War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1682
ตอนที่ 1,682 : เตี๊ยมกัน?
หากอีกฝ่ายไม่ได้ฆ่าคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมัน ตัวมันก็ไม่รังเกียจที่จะเชื้อเชิญและยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายเข้าร่วมคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเช่นกัน…
“ข้าชื่อ ลี่เฟิง”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มให้เริ่นจงกับหลิวหงกวนก่อน ค่อยกล่าวนามแฝงออกมา แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับน้ำใจรองผู้นำเริ่นและอาวุโสหลิวนัก ที่อุตส่าห์เชิญข้าเข้าร่วมคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคลื่นคลั่ง…ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับข้า เช่นนั้นแล้วขอให้ท่านทั้งสองให้เวลาข้ากลับไปลองคิดดูก่อนได้หรือไม่…และข้าจะให้คำตอบพวกท่านหลังจบการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเป็นอย่างไร?”
ลองคิดดูก่อน?
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนทำให้สองตาของหลิวหงกวนและเริ่นจงส่องสว่างขึ้นมาทันใด!
วาจานี้มีความหมายอย่างไรพวกมันย่อมรู้เป็นธรรมดา!
อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธพวกมัน!!
มีโอกาสแล้ว!!
ทันใดนั้นเริ่นจงกับหลิวหงกวงพลันหันหน้ามามองสบตากันทันที ยามนี้คล้ายมีสายฟ้าพุ่งวาบออกมาจากลูกตา ปะทะกันกลางอากาศเปรี๊ยะๆ! ต่างเข้าสู่ภาวะแข่งขันช่วงชิงอย่างที่ไม่มีใครยอมใครแล้ว!!
ถึงแม้มีโอกาสที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าร่วมขุมพลังชั้น 4 แต่ทว่าในเมื่อคนมีอยู่คนเดียว…เช่นนั้นหมายความว่าเลือกเข้าได้แค่ขุมพลังเดียว!!
ดังนั้นบรรยากาศระหว่างเริ่นจงกับหลิวหงกวง จึงต้องคลุ้งกลิ่นดินปืนขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แน่นอนว่าพวกมันทั้งคู่ยังรู้ดี ว่าการตัดสินใจสุดท้ายของต้วนหลิงเทียนยังขึ้นอยู่กับ ผลประโยชน์ที่จะได้รับ! ดั่งคำ ‘นกดีเลือกไม้งามทำรัง’ พวกมันเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี!!
เช่นนั้นพวกมันจึงเริ่มพิจารณาทันทีว่าสมควรยื่นข้อเสนออันใดให้ลี่เฟิง และให้มากที่สุดได้ถึงขนาดไหน!
“ลี่เฟิง…เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ!”
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนลงมือเปิดกางเขตแดน หลวงจีนลายบุปผาเองก็ไม่อาจมองเห็นเรื่องราวด้านในเขตแดนได้เลย นับว่ามันพึ่งเคยพบเคยเจอเขตแดนแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก!
ต่อมาเมื่อเขตแดนสลายหายไป กระทั่งคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็คล้ายสาบสูญไปในสวรรค์และโลก มันก็มั่นใจได้ทันที!
ลี่เฟิงผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ!
ด้านศาลเจ้าชุนหยาง จิ้งชวีจื่อเองก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาคมกล้าเช่นกัน
ก่อนหน้านี้มันเองก็สนใจต้วนหลิงเทียน เพราะอีกฝ่ายนั้นยืนอยู่เพียงลำพังไม่กล่าววาจากับใครเหมือนกันกับจงกู้
ตอนนี้มันก็ตระหนักได้แล้ว ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็มีพลังฝีมือที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงกู้เลย!
ด้านจงกู้ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน
อันที่จริงตอนแรกที่มันเห็นต้วนหลิงเทียนความประทับใจที่มันมีต่อต้วนหลิงเทียนก็นับว่าดีงาม แต่มาตอนนี้พอได้ฟังวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว เผยเจตนาทำนองว่าอาจจะเข้าร่วมขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์คลื่นคลั่ง มันก็สิ้นความประทับใจต่อต้วนหลิงเทียนทันที…
เพราะมันมองพวกผู้ที่มีอำนาจและอิทธิพลว่าไม่ใช่ตัวดี…
หาไม่แล้วมันคงไม่มาเป็นผู้ฝึกตนพเนจรแบบนี้
ด้วยพลังฝีมือทั้งศักยภาพพรสวรรค์ของมัน คิดเข้าร่วมขุมพลังชั้น 4 นับว่าเป็นอะไรที่ไม่ใช่ปัญหา! เพียงแค่มันยินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะภัคดี ไม่ว่าขุมพลังชั้น 4 ใดก็ยินดีสนับสนุนอุ้มชูมัน!
