War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1630
ตอนที่ 1,630 : เมฆดำปกคลุมยอดเขา
“ศิษย์น้องในเมื่อเจ้าประกาศถอนตัวออกจากตระกูลซือถูแล้ว พรุ่งนี้เจ้ามิจำเป็นต้องไปก็ได้…”
ในสายตาของป๋ายลี่หง ย่อมไม่เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นคนอื่นคนไกลอะไรอีก เช่นนั้นมันจึงเปิดประตูเห็นภูผากล่าว “หลินตงนั่นจะอย่างไรก็เป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ในรายนามนภา พลังฝีมือของมันย่อมสูงส่ง…นอกจากนี้มันกล้าท้าสู้เป็นตายกับเจ้าทั้งๆที่รู้พลังของเจ้า เห็นชัดว่ามันเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว!”
“เช่นนั้นการที่เจ้าไปประลองเป็นตายกับมัน เจ้าจักไม่เสียเปรียบหรือ?”
ป๋ายลี่หงกล่าวออกเสียงเข้ม
“ใช่แล้ว ต้วนหลิงเทียน ถึงแม้หน้าตาจะสำคัญ แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับชีวิต! นอกจากนี้เพียงเจ้าบ่มเพาะให้ทะลวงผ่านขอบเขตเซียนเสียก่อนค่อยไปท้าประลองมันอีกครั้งแล้วเอาชนะมันก็แค่นั้น ถึงแม้ตอนนี้จะต้องทนรับคำถากถางว่ากลัวก็ไม่นับเป็นอะไร ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีไม่สาย วันหลังเจ้าค่อยเอาชนะมันล้างคำครหาเถอะ…”
เฉินเฉ่าช่วยกล่าวแนะนำออกมา
“นายน้อยถึงแม้ข้าจักมิรู้ว่าหลินตงนั้นร้ายกาจเพียงใดหากเทียบกับท่าน แต่ข้าก็คิดว่าพรุ่งนี้ท่านยังมิสมควรปรากฏตัว”
ฉงเฉวียนยังกล่าวแนะออกมา
ไม่นานโฉดคลุมทอง ซื่อหม่าฉางฟงไม่เว้นคู่แฝดหนานกงก็พยายามกล่าวโน้มน้าว หมายเกลี้ยกล่อมให้ต้วนหลิงเทียนล้มเลิกความคิดประลองไปเสีย
“ทุกคนใจเย็นก่อน ข้าคงไม่ยอมรับคำท้าของหลินตงมันหรอกหากข้าไม่มั่นใจ…ต่ำกว่าเซียนข้าไม่กลัวใครทั้งนั้น”
เผชิญกับวาจาเกลี้ยกล่อมด้วยกังวลของทุกคน ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มตอบไปด้วยความมั่นใจ
แต่เมื่อเห็นว่าสายตาทุกคนยังเต็มไปด้วยความกังวล ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวสืบต่อ “ทุกคนในที่นี้ก็อยู่กับข้ามานาน เห็นข้าเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้…อย่าได้บอกเชียวว่าทุกคนคิดจริงๆว่าข้าเป็นคนรนหาที่ตายอะไรทำนองนั้น?”
หลังจากกล่าวจบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวเบาๆ
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนทำให้ป๋ายลี่หงและคนอื่นๆเงียบลงทันที
พอพวกมันย้อนคิดทบทวนดู ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่คนรนหาที่ตายจริงๆ
อาจมีหลายครั้งที่สถานการณ์ไม่เป็นใจและดูไม่สู้ดีสำหรับต้วนหลิงเทียน
ทว่าสุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนกลับสร้างความประหลาดใจให้พวกมันเสมอมา
พอคิดไปคิดมารวมทั้งฉากเรื่องราวในอดีต รวมถึงเห็นรอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจของต้วนหลิงเทียน ทุกคนก็พอได้สบายใจขึ้นมา
“งั้นเช่นนั้นพวกเราจะไปชมดู ว่าเจ้าจะฆ่าหลินตงอะไรนั่นเช่นไร”
หนานกงยี่หัวเราะออกมา
“ใช่แล้ว! พวกเราจะไปดูว่าอันดับ 1 ในรายนามนภามันจะถูกเจ้าคว่ำยังไง!”
