คืนก่อนงานแสดงการกุศลจะเริ่มขึ้น ลุงฟรอสเลอร์ก็ได้กลายเป็นพระเจ้าช้างน้อยแห่งเมืองหลินไห่ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจำนวนมากได้เปลี่ยนใจมาเป็นผู้ศรัทธาของปางช้างน้อยในชั่วข้ามคืน
ลุงฟรอสเลอร์กำลังมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยความสิ้นหวัง เขายืมอยู่ริมทะเลแล้วจับช้างน้อยของเขาเอาไว้ ‘สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่การเคารพบูชาของมนุษย์ แต่เป็นความหวาดกลัว, ความเกลียดชัง และความอับอายในสายตาของพวกเขาต่างหากล่ะ’
เย่ฉางและลุงแพนตี้ตบไหล่เขาเบาๆพร้อมกับถอนหายใจ
“ปล่อยความไม่พอใจทั้งหมดทิ้งไป กรีดร้องออกมาให้หมด ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น” เย่ฉางปลอบโยนเขา
ลุงฟรอสเลอร์พยักหน้าและตะโกนออกมาทันที
“อ๊ากกกก ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้! พระเจ้าที่รัก! โปรดคืนโลกที่บริสุทธิ์ให้กับฉันด้วย!” เสียงคำรามของลุงฟรอสเลอร์ดังก้องไปถึงสวรรค์ SpyingBlade, FrozenCloud และอูนาที่ยืนอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านหลังเล็กๆ เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเย็นและส่ายหัว “คุณไม่มีสิทธิ์พูดเช่นนั้น”
เมื่อมองไปยังมือที่สกปรกของฟางถง ซึ่งเธอไม่ได้ล้างมาหลายวันแล้ว ก็ทำให้ฟางชิไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ตอนนี้เขาอยากเอาหัวโขกกำแพงจริงๆเลย!
FrozenCloud มองไปยังพวกเขาทั้งสามที่ยืนเคียงข้างกัน แล้วเธอก็พูดพึมพำด้วยความเกรงกลัว “สามตำนานแห่งเขตตะวันออก สุภาพบุรุษปีศาจ – อาชูร่าขาว, เทพเจ้าช้างน้อย – ลุงฟรอสเลอร์ และราชาแห่งกางเกงใน – ลุงแพนตี้”
ลุงฟรอสเลอร์และลุงแพนตี้พักค้างคืนที่นี้
จัตุรัสดาวเดือนเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลินไห่ ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้ถึงสองแสนคน มันเป็นสถานที่จัดงานแสดงที่ใหญ่ติด 1 ใน 3 ของประเทศจีน อีกสองแห่งก็คือวัดมังกรเขียวของเมืองหลวง และสระดอกเบญจมาศของเมืองซินหยุน
ในวันถัดมา ซูหยี่ยี่จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมตามแผนที่วางไว้ เธอรู้สึกกดดันเมื่อต้องร่วมแสดงบนเวทีเดียวกันกับปรมาจารย์เหล่านี้ ทักษะการเต้นของเย่ฉางนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถเอื้อมถึง การตีกลองของลุงแพนตี้นั้นน่าทึ่งมากๆ เสียงทุ้มของเบสและเสียงคำรามของลุงฟรอสเลอร์นั้นทำให้จิตวิญญาณของผู้ฟังบ้าคลั่งได้เลย แม้ว่าเธอจะได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งประเทศจีน” แต่เธอก็รู้ดีว่าทักษะของเธอไม่สามารถใกล้เคียงกับพวกเขาได้เลย ทั้งหมดที่เธอมีก็คือสถานะที่เป็นดาราของเธอ
จัตุรัสดาวเดือนเต็มไปด้วยผู้คนจากเมืองหลินไห่และเมืองต่างๆ บนเวทีหลินหลี่รับหน้าที่เป็นพิธีกรเปิดการเป็นงานแสดง “สวัสดีครับผู้ชมทุกคน เอ๊ะ! ฉันลืมสคริปต์! อืม! งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า…”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว แต่อุบัติเหตุนี้ทำให้ซูหยี่ยี่เกือบหยุดหายใจ ‘นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะพูดในตอนเปิดงานนี่นะ!’ เธอหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเธอก็เดินออกมาอย่างสง่างาม ทุกคนส่งเสียงเชียร์และกรีดร้องออกมาดังๆ
“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันรู้ว่าพวกคุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูการแสดงของฉัน แต่พวกคุณมาดูสามตำนานแห่งเขตตะวันออกต่างหาก เอาจริงๆเลยนะ ลุงแพนตี้นี่หล่อเหลามากๆ เพียงแค่มองเขาแวบเดียว ฉันก็แทบหายใจไม่ออก” ท่าทางของซูหยี่ยี่ราวกับว่าเป็นรุ่นน้องที่แอบชอบรุ่นพี่ ในขณะที่ฝูงชนชอบการแสดงออกของเธอและเริ่มส่งเสียงเชียร์ บรรดาแฟนคลับของลุงแพนตี้ต่างตะโกนว่า “พวกเรารู้!”
“งานแสดงการกุศลครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อระดมทุนสำหรับเด็กกำพร้าที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม, จากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย, การถูกพ่อแม่ทิ้ง และภัยพิบัติทางธรรมชาติ เด็กเหล่านี้คืออนาคตอันล้ำค่าของโลก พวกเขาเต็มไปด้วยศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาไม่ควรตกเป็นเหยื่อจากโศกนาฏกรรมเหล่านี้ พวกเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน และเด็กเหล่านี้ต่างก็มีความหวังและความฝัน อย่างไรก็ตามมีไม่มากนักที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่ฉันก็หวังว่าความฝันเหล่านั้นจะกลายเป็นจริงได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามจากสิ่งที่ฉันเห็นก็คือ เด็กไร้เดียงสาจำนวนมากเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ฝันกลายเป็นจริงได้ จักรพรรดิเบญจมาศเคยพูดเอาไว้ว่า “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการปกป้องเด็กๆ” คำพูดที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาของซูหยี่ยี่ สร้างความประทับใจในหัวใจของผู้ชมทั้งหมด
“ดังนั้นเพลงแรกที่เราจะร้องเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อเด็กกำพร้าเหล่านี้ ซึ่งแต่งโดยวงดนตรีจากเขตตะวันออกของเมืองหลินไห่ ไม่มีใครต้องการที่จะคาดเดาหน่อยหรือ? ฉันแน่ใจว่าพวกคุณทุกคนต่างรู้คำตอบกันอยู่แล้วใช่ไหม?” ซูหยี่ยี่ยิ้ม
“ลุงฟรอสเลอร์?”
“แต่เทพธิดาซูหยี่ยี่บอกว่ามันเป็นวงดนตรีนะ!”
“ลุงแพนตี้?”
“ไอบ้า บอกแล้วไงว่ามันเป็นวงดนตรี! วงดนตรี!”
“โอ้ฉันรู้แล้ว! ต้องเป็นทีมของท่านจอมพลแน่ๆ!”
“ทีม T-105 ชื่อมันก็บอกแล้วว่าเป็นทีม แต่มันไม่ใช่วงดนตรี!”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ววงดนตรีคือใครล่ะ?”
อูนาตกตะลึงกับปฏิกิริยาของผู้ชม และรีบขึ้นไปบนวีทีพร้อมกับ FrozenCloud และ K ทุกคนต่างสวมชุดพังค์โกธิคสีดำ อูนายกนิ้วกลางขึ้นไปบนอากาศและตะโกน “บ้าเอ้ย! พวกคุณทุกคนลืมฉันได้ไง!”
“โอ้! ฉันจำได้แล้ว! พวกเขาเป็นวงแบ็คอัพให้กับลุงฟรอสเลอร์, ลุงแพนตี้ และท่านจอมพลนั่นเอง! ชื่อวงว่า Sand อะไรสักอย่างนี่แหละ! อ่อ วง Falling Sand band! ฉันเป็นแฟนของพวกเขาอยู่เหมือนกัน!”
อูนาโกรธแค้นในใจ ‘ฉันเป็นตัวหลัก! เป็นนักร้องนำ! ฉันเป็นคนจัดคอนเสิร์ตครั้งนั้น! พวกเขาเป็นแค่นักแสดงรับเชิญ!’
“อืม ตอนนี้พบกับมือเบสและนักร้องเสริมของเรา – ลุงฟรอสเลอร์! ต่อไปเป็นมือกลอง – ลุงแพนตี้!” ซูหยี่ยี่ตะโกน จากนั้นลุงฟรอสเลอร์ก็โหนตัวลงมาจากด้านบน เสื้อคลุมของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม เขาชูเบสขึ้นเมื่อเห็นผู้ชมกรีดร้องให้เขา ในขณะเดียวกันลุงแพนตี้ก็ออกมาจากม่านสีดำเหมือนเวทย์มนตร์ เขาถอดหมวกทรงสูงและเริ่มโค้งคำนับ ซูหยี่ยี่หักห้ามใจไม่ให้ตะโกนเชียร์เหมือนแฟนคลับหญิงคนอื่นๆ จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “และคนสุดท้ายที่คุณตั้งตารอ! นักเต้นแห่งจิตวิญญาณที่ทุกคนรู้จักกันดี! สุภาพบุรุษปีศาจ! จอมพล! ราชาแห่งสงครามศักสิทธิ์! อาชูร่าขาว!”