ความในใจของจงกู้ เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้
สิ่งที่เขาคิดตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘ป่านนี้แล้วทำไมฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยังโผล่หัวมาซะที!’
เรียกว่าตอนนี้เวลามันก็ปาเข้าไปเกือบจะเที่ยงวันแล้ว ส่วนตัวเก็งที่ยังไม่ลงประลองก็เห็นจะมีแต่หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ…
‘เห็นว่าฉีจิ้งนั่นมันกระหายอยากเป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนักไม่ใช่รึไง…ถ้างั้นมันต้องไม่ยอมพลาดการประลองยอดนักรบแน่…จะช้าจะเร็วยังไงวันนี้มันต้องมา!’
คิดถึงจุดนี้ใจต้วนหลิงเทียนจึงพอได้สงบลง
หลังจากที่อาศัยบ่มเพาะอยู่ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินข่าวลือมาไม่น้อย ว่าฉีจิ้งมีความทะเยอทะยานสูงนัก ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกไปวันๆอย่างที่คิด
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อด้วยความสงสัย ว่าใครจะขึ้นมาประลองก่อนกัน
นอกจาก 2 คนนี้เขาไม่คิดว่าจะมีใครก้าวขึ้นเวทีเพื่อท้าประลองชิงตำแหน่งจ้าวเวทีอีกแล้ว
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ในบรรดาจ้าวเวทีทั้ง 10 รวมตัวเขาด้วย ก็ไม่มีใครอ่อนแอเลย
อย่างไรก็ตามเมื่อมีร่างหนึ่งเหินกายออกมา ก็นับว่าสร้างความประหลาดใจให้ต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง
เพราะต้วนหลิงเทียนก็จดจำคนผู้นี้ได้เช่นกัน
“ฉีกัง?”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นด้วยสงสัย เพราะเขาไม่คิดว่าฉีกังที่พ่ายแพ้หยินชวีจื่อจะลงประลองอีกครั้ง หากไม่มีอะไรผิดพลาดด่านพลังของฉีกังก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น การลงประลองตอนนี้ ย่อมไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องเจ็บตัว…
“ไฉนฉีกังถึงออกไปประลองอีกแล้วเล่า?”
เมื่อเห็นฉีกังปรากร่างออกมา ทุกผู้คนล้วนงงกันเป็นแถบ
“ฉีกังนี่มิใช่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดหรือไร ยังแพ้พ่ายให้หยินชวีจื่อมาด้วยซ้ำ…เช่นนั้นหากคิดจะท้าก็ต้องเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่หยินชวีจื่อแล้วล่ะ หาไม่คงได้เจ็บตัวกลับไปอีกรอบ!”
หลายคนเริ่มหัวเราะออกมา
“ก็นะ ตามกฏแล้วมันสามารถท้าผู้ใดก็ได้นอกจากคนที่มันเคยพ่ายแพ้”
บางคนกล่าวเสริม
“ถูก แต่อย่างไรเสียคนเรามิใช่สมควรรู้จักการประมาณตนหรือ? มันก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงุสด เห็นได้ชัดว่ามิใช่คู่มือของจ้าวเวทีทั้ง 10 แล้วไฉนมันถึงออกมาอีกรอบ?”
หลายคนไม่เข้าใจการกระทำของฉีกัง
เริ่นจงกับหลิวหงกวงเองก็ขมวดคิ้ว ด้วยคิดว่าฉีกังเลอะเลือน อยากหาเรื่องเจ็บตัวหรืออย่างไร…
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าฉีกังจะท้าทางใคร ร่างของมันก็พุ่งวูบไปถึงเวทีประลองเม็ดหมากเวทีหนึ่ง
“เอ่อ…”
พอเห็นว่าฉีกังไปหยุดที่เวทีไหน ผู้คนทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากันตาปริบๆ ถึงกับพูดไม่ออกอยู่บ้าง
เหตุผลที่ทำให้ทุกคนอึ้งถึงขั้นพูดไม่ออก เพราะเวทีที่ฉีกังเลือกขึ้นไปนั้น มีจ้าวเวทีเป็นฉีค่าน!
ฉีค่านยังเป็นหลานชายของผู้อาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่นอีกด้วย!
“อะไร!? ฉีกังคิดท้าทายฉีค่านงั้นเหรอ!?”