เฉินเฉ่าช่วยยังกล่าวโพล่งตามมา
ด้วยมีต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือน ทำให้มุมมองของทุกคนพลิกกลับร้อยแปดสิบองศาในพริบตาก็ว่าได้ ทั้งหมดกลายเป็นมั่นใจในความสามารถของต้วนหลิงเทียนทันที
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้เขาจะไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่อาศัยรอยยิ้มมั่นใจก็อธิบายได้ทุกอย่างแล้ว
หลังจากนั้นทุกคนรวมถึงป๋ายลี่หงก็ไม่คิดรบกวนอะไรต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป ต่างอำลาและแยกย้ายกันกลับที่พักของตัวทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแทนที่จะเข้าไปบ่มเพาะฝึกปรือในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขากลับเลือกที่จะนอนเอนหลังอยู่บนเตียง
“จะบรรลุถึงขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ได้ยังไงกันนะ…”
ต้วนหลิงเทียนบ่นพึมพำ คิ้วขมวดเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเนื้อหาทั้งหมดของเคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ จะสลักอยู่ในใจเขาแล้ว รวมทั้งบรรลุถึงขั้นแรกได้มานาน แต่เขาก็รู้สึกว่ายังอีกไกลกว่าจะบรรลุถึงขั้น 2
เขารู้ว่าด่านที่ 2 ของมันคืออะไร แต่จะก้าวเท้าข้ามไป นับว่าเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย!
หลังจากที่ใช้เวลาไปมากกว่าปีบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาได้พยายามหลายครั้ง ทั้งลำบากลำบนไม่น้อย แต่สุดท้ายก็เพียงจับสัมผัสด่านที่ 2 ได้เลือนราง ยังคลำหาทางเข้าไปไม่พบ…
เรียกว่าตราบใดที่เขาค้นพบหนทางล่ะก็ เขาพร้อมจะทะลวงไปถึงด่านที่ 2 ของยอดใจกระบี่ได้ทุกเวลา
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีค่ำคืนก็ผ่านพ้นไปแล้วอย่างนั้น
เมื่อแสงอรุณสาดส่องทะลุหน้าต่าง ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ยังอดบ่นโอดครวญออกมาเสียไม่ได้ “ยังคลำทางไม่เจอ…ดูเหมือนว่าข้าต้องสบโอกาส หรือรู้แจ้งโดยบังเอิญถึงจะสามารถบรรลุขั้นที่ 2 ได้ และถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งข้าจะยกขึ้นไปอีกระดับ”
พอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตลอด 3 เดือนในโลกภายนอก ต้วนหลิงเทียนก็พอใจกับความก้าวหน้าของตัวเองไม่น้อย
‘อันดับ 1 ในรายนามนภางั้นเหรอ? ก่อนปิดด่านฝึกฝนข้ายังไม่คิดจะกลัวเจ้าเลย…ในเมื่อเจ้าอยากท้าข้านัก ข้าก็พร้อมน้อมสนองเจ้า! อย่าได้หวังว่าจะมีวันได้กลับคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนได้อีก!!’
พอคิดถึงการประลองเป็นตายที่จะเริ่มขึ้นตอนเที่ยงวันนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายเย็นเยือกออกมา
‘หลินตงนั่น ดูเหมือนจะเป็นสายเลือดหลักของตระกูลที่เป็นขุมพลังใต้อาณัติคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนโดยตรง…ข้าล่ะอยากรู้นักหากมันตายคาประเทศฝูเฟิงแบบนี้ ฝ่ายอ๋องเฉียนมันจะเผชิญหน้ากับโทสะของขุมพลังชั้น 6 ยังไง! แม้จะเป็นตระกูลขุมพลังชั้น 6 ที่เทียบได้กับตระกูลราชวงศ์ประเทศฝูเฟิง แต่พวกมันกลับมีรากฐานต่างกันชัดเจน!’
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่แต่มุมปากต้วนหลิงเทียนพลันเผยรอยยิ้มแสยะขึ้นมา
ในเมื่ออ๋องเฉียนมันอยากฆ่าชิงทรัพย์เขานัก คราวนี้เขาจะให้มันลองกินยาขมหม้อเดียวกันดู!
หลังจากที่ล้างตัวอะไรเรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวออกจากบ้าน เดินไปไม่นานก็เห็นซือถูหังกำลังรับประทานอาหารเช้าบนโต๊ะหินอ่อนในลานว่าง
“ท่านปรมจารย์ต้วน ท่านกลับออกมาแต่เช้า…หรือเมื่อคืนท่านมิได้บ่มเพาะพลัง?”