หลังจากนั้นเพลงคลาสสิกก็บรรเลงขึ้นมา เย่ฉางสวมชุดทักซิโด้สีดำและเต้นช้าๆไปตรงกลางเวที ราวกับว่าเขากำลังเต้นรำอยู่บนผิวน้ำ เขากำมือแนบอกและโค้งคำนับ
“ตอนนี้ฉันอยากจะแนะนำผู้ควบคุมแสงสีบนวีที มนุษย์กันดั้ม – จางเจิ้งเฉียง! และผู้ควบคุมเสียงบนเวที หรือที่รู้จักกันในนามของสาวน้อยอัจฉริยะ – เย่เทียน! และเจ้าชายน้อยของเราที่อยู่ข้างๆ – หลินหลี่!” หลังจากซูหยี่ยี่แนะนำสมาชิกหลักทีละคนเสร็จ เสียงเชียร์และเสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วบริเวณ ในขณะที่ภาพบนหน้าจอแสดงภาพของผู้ควบคุมแสงสีจางเจิ้งเฉียงที่บึกบึนจนดูน่ากลัว ตามด้วยผู้ควบคุมเสียงเย่เทียนที่สวมชุดฮิปฮอปและหมวกแก๊ป สิ่งนี้ได้ชนะใจพวกโอตาคุมากมาย สุดท้ายกล้องก็หันไปหาหลินหลี่ที่กำลังนอนอยู่บนม้านั่งที่ด้านหลังเวที เขาแคะจมูกของเขาโดยที่ไม่สนใจอะไรเลย
ซูหยี่ยี่พยักหน้า จากนั้นจางเจิ้งเฉียงก็ปิดไฟ และทุกอย่างก็มืดไปหมด ผู้ชมมองไปที่เวทีมืด
“บ้านในฝันของฉันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย และการดูแลเอาใจใส่ ในดินแดนแห่งนี้มีดอกทานตะวันที่บานสะพรั่งอยู่ตลอดเวลา มันหันหน้าหาแสงตะวันด้วยรอยยิ้ม” เสียงที่คมชัดของซูหยี่ยี่ดังทะลุผ่านความมืด
“แต่แล้วก็มีพายุเฮอริเคนและพายุฝนทำลายใบไม้ของฉัน และพัดกลีบดอกไม้ของฉันปลิ้วไป ฉันอยากให้ดวงอาทิตย์ช่วยฉัน” เสียงร้องที่ต่ำและแหบของอูนาฟังแล้วสะเทือนอารมณ์อย่างมาก เสียงกลองของลุงแพนตี้ที่ตอนแรกเบาเหมือนเสียงฝนกำลังตก กลับกลายเป็นเสียงตีกลองรัวๆเหมือนเกิดพายุฝน เสียงเบสที่นุ่มนวลของลุงฟรอสเลอร์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามของพายุเฮอริเคน
แสงสปอตไลท์สีขาวพุ่งลงมาบนเวที เย่ฉางนอนนิ่งอยู่บนพื้นเหมือนคนตาย เมื่อเขาถูกแสงสปอตไลท์ส่อง เขาค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆราวกับว่าอยู่ในพายุฝนฟ้าคะนอง เขาพยายามที่จะยืนตัวตรงและก้าวไปข้างหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็มีความปรารถนาแฝงอยู่นิดๆ
“ช่วยฉัน! ได้โปรดช่วยฉันด้วย! ร่างกายของฉันกำลังพังทลาย! กลีบดอกไม้ของฉันร่วงหล่น! ใบของฉันฉีกขาดแล้ว!” ลุงฟรอสเลอร์สะบัดเสื้อคลุมและโชว์ช้างน้อยออกมา มันตั้งโด่ขึ้นมาราวกับว่ากำลังตะโกนออกมาดังๆเพื่อขอความช่วยเหลือ เสียงแหบต่ำและลึกของอูนาดังประสานรับกับเสียงตะโกนของลุงฟรอสเลอร์ “ช่วยฉัน! อย่าเพิกเฉยต่อฉัน! ฉันไม่ได้คาดหวังให้คุณสร้างบ้านให้ฉัน แต่อย่างน้อยก็นำรอยยิ้มของดอกทานตะวันกลับมาด้วยเถอะ! แม้แต่ในพายุฝนนี้เราก็สามารถ … ”
“เข้มแข็งเข้าไว้! ยิ้มเข้าไว้!” ทุกคนตะโกนขึ้นมาทันที แสงแวบวับอันอบอุ่นส่องประกายอยู่ไกลออกไป เย่ฉางต้องการที่จะเดินเข้าไปหามัน แต่เขาก็ตกอยู่ในอาการบาดเจ็บท่ามกลางพายุฝน เปลือกตาของเขาเริ่มหนักขึ้น แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ยังคงสามารถมองเห็นได้จากใบหน้าที่สิ้นหวังของเขา ในขณะที่เขายื่นมือออกไปหาแสงสว่าง รอยยิ้มของเขาช่างน่าสังเวช แต่ก็ดูเข้มแข็ง ในที่สุดเย่ฉางก็หายตัวไปในความมืด ก่อนที่เขาจะไปถึงแสงสว่างนั้น ผู้ชมต่างพากันร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นแขนของเย่ฉางหายวับไปในความมืด