War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1613
ตอนที่ 1,613 : ภัยซ่อนเร้น
ก่อนจะมาที่นี่ต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้แล้ว ว่าเขาจะกำจัดขอบเขตเซียนทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงทิ้ง!
แน่นอนว่าเขายังตั้งใจจะจัดการพวกมันให้ได้พร้อมๆกันในการลงมือครั้งเดียว!
ในตอนแรกเขายังคิดถึงเรื่องที่เขาจะล่อพวกมันออกมาจัดการทีละคนดีหรือไม่ แต่พอคิดให้ถี่ถ้วนแล้วเรื่องนี้ไม่อาจกระทำได้..
ถึงแม้พลังฝีมือในปัจจุบันของเขาก็นับว่าแข็งแกร่ง แต่หากไม่ใช้ตราผนึกมารน่ากลัวว่าจะไม่ใช่คู่มือของขอบเขตเซียนที่เป็นผู้ฝึกมารทั้งสองของนิกายหยินหมิง!
และสถานการณ์ของเขาคงต้องอันตรายมากแน่หากไม่ใช้ตราผนึกมาร และที่สำคัญถ้าเขาใช้ตราผนึกมารกับ 1 ในพวกมันคนใดก่อน อีกคนก็ต้องรู้ได้ทันทีด้วยสำนึกเทวะ!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดใช้ตราผนึกมาร ตอนที่พวกมันอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา และยังคิดจะลงมือเล่นงานที่เผลอแบบก่อนหน้า
อันที่จริงเรื่องราวทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้ไม่มีผิด…
เรียกว่าทันทีที่ประมุขนิกายหย่างอี้เฟิงปรากฏตัวพร้อมกับผู้อาวุโสสูงสุด ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะเห็นภาพพวกมันทั้งคู่ถูกตราผนึกมารจัดการอย่างพร้อมเพรียง ตกตายคาที่!
อนิจจาเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมากลับเป็นอะไรที่เหนือคาดคิดของต้วนหลิงเทียนอย่างสิ้นเชิง!
เขาไม่คิดเลยว่าตราผนึกมารจะเหมือนเด็กน้อยดื้อรั้น หันไปเปล่งพลังสะกดเขตแดนของทั้งคู่ หมายทุบทำลายด้วยพลังที่เหนือกว่าจนเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้มีโอกาส แทนที่จะพุ่งไปทุบตีพวกมันให้ตายเหมือนอย่างเคย…
และเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าอี้เฟิงจะจดจำตราผนึกมารได้ทันที ยังฉวยโอกาสในช่วงที่เขตแดนถูกทำลายเร่งรุดหลบหนีไปแบบนั้น!
เรียกว่าสถานการณ์กลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปเหนือคาดคิด!
เป็นอาวุโสสูงสุดที่อยู่ใกล้ตราผนึกมารมากกว่า จึงทำให้ตราผนึกมารพุ่งไปจัดการกับมันก่อน และทำให้อี้เฟิงสามารถรอดไปได้แบบนี้!
“บ้าฉิบ…กระทั่งตราผนึกมารยังจับสัมผัสอี้เฟิงไม่ได้ ด้วยความเร็วของมันตอนนี้ถึงข้าจะตามไป ข้าก็ตามมันไม่ทันแน่!”
หน้าต้วนหลิงเทียนแลดูอัปลักษณ์นัก
หากอี้เฟิงแค่หนีไปได้เฉยๆ เขาคงไม่อะไรมากมาย
แต่ตอนนี้อี้เฟิงรู้ว่าเขามีตราผนึกมารที่จะใช้จัดการมันได้อยู่ในมือ…
เมื่ออี้เฟิงรู้ว่าสิ่งที่เขามีคือตราผนึกมาร มันก็ต้องรู้ดีเช่นกันว่าตราผนึกมารเป็นดั่งของแสลงของผู้ฝึกมารทั่วหล้า! และเป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่!!
หากอี้เฟิงแพร่ข่าวออกไปว่าตราผนึกมารอยู่ในมือเขา มันก็จะกลายเป็นการชักนำเภทภัยไม่สิ้นสุดมาสู่เขา!
แค่คิดถึงเรื่องนี้ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา..
ตราผนึกมารนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนเลย น่ากลัวว่าทุกผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าล้วนหมายตามันทั้งสิ้น!
ตราผนึกมารนั้น สำหรับผู้ฝึกมารแล้วแทบไม่ต่างอะไรจาก ‘ฝันร้าย’
นั่นหมายความว่าใครที่ครอบครองตราผนึกมารเอาไว้ในมือ ก็ไม่ต้องกลัวผู้ฝึกมารในขอบเขตพลังเดียวกัน กระทั่งสูงกว่า 1 ขอบเขต เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากแล้ว!