เมื่อซือถูหังเห็นต้วนหลิงเทียนเดินออกมาด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส มันก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะในสายตาของมันการที่วันนี้ต้วนหลิงเทียนจะไปประลองเป็นตาย อีกฝ่ายสมควรบ่มเพาะพลังให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับเดินออกจากบ้านด้วยท่าทางคล้ายไม่เป็นกังวลอะไรเลย ทำให้มันตระหนักได้ว่ามันเข้าใจผิด
แม้ต้องเผชิญหน้ากับหลินตง ยอดฝีมืออันดับ 1 ในรายนามนภาของเขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนแต่ปรมาจารย์ต้วนของมันยังคงใจเย็นแลดูสบายๆนัก ทำให้มันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะหลินตงได้ง่ายๆ…
อย่างไรก็ตามพอมันคิดถึงเรื่องนี้ มันก็เร่งปฏิเสธความคิดดังกล่าวทันที
หลินตงนั้นในฐานะยอดฝีมืออันดับ 1 ของรายนามนภา แถมอีกฝ่ายกล้าที่จะเพิ่มกฏการประลองเป็นการประลองเป็นตายแบบนี้ นั่นหมายความว่าต้องเตรียมตัวมาดี การประลองครั้งนี้คงไม่ง่ายนัก!
หาไม่แล้วใครจะกล้าท้าประลองเป็นตาย?
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเดินมานั่งร่วมโต๊ะ ซือถูหังก็โบกมือให้สาวใช้เร่งจัดสำรับอาหารให้ต้วนหลิงเทียนทันที
พอได้เห็นต้วนหลิงเทียนรับประทานอาหารเช้าคำใหญ่คล้ายกับหิวไม่น้อย ทำให้ซือถูหังอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ท่านปรมาจารย์ต้วน เที่ยงนี้ท่านก็จะประลองเป็นตายกับหลินตงอยู่แล้วแท้ๆ แต่นี่ท่านไม่มีความกังวลอะไรเลยหรือ?”
“ยังมีอะไรให้กังวล?”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นมาถามเล็กน้อย ก่อนที่จะคีบเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปากเคี้ยวหงุบหงับ
และคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้ซือถูหังไปไม่เป็น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อทันที
ความมั่นใจของต้วนหลิงเทียนนั้น สุดที่มันจะเข้าใจได้จริงๆ
เป็นความสัตย์จริงที่มันหวังให้ต้วนหลิงเทียนแคล้วคลาดปลอดภัย กระทั่งเป็นผู้ชนะ อย่างไรก็ตามพอคิดถึงชื่อเสียงของหลินตงและวีรกรรมอีกฝ่าย ความคิดดังกล่าวคล้ายจะกลายเป็นเรื่องอันยากเย็นทันที
ในสายตาของมัน ที่ต้วนหลิงเทียนยังแลดูสบายๆไร้กังวล เพราะอีกฝ่ายคงไม่ทราบว่าหลินตงน่ากลัวอย่างไร
‘ช่างเถอะ จะอย่างไรก็ช่าง…ข้าจะขอให้ปู่โฮ่วลงมือช่วยชีวิตท่านปรมาจารย์ต้วนทันทีที่ชีวิตท่านตกอยู่ในอันตราย ต่อให้ข้าจะถูกผู้คนประนามอย่างไรก็ช่าง ขอแค่ท่านปรมาจารย์ต้วนปลอดภัยก็พอ!’
ซือถูหังขบคิดในใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ความคิดนี้ของมันยังบ้าบิ่นนัก
ตราบใดที่การประลองตอนเที่ยงวันนี้ หลินตงมีแนวโน้มว่าจะสังหารต้วนหลิงเทียนได้ มันจะขอให้ซือถูโฮ่วสอดมือเข้าช่วยทันที
แน่นอนว่าหากลงมือทำเช่นนั้น ต้องถูกผู้คนประนามแน่นอน
แต่มันก็คิดไว้แล้ว ว่ามันจะประกาศต่อสาธารณชนกระทั่งสาบานต่ออัสนีสวรรค์ ว่ามันเป็นคนขอให้ซือถูโฮ่วลงมือด้วยตัวเอง ไม่ใช่ความคิดของตระกูลซือถู!
อย่างไรก็ตาม คล้ายซือถูหังจะลืมเลือนไปแล้ว มันมีซือถูโฮ่วให้ร้องขอความช่วยเหลือ แต่อ๋องเฉียนไหนเลยขาดยอดฝีมือขอบเขตเซียน? อีกฝ่ายย่อมตระเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน!
