใจที่จะยอมรับคำเชิญของฉินซานที่จะค้างคืนที่นี่
ห้องอาบน้ำ
เย่ฉางฮัมเพลงเบาๆอย่างสบายใจ ขณะที่เขาล้างเลือดบนร่างของเขา แล้วก็เริ่มที่จะล้างหน้าล้างตาพร้อมกับเลือดที่ติดผมขาวของเขา เมื่อเขาสะอาดพอแล้ว เขาก็เดินเข้าไปแช่ในบ่ออาบน้ำขนาดใหญ่ และเปิดหลังคากระจกเพื่อจ้องมองดวงดาวและดวงจันทร์ในยามค่ำคืน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ทำให้เย่ฉางต้องหันกลับไปมอง เขาหลั่งเหงื่อเย็นออกมาทันที เมื่อเขาเห็น NalanPureSoul นุ่งผ้าเช็ดตัวเหมือนเช่นผู้หญิง เขาคลุมทุกอย่างไว้ใต้กระดูกไหปลาร้าของเขา ‘เฮ้ย! นายเป็นผู้ชายแต่ก็ยังคลุมผ้าเหมือนกับผู้หญิงเลย’ NalanPureSoul เดินเข้ามาและพูดว่า “พี่ชายเย่ฉางช่างมีจิตใจที่หนักแน่นจริงๆ โชกเลือดขนาดนั้นแล้ว ยังมีสีหน้าตอนล้างเลือดออกอย่างสบายๆเลย แถมยังมานั่งแช่น้ำชื่นชมดวงจันทร์อย่างสบายใจอีก …”
“นายล้อฉันมากเกินไปแล้ว” เย่ฉางตอบอย่างเฉยเมย “ลงมาแช่น้ำเถอะ ผู้ชายอย่างเราไม่จำเป็นต้องปกปิดต่อกัน …”
“ฉันไม่ชอบที่จะเปลือยกาย …” NalanPureSoul กล่าวขณะที่เขาพิงก้อนหินข้างๆเย่ฉางและยิ้ม
จู่ๆเย่ฉางก็ลุกขึ้นยืนเผยให้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่า เขาเงยหน้าขึ้นและยืดอกอย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับโชว์ช้างน้อยของเขา “ผู้ชายที่แท้จริงควรจะเป็นเหมือนดาบ ไม่ว่าจะเป็นดาบยาว 3 นิ้ว หรือดาบของจักรพรรดิ มาเถิด มาไขว้ดาบของพวกเรากัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าดาบของพวกเราเป็นดาบอันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
“……” NalanPureSoul เช็ดเหงื่อเย็นของเขา และเริ่มรู้สึกเสียใจที่เข้ามาอาบน้ำร่วมกับเย่ฉาง เขามองดาบของเย่ฉางที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งตัวเจ้าของดาบกำลังยืนเงยหน้าขึ้น 45 องศาเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ “พี่ชายเย่ฉางลืมเรื่องดาบหรืออะไรนั้นไปก่อนได้ไหม? คนบางคนอาจได้รับบาดเจ็บเพราะมัน…”
“ฉัน, หลินหลี่และอาเฉียงมักจะไขว้ดาบกันเมื่อตอนเราอาบน้ำ ช้างยักษ์แอฟริกาของหลินหลี่, หอกสามฟุตของฉัน และปืนใหญ่อาร์มสตรองของอาเฉียงผ่านการต่อสู้อย่างหนักมามากมาย! น้องชาย PureSoul ให้ฉันดูดาบของนายหน่อย!” เย่ฉางยืนตัวตรงพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างเท้าเอวและตะโกนบอก เขาดูเหมือนนายพลที่กล้าหาญและทรงพลัง
NalanPureSoul มองเขาด้วยความขวยเขิน ‘ผู้ชายคนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว’ เขาไม่สามารถจัดการกับพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของเย่ฉางได้ เขาจึงลุกขึ้นและวางแผนที่จะเดินออกไป แต่เย่ฉางเอื้อมมือมาจับผ้าเช็ดตัวของเขาไว้ “นายไม่มีทางหนีไปได้หรอก!”