และเพราะเรื่องนี้ ก็มากเกินพอที่จะทำให้ยอดฝีมือทั่วหล้าไม่ว่าจะผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธ์ ต้องหมายตาอยากได้ตราผนึกมารในมือเขาจนตัวสั่น!
และถ้ายอดฝีมือระดับนั้นล่วงรู้ว่าตราผนึกมารอยู่ในมือเขา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น!
เพียงแค่คิดถึงคนที่จะมาหาเขาเพื่อแย่งชิงตราผนึกมารไป ต้วนหลิงเทียนก็ปวดหัวขึ้นมาตงิดๆแล้ว!
หากทว่าเพียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สีหน้าแววตาเขาก็หวนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง “เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็แล้วกันไปเถอะ ตอนนี้คิดอะไรมากไปก็ป่วยการ…ไปช่วยลุงเฟิ่งกับครูและคนอื่นๆก่อนดีกว่า”
ถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่พักเรื่องของอี้เฟิงเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
ในเมื่อขอบเขตเซียนของนิกายหยินหมิง ตายหนึ่ง และหนีไปหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต้องกริ่งเกรงอะไรในนิกายหยินหมิงอีกต่อไป เขาบุกไปยังเหมืองแร่หินเซียนของนิกายหยินหมิงโต้งๆ ไม่คิดปกปิดตัวตนอะไรทั้งสิ้น
“ผู้ใด!?”
การบุกมาอย่างโจ่งแจ้งของต้วนหลิงเทียน นับว่าดึงดูดหน่วยลาดตระเวนของนิกายหยินหมิงจำนวนมาก ศิษย์นิกายหยินหมิงเริ่มกรูกันเข้ามามุงล้อมต้วนหลิงเทียนเอาไว้ดั่งเกี๊ยว
ตอนที่เขาฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดนั้น เรื่องราวมันไม่ได้ส่งเสียงเอะอะแต่อย่างใด ทำให้ไม่มีใครรู้อะไร
หาไม่แล้วศิษย์นิกายหยินหมิงคงไม่ทำเป็นห้าวต่อหน้าเขาแบบนี้
ล้อกันเล่นหรือไง?
พวกมันจะหาญกล้าวางท่าข่มขู่ตัวตนที่สามารถฆ่าอาวุโสสูงสุดของพวกมันได้หรือ?
เผชิญหน้ากับศิษย์นิกายหยินหมิงนับสิบๆ ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วทั้งกล่าวออกด้วยความรำคาญ “ไสหัวไป!”
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว หากไอพวกนี้มันไม่มาวุ่นวายอะไรเขาและจากไปอย่างเชื่อฟัง เขาก็ไม่คิดจะแยแสอะไรชีวิตของพวกมัน
น่าเสียดายที่พอได้ฟังคำตวาดไล่ของต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่ศิษย์นิกายหยินหมิงเหล่านี้กลับมีโมโหขึ้นมาถึงขีดสุด “ไอ้หนู! ปากดีนักนะ! เจ้าอยากตายนักหรือไร!?”
“ไอเด็กขนอุยบัดซบ กล้าบุกมานิกายหยินหมิงของข้า แล้วยังปากกล้าไล่ข้างั้นเหรอ…ข้าจะชำแหละศพเจ้าจนมารดาของเจ้าจดจำไม่ได้!!”
“พวกเจ้าจักพล่ามเหลวไหลอันใด ฆ่ามันไปเสียให้จบๆ!!”
……
เหล่าศิษย์นิกายหยินหมิงทั้งหมดกลายเป็นโมโหขึ้นมาทันที ทั้งหมดกรูกันเข้ามาหมายจะจ้วงต้วนหลิงเทียนสักแผล ลักษณ์พลังมากมายโถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทุกทิศทาง มองไปดั่งตาข่ายฟ้าแหสวรรค์ ไร้หนทางให้ต้วนหลิงเทียนหลบหนี
“เหอะ!”
แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง รอบกายต้วนหลิงเทียนในรัศมี 100 หมี่พลันปรากฏสนามพลังคมกล้า! กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงของกระบี่นับหมื่นเล่มปรากฏขึ้นมาทันที
และในขณะที่ทั้งหมดกำลังตื่นตระหนกกับกลิ่นอายดังกล่าว กระบี่พลังมีสภาพเสมือนจริง 10,000 เล่มก็ล่องลอยคลุมฟ้า ในพื้นที่กินรัศมี 100 หมี่รอบตัวต้วนหลิงเทียน!
“เขตแดน! มันเป็นสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่!!”
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปลดปล่อยเขตแดนหมื่นกระบี่ออกมา ห่าพลังที่ศิษย์นิกายหลินหมิงซัดมารอบทิศก็ถูกกระบี่พุ่งไปทำลายจนพินาศหมดสิ้น! พวกมันได้แต่ร่ำร้องออกมาเสียงหลงด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น!!