มีคำกล่าวที่ว่า ใจกังวลหูตาฝ้ามัว ซือถูหังก็กำลังเป็นเช่นนั้นอยู่
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่นานก็เจียนจะเที่ยงวันอยู่รอมร่อ
ตระกูลซือถูนั้นออกเดินทางไปยังสถานที่นัดหมายประลองโดยมีซือถูฮ่าวนำขบวน ยังเป็นการไปอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่สมฐานะ มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศเหนือ
หลังจากออกนอกเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงแล้ว ทั้งหมดก็เริ่มใช้การเดินทางๆอากาศ เหาะไปยังยอดเขาเป่ยหมังทันที
ภายในกลุ่มคนของตระกูลซือถู ก็มีป๋ายลี่หงและคนอื่นๆอยู่ด้วย
ในปัจจุบันป๋ายลี่หงก็เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแล้วเพราะฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลซือถูล้วนยอมรับ!
ดังนั้นถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้อยู่ในตระกูลซือถูอีกต่อไป แต่ด้วยมีป๋ายลี่หงอยู่ทั้งคน ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆก็อยู่ดีมีสุขในตระกูล
อันที่จริงถึงแม้จะไม่มีฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวของป๋ายลี่หง แต่ทุกคนก็สมควรอาศัยอยู่ในตระกูลซือถูได้อย่างสุขสบาย เพราะเฟิ่งหวู่เต้าที่เป็นสหายอันดีของทุกคนคือบิดาของแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย ตระกูลซือถูย่อมไม่พลาดเรื่องนี้
“แล้วเจ้าต้วนมันอยู่ไหนล่ะเนี่ย?”
เฉินเฉ่าช่วยหันมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นต้วนหลิงเทียน
“ข้าเองก็ไม่เจอตั้งแต่เช้าแล้ว…ไม่รู้ออกไปไหน”
หนานกงยี่ที่มองซ้ายทีขวาที่สุดท้ายก็ส่ายหน้าออกมา
“ท่านปรมาจารย์ต้วนจากไปหลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จ…จากที่ท่านกล่าวไว้ เพราะความที่ท่านมิได้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแล้ว เช่นนั้นเป็นการดีเสียกว่าที่ท่านจะเดินทางไปยังขุนเขาเป่ยหมังด้วยตัวเอง”
ตอนนี้เองซือถูหังพลันกล่าวตอบข้อสงสัยออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ถ้างั้น เจ้าต้วนน่าจะไปถึงยอดเขาเป่ยหมังอะไรนั่นแล้วล่ะ…”
เฉินเฉ่าช่วยกับหนานกงยี่พอเข้าใจเรื่องราวได้ทันที
ขุนเขาเป่ยหมังนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวงประเทศฝูเฟิง ยังห่างจากตัวเมืองหลวงไปนับสิบพันลี้
หมื่นลี้นี้หากเป็นคนธรรมดาคงเป็นระยะทางอันไกลโข
แต่สำหรับคนในตระกูลซือถู ที่อ่อนแอที่สุดอย่างเฉินเฉ่าช่วยและสหายของต้วนหลิงเทียน ระยะทางแค่หมื่นลี้ก็ใกล้นิดเดียว!
แม้ทั้งหมดจะลดความเร็วลงให้เท่าพวกเฉินเฉ่าช่วย แต่ทุกคนก็มาถึงยอดเขาเป่ยหมังก่อนเวลา
“ผู้คนมากันมากมายถึงขนาดนี้เชียว!!”
อย่างไรก็ตามพอมาถึงยอดเขาเป่ยหมังทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะเหนือยอดเขามีผู้คนเหินลอยรอชมการประลองกันหนาตา!
เรียกว่าตอนนี้บริเวณน่านฟ้าเหนือยอดเขาเป่ยหมัง หากมองไกลๆจะเห็นผู้คนตัวเล็กเท่าจุดดำ แต่ทว่าความที่ผู้คนมากมายหนาตา จึงแลเสมือนเมฆฝนดำครึ้มกำลังปกคลุมเหนือยอดเขาก็ไม่ปาน
“เห็นว่าผู้คนพากันแห่มาที่เขาเป่ยหมังตั้งแต่เมื่อวาน พากันค้างคืนบนเขาเพื่อจับจองจุดชมการประลองที่ดีที่สุด”
ซือถูหังยังกล่าวเสริม “แถมไมใช่แค่ผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวง กระทั่งผู้คนที่ได้รับทราบข่าว พวกมันก็เร่งรุดเดินทางข้ามคืนเพื่อมายังขุนเขาเป่ยหมัง…แต่ดูเข้าเถอะ มากันเยอะแยะมากมายจนคล้ายเมฆดำคลุมเขาเช่นนี้ จะให้ท่านปรมาจารย์ต้วนประลองกับหลินตงอย่างไร พวกมันไม่รู้ลืมคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าน่านฟ้าเหนือเขาเป่ยหมังคับคั่งไปด้วยผู้คน ซือถูหังก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