หลายคนโพล่งคำออกมาอย่างตกใจ ด้วยไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง
หลายคนยังเอื้อมมือไปหยิกต้นขาตัวเองดู เพื่อตรวจสอบว่าพวกมันกำลังฝันไปหรือไม่
และความเจ็บจี๊ดที่แล่นขึ้นหัวก็บอกให้รู้ว่าพวกมันไม่ได้ฝันไป
ฉีกังที่มีพลังฝึกปรือเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดคิดท้าฉีค่าน เซียนขัดเกลาขั้นกลาง?
“ฐานะเป็นถึงหลานชายอาวุโสหลัก พลังฝึกปรือก็บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…แล้วฉีกังคิดอ่านอันใดใยท้าทายตัวตนเช่นนี้ ทั้งๆที่พลังฝีมือมันก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด? หรือมันมีเรื่องราวบาดหมางอันใดกับฉีค่านหรือไม่?”
“ถึงจะมีเรื่องบาดหมางคิดสะสางความแค้น แต่ไหนเลยยังไม่รู้ว่าพลังฝีมือมันสูฉีค่านมิได้ ยังจะล้างแค้นอะไร?”
“บางทีแม้มันจะรู้ตัวดีว่าสู้ฉีค่านไม่ได้ แต่ใช่คิดอยากลงมือเพื่อสร้างปัญหาให้ฉีค่านสักนิดหรือไม่?”
“อาจเป็นได้”
……
ต้องกล่าวเลยว่าผู้คนมักชมชอบคิดวิเคราะห์กันไปเอง สุดท้ายก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ทั้งๆที่ไม่แน่ใจอะไร
“ใช้โอกาสเช่นนี้ สะสางความแค้นความบาดหมางกับฉีค่าน…ฉีกังผู้นี้ต้องเคียดแค้นฉีค่านถึงขนาดไหนกัน? นี่มันไม่กลัวต่อไปจะไม่มีที่ยืนในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรือไร?”
หลายคนยังคงส่ายหัวและไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าเรื่องนี้มันเหลวไหลเกินไป
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ด้านต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นตั้งแต่เห็นฉีกังเหินร่างไปทางเวทีประลองฉีค่านแล้ว และเมื่อมันลงไปยังเวทีของฉีค่านจริงๆ ยิ้มเย็นชาพลันแสยะออกที่มุมปากของเขาทันที เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าพวกมัน
หากฉีกังมันคิดท้าทายฉีค่านจริงๆด้วยเหตุผลไร้สาระพรรค์นั้น สีหน้ามันต้องเคียดแค้นทั้งมีการเตรียมใจอะไรบ้าง
ทว่าต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของฉีค่าน ไหนเลยยังไม่รู้ได้ว่าพวกมันคิดทำอะไรกัน!
และจากสายตาดั่งอสรพิษที่ฉีค่านหันมองมา ใจต้วนหลิงเทียนก็เย็นเยียบลงทันใด
‘เตี๊ยมกันโง่ๆอย่างนี้เลย?’
ในใจต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีว่าพวกมันสมรู้ร่วมคิดก่อการขึ้นมาแล้ว
และฉากต่อมาก็ทำให้ผู้คนที่ไม่รู้เรื่องราวตกตะลึงพรึงเพริดกันนัก
เพราะในสายตาของทุกคนเมื่อฉีกังท้าทายฉีค่าน มิแคล้วต้องถูกทุบตีอนาถแพ้พ่ายไปอย่างไร้หนทางสู้แน่นอน
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของพวกมันนัก
“ข้ายอมแพ้”
เสียงเย็นเยียบกล่าวออกห้วนๆของฉีค่าน ทำให้ผู้คนโดยรอบอลหม่านขึ้นมาทันใด
มาตอนนี้เอง เริ่นจง หลิวหงกวง และผู้นำขุมพลังชั้น 5 อีกไม่กี่คนก็หยีตาลงทั้งเผยประกายคมกล้า ยังหันมองไปทางต้วนหลิงเทียนทันที คล้ายคาดเดาได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน?”
ทว่าอย่างไรเสีย ฉากเบื้องหน้าก็ยังเป็นอะไรที่ผู้คนมากมายไม่เข้าใจ
“ฉีค่านยอมแพ้งั้นเหรอ? ด้วยด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลางเนี่ยนะ?!”
หลายคนอดอุทานออกมาไม่ได้
“หรือมันคิดใช้วิธีนี้ ดันให้ฉีกังติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องกัน?”