และภาพห่ากระบี่นับหมื่นที่พุ่งทะลวงสหายร่วมนิกาย ก็คือภาพสุดท้ายก่อนที่ชีวิตของพวกมันจะจบสิ้นลง
ร่างในชุดสีม่วงก้าวเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน กระบี่นับหมื่นเล่มเหินบินดั่งใจคิด พุ่งเสียบทะลวคร่าชีวิตของศัตรูทุกคนในสายตา ไม่ว่าผู้ใดแผ้วผ่านมา ร่างล้วนปรุพรุนเป็นรังผึ้ง
เหล่ากลุ่มศิษย์ที่มาอย่างห้าวก่อนหน้า บัดนี้ร่วงตกจากฟาฟฟ้ากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนภายใต้คมกระบี่พลังหมื่นเล่มของเขาทีละคนๆจนหมด
“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าไปแล้ว…”
มองไปยังซากศพเลอะเลือนที่ปุพรุนเกลื่อนพื้น ต้วนหลิงเทียนเพียงชักสายตาเฉยเมยไร้อารมณ์ กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็สร้างเส้นทางโลหิตมุ่งตรงมายังเหมืองอย่างไม่มีผู้ใดต้านทานได้
ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนยังฆ่าผู้ฝึกมารครึ่งก้าวเซียนที่หาญกล้ามาสู้กับเขาไปอีก 2 คน หนึ่งในนั้นคือรองประมุข ส่วนอีกคนก็เป็นผู้อาวุโสระดับสูง!
การปรากฏตัวของต้วนหลิงเทียนทำให้ทาสแรงงานในเหมืองตื่นตระหนก ตกตะลึงกันไม่น้อย
กลับมีคนบุกเข้ามาสังหารรองประมุขนิกายและผู้อาวุโสระดับสูงลงดื้อๆเช่นนี้?
หากเป็นแต่ก่อน พวกมันคงไม่อาจจินตนาการเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ออกเลย
หากแต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับปรากฏชัดเจนในสายตา
“ต้วนหลิงเทียน!!”
ไม่นานก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งในบรรดาทาสแรงงานร้องโพล่งออกมาเสียงดังเมื่อแลเห็นหน้าค่าตาผู้ที่บุกมาฆ่าคนราวผักปลา สีหน้าของผู้ตะโกนยังเต็มไปด้วยความสุขความยินดี ยังมีความประหลาดใจไม่น้อยยามเห็นร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่คล้ายอยู่ยงคงกระพันฆ่าคนตาไม่กระพริบเบื้องหน้า
“หืม!? เจ้านั่นมันรู้จักกับยอดฝีมือผู้นั้นด้วยหรือ!?”
“มิใช่มันก็เป็นทาสใช้แรงงานเหมือนพวกเราหรือไร ไฉนไปรู้จักกับตัวตนที่น่ากลัวเช่นนั้นได้!?”
“นั่นสิ หากมันรู้จักยอดฝีมือที่ร้ายกาจเช่นนี้จริง ไฉนต้องมาเป็นทาสใช้แรงงานเหมือนพวกเรา”
……
เหล่าคนงานเหมืองเริ่มซุบซิบสนทนากันหลังเห็นชายคนหนึ่งร้องโพล่งออกมา
“ว่าไงหนานกงยี่…หืม? ดูๆไปแล้วท่าทางว่าเจ้าจะไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่นี่นา…งานแถวนี้ไม่หนักรึไง?”
มองไปยังร่างชายหนุ่มที่คุ้นตา กำลังลอยร่างขึ้นมาหาเขาด้วยสภาพชุดมอมแมม ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกออกมาด้วยความขบขัน
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน 1 ในคู่แฝดหนานกง หนานกงยี่!
หลังจากที่ได้เจอหนานกงยี่แล้ว ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้เจอเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงรวมถึงคนอื่นๆด้วย เมื่อเห็นว่าทั้งหมดปลอดภัยดี ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ลุงเฟิ่ง ครู”
ต้วนหลิงเทียนโรยตัวลงมาจากฟ้า ก่อนที่จะมาหยุดลงหน้าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆที่มารวมตัวกัน ร้องทักผู้ใหญ่ทั้งคู่ออกไปก่อนใคร
หลังจากนั้นก็หันไปทักทายเฉินเฉ่าช่วยหนานกงเฉิน ก่อนที่จะพยักหน้าให้ฉงเฉวียนและโฉดคลุมทอง “ขอโทษพวกเจ้าด้วย ที่ข้าเป็นเหตุให้พวกเจ้าต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้”
“นายน้อย/เจ้านาย อย่าได้ขอโทษพวกเราเลย”
ฉงเฉวียนกับโฉดคลุมทองส่ายหน้ากล่าวออกพร้อมเพรียง ก่อนจะเป็นฉงเฉวียนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่านายน้อยต้องมาช่วยพวกเราแน่ๆ!!”