NalanPureSoul ฟาดฝ่ามือใส่มือของเย่ฉาง เย่ฉ่างหัวเราะและปล่อยมือจากผ้าเช็ดตัวเพื่อมาจับข้อมือของเขา จากนั้นก็ยื่นส่วนมืออีกข้างออกมาจับที่ผ้าเช็ดตัวของเขาอย่างรวดเร็ว NalanPureSoul ตื่นตกใจ ‘เร็วมาก!’ จู่ๆเขาก็กลายเป็นภาพเงาเลือนลางเหมือนภาพบนทีวีที่ชำรุด ทันใดนั้น เขาก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูด้วยมือที่จับผ้าเช็ดตัวตรงหน้าอกไว้ “พี่ชายเย่ฉางน้องชายคนนี้หมดธุระแล้ว ฉันขอตัวก่อน…”
เย่ฉางนั่งลงและมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจ นิ้วของเขายังคงเล่นกับแหวนที่คล้องคอ เมื่อเขาจ้องมองดวงจันทร์
ThornyRose กำลังนุ่งผ้าเช็ดตัวเพื่อที่จะไปอาบน้ำ จู่ๆเธอก็เห็น NalanPureSoul หลบหนีออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าสีแดงสนิท เธอสั่นสะท้านแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำและถามเย่ฉางว่า “นายทำอะไรกับ NalanPureSoul …”
“ไม่มีอะไรหรอก น้องชาย PureSoul แค่ขี้อายจนเกินไป ฉันแค่เพียงเชิญให้เขามาไขว้ดาบกัน แต่เขาก็ไม่สามารถทำมันได้ เขาจึงหลบหนีไปก็เท่านั้น…” เย่ฉางถอนหายใจ
ThornyRose พยักหน้าและลงมาแช่น้ำ “ไขว้ดาบคืออะไร?”
“โอ้ว มันเป็นเกมที่มีมายาวนานแล้วและสนุกมากๆ ส่วนวิธีเล่นก็ง่ายๆ แค่แต่ล่ะคนเอาดาบของตัวเองมาไขว้กัน และเปรียบเทียบพลังการต่อสู้กัน …” เย่ฉางยิ้ม
“เชี่ย! มันไม่มีเกมแบบนี้!!” ThornyRose โห่ร้อง เมื่อเธอตระหนักรู้ว่าดาบคืออะไร ไม่น่าแปลกใจเลยที่ NalanPureSoul จะวิ่งหนีไปแบบนั้น คนปกติที่ไหนจะเล่นเกมลามกจกเปรตแบบนี้! ยิ่งเป็น NalanPureSoul ด้วยแล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลย เธอเริ่มอยากรู้อยากเห็นบางอย่าง “แล้ว NalanPureSoul มีดาบไหม!?”