หลายคนมองไปยังฉีค่านด้วยสายตาแปลกๆ
“มันเสียสติไปแล้วรึ! ฉีกังจักอยู่ในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องด้วยวิธีต่ำช้าเช่นนี้ได้อย่างไร..ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้ามีเซียนขัดเกลาตั้งขั้นต้นนอกจากหยินชวีจื่อมากมายที่ถูกคัดออกไป…หากฉีกังสมคบคิดกับฉีค่านใช้วิธีพรรค์นี้เข้ามาเป็นจ้าวเวทีหมายติดอยู่ในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ทว่าสุดท้ายมันก็ต้องถูกคนที่แพ้ไปก่อนหน้าท้าชิงมิจบสิ้น!”
หลายคนเริ่มกล่าวถกกันหนาหู ทั้งหมดคิดว่าการกระทำนี้ของทั้ง 2 คนออกจะเหลวไหลใหญ่แล้ว
ทว่าไม่นานพวกมันก็จำต้องเงียบปาก
เพราะพวกมันเห็นัชดถนัดตา ว่าฉีค่านที่ยอมแพ้ไม่ได้เหินร่างกลับไปยังจุดรวมพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หากแต่เหินร่างไปยังเวทีเม็ดหมากเวทีอื่น ก่อนที่จะมาหยุดลงบนเวทีหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันคิดท้าทายจ้าวเวทีคนนี้!
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!!”
จังหวะนี้หลายคนถึงกับยกมือขึ้นมาตบศีรษะตัวเองดังฉาด เพราะตระหนักได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น “ที่อุตส่าลงทุนกระทำเช่นนี้ ทั้งหมดที่แท้เพื่อให้มีโอกาสท้าประลองลี่เฟิง!!”
ลี่เฟิงเป็นนามแฝงของต้วนหลิงเทียน
และเขาไม่เพียงแต่ฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปเท่านั้น ยังกล่าววาจาลามปามกับอาวุโสหลักอย่างฉีเสิ่น แถมเมินเฉยไม่สนใจฉีค่านอีกด้วย
พริบตานี้ทุกผู้คนที่ชมดูอยู่ พลันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศคลุ้งกลิ่นดินปืนระหว่างต้วนหลิงเทียนกับฉีค่านได้ชัดเจน ทั้งหมดรู้ได้ทันทีว่าฉีค่านอาจไม่ใช่แค่คิดท้าทายเพื่อเอาชนะ แต่อาจถึงขั้นคิดฆ่าต้วนหลิงเทียน!!
“ดูเหมือนว่าลี่เฟิงจะทำให้ฉีค่านโกรธแล้วจริงๆ…หาไม่แล้วมันคงไม่ลงทุนทำเช่นนั้นเพื่อมาท้าทายลี่เฟิงเป็นแน่! เพราะอย่างไรเสียหลังจากนี้ก็ต้องได้ประลองกับลี่เฟิงยามจัดอันดับอยู่ดี”
บางคนถอนหายใจออกมา
“เจ้าลืมคิดไปอย่างหนึ่ง การกระทำครั้งนี้ของฉีค่านนับว่าฉลาดยิ่ง เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าหากเข้ารอบ 10 คนไปรอจัดอันดับแล้วจริงๆ ถึงตอนนั้นผู้ดูแลมักลงมือตามเห็นสมควรทันทีมิรอให้ต้องกล่าวยอมแพ้ เพื่อช่วยชีวิตของผู้เข้ารอบ!”
บางคนกล่าวแนะเรื่องนี้ออกมา
“อาจริงสิ! ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน…นับว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดหากคิดจะฆ่าคนจริงๆ เพราะ 10 คนที่จะเข้ารอบจัดอันดับยังมิถูกตัดสินชี้ชัด!”
หลายคนพลันเข้าใจเรื่องราวทันที
เผชิญหน้ากับฉีค่าน ต้วนหลิงเทียนยังคงสงบอย่างที่เคยเป็น เขารู้ว่ามันจะเป็นอีหร็อบนี้ตั้งแต่เห็นฉีค่านเผยยิ้มแสยะตอนฉีกังบินไปหามันแล้ว
“เจ้าไม่กลัวหลานชายของเจ้าจะประสบชะตาเดียวกันกับคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเมื่อครู่หรือไง?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามฉีเสิ่นออกมาด้วยรอยยิ้มเฉยเมย ในน้ำเสียงยังเผยความมั่นใจในตัวเองอย่างสูง
หลังจากได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน กอปรทั้งเห็นความมั่นใจที่ฉายชัดบนใบหน้าของต้วนหลิงเทียน ฉีเสิ่นพลันหน้าเคร่งใจสั่นขึ้นมาทันใด ‘ลี่เฟิงผู้นี้…ไฉนมั่นใจนักเล่า?’