“เจ้านาย ท่านคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศฝูเฟิงหรือไม่?”
โฉดคลุมทองมองต้วนหลิงเทียนพร้อมถามออกมาด้วยความอยากรู้
พอโฉดคลุมทองถามออกมา สายตาของเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ก็หันมาจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกันด้วยความอยากรู้
“ใช่”
เจอคำถามนี้ของโฉดคลุมทอง ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ายิ้มตอบ “ข้าก็คือ ปรมาจารย์ต้วน ที่เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูคนนั้นล่ะ และตอนนี้ข้าก็จะพาทุกคนไปพักที่ตระกูลซือถูเป็นการชั่วคราว หลังจากที่พวกเราออกไปจากที่นี่”
แขกกิตติมศักดิ์ตระกูลซือถู!
ปรมาจารย์ต้วน!
ได้ยินคำยอมรับของต้วนหลิงเทียน เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆ นั้นอดไม่ได้ที่จะตกใจ ถึงแม้ทั้งหมดจะคาดไว้แล้วก็ตาม
พวกมันรู้ดีว่าชื่อเสียงแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด!
ต้วนนี้พอได้รับทราบว่าเป็นต้วนหลิงเทียนคนเดียวกัน จะไม่ให้พวกมันไม่ตกใจได้อย่างไรไหว!?
“ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆ..ว่าจะเป็นเจ้าไปได้”
เฉินเฉ่าช่วยประหลาดใจไม่น้อย
“ถ้างั้น…เจ้ามาที่นี่พร้อมกับยอดฝีมือของตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นซากศพศิษย์นิกายหยินหมิงที่ตายเกลื่อนพื้น หนานกงยี่อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“เปล่า ข้ามาคนเดียว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว
มาคนเดียว?
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ทำให้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ นิ่งค้างไปปานจะกลายเป็นหิน!
ตัวคนเดียวกลับบุกเข้ามาสังหารคนของนิกายหยินหมิงตายเป็นเบือ ยิ่งไปกว่านั้นยังฆ่ารองประมุขกับผู้อาวุโสระดับสูงไปแล้วด้วย!
แม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝีมือกล้าแข็งขนาดนี้ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่แปลกใจอะไร
เพราะสุดท้ายแล้ว พวกมันก็ได้รับรู้มาว่าแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู คือยอดฝีมือที่ติดอันดับที่ 23 ในรายนามนภา ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะสังหารครึ่งก้าวเซียนในนิกายหยินหมิง ที่ไม่แม้แต่จะติดอันดับในรายนามนภาด้วยซ้ำ…
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกล้าเปิดฉากสังหารนองเลือดอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ย่อมเป็นการกระตุ้นเตือนยอดฝีมือขอบเขตเซียนของนิกายหยินหมิงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
พอคิดถึงเรื่องที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้ง 2 อาจจะรู้ตัวและกำลังบุกมา สีหน้าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆก็ซีดลงทันที!
“นายน้อย ท่านรีบหนีไปก่อนเร็วเข้า! หากประมุขนิกายหยินหมิงกับอาวุโสสูงสุดนั่นมันพบเรื่องนี้ ท่านจักตกอยูในอันตราย!!”
ฉงเฉวียนเป็นคนที่ได้สติก่อนใคร เร่งกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนอย่างร้อนใจด้วยใบหน้าเป็นกังวล
“ใช่แล้วเจ้าหนู! เจ้ารีบหนีไปก่อน เดี๋ยวพวกเราจะอาศัยสถานการณ์วุ่นวายลอบหลบหนีไปกันเอง แล้วพวกเราค่อยไปพบกันที่เมืองหลวง!”
เฟิ่งหวู่เต้าก็พยักหน้าเห็นด้วยกับฉงเฉวียน เร่งกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆจะไม่ได้พูดอะไร แต่ด้วยสายตาที่มองมายังต้วนหลิงเทียนด้วยความกังวลก็บ่งบอกความในใจของพวกมันหมดสิ้น ทั้งหมดต้องการให้ต้วนหลิงเทียนรีบเร่งหลบหนีไป ก่อนที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนจะค้นพบสถานการณ์ที่เหมือง ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนคิดหนี ก็ยากจะหนีแล้ว!
“ทุกคนใจเย็นลงก่อน…พวกมันไม่มาหรอก”
ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวเบาๆ ค่อยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ พวกเราออกจากที่นี่แล้วไปหาศิษย์พี่ป๋ายลี่ก่อนเถอะ…ตอนนี้ศิษย์พี่กำลังรอพวกเราอยู่ด้านนอกนิกายหยินหมิง”