“ฉันไม่รู้ เขาวิ่งออกไปก่อนที่ฉันจะดึงผ้าเช็ดตัวของเขา …” เย่ฉางยักไหล่ ‘เขาเป็นพวกมีพลังพิเศษ ฉันกลัวว่าความแข็งแกร่งของน้องชาย PureSoul จะไม่ใช่ธรรมดาๆเลย บางทีแม้แต่อาเฉียงอาจเอาชนะเขาได้อย่างยากลำบาก’
“วันนี้ … นาย” ThornyRose ผ่อนคลายลง
“ก่อนที่ฉันจะมาเป็นสมาชิกของกลุ่มมังกร ฉันเชี่ยวชาญด้านการสอบปากคำ…” เย่ฉางพูดด้วยรอยยิ้มที่เงียบสงบ ‘ฉันยังคงมีบุคลิคต่อต้านสังคมในยีนเหล่านั้นอยู่ แต่ฉันต้องยอมรับในส่วนที่โหดร้ายของตัวเองให้ได้ ถ้าส่วนนั้นกลายเป็นบุคลิกที่หลุดการควบคุมไป ฉันไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ของมันได้ มันจึงดีกว่าที่จะยอมรับมัน และปล่อยให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของฉัน …’
ThornyRose พยักหน้าอย่างเงียบๆ
ตอนดึกดื่น
เย่ฉางนั่งตรงระเบียงหน้าต่างขณะที่มองทิวทัศน์ยามค่ำคืน เขาขบคิดบางสิ่งบางอย่างและพูดพึมพำ “อาเฉียงและทุกคนกำลังมีความสุขมากขึ้น ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่อาเฉียงแต่งงานแล้ว มันจะเป็นวันที่ฉันต้องจากพวกเขาไป …”
เย่ฉางขมวดคิ้ว ขณะที่เขาหยิบแหวนที่คล้องคออยู่ออกมาเล่น ลางสังหรณ์ของเขาแทบไม่เคยผิดพลาด เขาส่ายหัว มันไร้ประโยชน์ที่จะคิดเกี่ยวกับมัน เขากำแหวนไว้แน่นและเก็บไว้ที่เดิม
ณ.นรกอเวจี
“เหล่าทวยเทพและเทพธิดาทั้งหลาย นี่คือคนที่ขโมยหนังสือแห่งความหวังไป ในตอนนี้เขาได้บรรลุความเป็นอมตะแล้ว สถานที่แห่งนี้อาจไม่สามารถกักขังเขาไว้ได้นานมากนัก เมื่อไหร่ที่เขาหลบหนีจากนรกอเวจีแห่งนี้ไปได้ มันจะกลายเป็นภัยพิบัติสวรรค์” ชายชราคนหนึ่งที่มีเครายาวพูดขึ้นมา
“ฉันยังคงรู้สึกว่า มันจะดีกว่าที่เราจะปล่อยให้เขาออกไป …” ผู้หญิงคนหนึ่งพูด
“เทพธิดา คุณก็รู้ว่าเขาได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ที่นี้มานานแค่ไหนแล้ว คิดว่าเขาจะไม่มีความเกลียดชังต่อพวกเราหรือไง? ฉันหวังว่าเทพแห่งไฟจะใช้เปลวไฟแรกกำเนิดเผาจิตวิญญาณของเขา จากนั้นเราจะใช้พันธนาการแห่งเทพยึดเขาเอาไว้!” ชายผมสีน้ำตาลพูดขึ้นมาบ้าง
“เราไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว เราไม่สามารถปล่อยให้เขาหลบหนีออกไปจากนรกอเวจีแห่งนี้ได้ …” เทพแห่งไฟลูบเคราสีแดงเข้มของเขา จากนั้นก็ใช้เปลวไฟแรกกำเนิดเผาชายผิวขาว ซึ่งแขนและขาของเขาถูกล่ามด้วยโซ่ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ไหล่ของเขาถูกตรึงด้วยโซ่ศักดิ์สิทธิ์ คนที่ถือหอกสีดำเดินออกไปท่ามกลางเหล่าทวยเทพ เขาแทงหอกใส่หลังทะลุหัวใจของชายผิวขาวและตรึงเขาไว้ที่พื้น จากนั้นคนอื่นๆก็เดินเข้ามาใช้พันธนาการแห่งเทพไว้บนโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกข้อมือและข้อเท้าของเขา แม้แต่ใบหน้าของเขาก็มีหน้ากากที่น่าสะพรึงกลัวครอบอยู่ หน้ากากอันนี้สร้างขึ้นจากเหล็กเหลวศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถูกสร้างโดยเทพแห่งการสรรค์สร้าง เทพธิดาคนนั้นไม่สามารถทนดูชายผิวขาวถูกเผาไหม้ต่อไปได้ เมื่อก่อนเขาโดนทั้ง ถูกดึงแยกส่วน, ถูกถลกหนัง, ถูกตัดเป็นชิ้นๆ, ถูกทำให้ร่างกายบิดเบี้ยว, แต่ร่างกายของเขายังคงฟื้นกลับคืนมาได้ แต่ในตอนนี้มีแม้แต่การเจาะหัวใจ, การเผาจิตวิญญาณ และการทรมานที่เป็นอันตรายอย่างอื่นๆอีก เช่นใส่พวกผีหิวโซไว้ภายในอวัยวะภายในของเขา อย่างไรก็ตาม ผู้ชายผิวขาวคนนี้ยังคงมองไปข้างหน้าเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เธอถอนหายใจลึกๆ ‘ก่อนหน้านั้นยังพอมีโอกาสที่จะปล่อยเขาไป แต่ในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว หวังว่านี่จะไม่ใช่สาเหตุของการทำลายดาวดวงนี้ เมื่อถึงเวลาที่เขาได้รับอิสระจากการลงโทษที่นิรันดร์นี้ไปแล้ว …’
ผ่านไปสักพักทุกคนก็จากไป
เทพธิดาคนหนึ่งที่ปกคลุมใบหน้าไว้เดินเข้ามาใกล้ๆชายผิวขาว เธอมองไปที่หน้ากากเหล็ก เธอมองผ่านดวงตาที่ไม่มีชีวิตชีวาและไร้ซึ่งความเจ็บปวดของเขา “ทำไมคุณถึงไม่เคยกรีดร้องเลยสักครั้ง คุณสามารถทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
เธอคิดว่าเธอคงไม่ได้รับคำตอบ แต่จู่ๆก็มีเสียงที่เงียบขรึมดังออกมา “เมื่อเทียบกับการสูญเสียความรักที่แท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงหรอก ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะไม่ทำลายพวกคุณหรือดาวดวงนี้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรต่อฉัน ดังนั้นฉันจึงยินดีที่จะยอมรับการลงโทษเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ฉันก็แค่อยากให้เธอคนนั้นฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้าฉันล้มเหลว ฉันก็จะค่อยๆหายไปพร้อมกับเธอ อยู่และตายไปด้วยกัน …” ดวงตาภายใต้หน้ากากเหล็กนั้นเริ่มอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น มันขัดกับรูปลักษณ์ที่โดนทรมานอย่างสาหัสแบบนี้ สิ่งนี้ทำให้เธอตกใจมากๆ..
เทพธิดาแสดงสีหน้าประหลาดใจ เธอเหมือนมีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้บางอย่างอยู่ภายในใจ ‘เมื่อเทียบกับการสูญเสียความรักที่แท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงหรอก…’ เธอสูดหายใจลึกๆ “อยู่และตายไปด้วยกัน มันคืออะไร?”
“ฉันไม่ใช่คนที่เกิดมาจากความรัก แต่ฉันยินดีที่จะตายเพื่อความรัก! คุณไม่เข้าใจหรอก เพราะคุณไม่เคยมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง และไม่เคยรักใครอย่างแท้จริง …” ชายผิวขาวที่สวมหน้ากากเหล็กยิ้มอย่างอ่อนโยน
“นั่นมันก็ถูก แล้วทำไมคุณถึงไม่ใช้หนังสือแห่งความหวังในตอนนี้เลยล่ะ …” เทพธิดามองเขาอย่างไม่แน่ใจ
“สัญญาของฉันที่ไว้ให้กับเธอ ยังคงมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่ยังเสร็จสมบูรณ์อยู่ แต่มันก็คงอีกไม่นานหรอก …” การแสดงออกของเขาภายใต้หน้ากากเหล็กค่อยๆผ่อนคลายลง ‘อาเฉียงรีบๆแต่งงานซะ’
“สัญญา!?” เทพธิดาพึมพำ เธอมองไปที่ชายซึ่งมีความรักอย่างแท้จริง ที่ยอมรับความทุกข์ทรมานอันเป็นนิรันดร์ และอดที่จะนับถือเขาขึ้นมาไม่ได้ เธอเริ่มที่จะมีความคิดว่า สิ่งที่พวกเธอทำมานั้นมันผิดทั้งหมด