War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1722
ตอนที่ 1,722 : กล้อนผม!
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย มากันมากมายเช่นนี้มีอะไรจะชี้แนะข้างั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองไปยังเหล่าศิษย์วังนภาที่มารวมตัวกันหน้าประตูบ้านโดยเฉพาะ 3 คนที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด ค่อยกล่าวถามออกมาพร้อมยกยิ้มที่มุมปากบางๆ
“เจ้านั่นน่ะหรอ หลิงเทียน ที่ว่า?”
ตอนนี้เองเหล่าศิษย์ที่ออกันอยู่ในลานก็มองพินิจต้วนหลิงเทียนกันใหญ่ หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปข้างๆ กล่าวถามออกด้วยสงสัย “ไฉนยังแลดูเยาว์นัก?”
“เยาว์แค่หน้าตายังไม่เท่าไหร่…แต่อายุที่แท้จริงก็ยังมิถึง 40 ปีที!”
“อายุยังไม่ถึง 40 ปี แต่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว…พรสวรรค์จะเลิศล้ำอะไรขนาดนี้!?”
“ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งวังนภาของเรา แต่ผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางก่อนอายุ 40 ปี นับว่ามีน้อยคนนัก…และนั่นล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นทั้งสิ้น! ตอนนี้ยังมีมันเพิ่มมาอีกคน!!”
“ฮึ่ม! ท่านรองจ้าววังคงให้ความสำคัญกับมันไม่น้อย มันถึงกับได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณทั้งๆที่พึ่งเข้าร่วมวังนภา!”
……
เหล่าศิษย์วังนภากล่าวซุบซิบกันดังระงม หากแต่แววตาของพวกมันยังไม่ละออกจากร่างของต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวต้วนหลิงเทียนนัก ว่าไฉนถึงได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณทันทีที่เข้าร่วมกับวังนภาแบบนี้
“เจ้าน่ะหรือคือหลิงเทียน?”
ร่างชาย 3 คนที่เดินเข้ามาเจียนถึงหน้าประตูและคิดจะเปิดประตูบุกเข้ามา ก้าวถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัวทันทีเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเปิดประตูแล้วก้าวเดินออกมาจากบ้าน พอพวกมันคืนสติก็เร่งกล่าวถามออกมาเพื่อยืนยัน
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับกล่าวออกเสียงเรียบ หากแต่แม้จะแลดูเฉยๆทว่าลึกลงไปในแววตากลับเผยประกายไม่พอใจ
ไอพวกนี้มันกล้าคิดบุกเข้าไป!
มารยาทต่ำทรามนัก!
“ศิษย์น้องหลิงเทียน ข้าได้ข่าวว่าเจ้าเป็นสุดยอดฝีมือในบรรดาอัจฉริยะที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 ทั้ง 37 คนที่เข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับเราครั้งนี้…วันนี้ข้าจึงคิดมาประลองชี้แนะกับเจ้าสักครา เพื่อรับทราบพลังฝีมือสูงส่งของเจ้า! ว่าแต่เจ้ากล้ายอมรับคำท้าของข้าหรือไม่?”
1 ในชายทั้ง 3 ก้าวออกไปยังที่ว่างเพื่อเว้นระยะ ค่อยหันมาเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน ประสานมือพร้อมกล่าวเสียงดังฟังชัด
มันเป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา หากทว่าสายตาสีหน้ายามมันมองต้วนหลิงเทียนนับว่าหยิ่งผยองลำพองนัก คล้ายจะประกาศว่ามันคือเทพสงครามไร้พ่าย!
แน่นอนว่าเบื้องหลังท่าทางปานเทพสงครามนี้ คือการจงใจยั่วยุท้าทายอย่างเห็นได้ชัด
“ประลองชี้แนะ?”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น
“ใช่!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ ค่อยกล่าวสืบต่อ “เจ้ามิต้องกังวลไป พลังฝึกปรือของข้าเองก็อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…ข้าเองก็ได้ยินมาว่าเจ้าเองก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางเช่นกัน เช่นนั้นประลองกับข้าเจ้าก็มิได้มีใดเสียเปรียบใช่หรือไม่?”
ได้ยินคำกล่าวของชายวัยกลางคนนี้ แม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่ทันพูดอะไร ทว่าลูกตาของศิษย์วังนภาคนอื่นกลับเบิกกว้างทั้งกระพริบปริบๆ
สำหรับพวกมันแล้วชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร
และแม้ชายวัยกลางคนผู้นี้จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง แต่มันก็อยู่ในด่านพลังนี้มานานหลายปี กระทั่งอยู่ในจุดที่อาจบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ทุกเมื่อ…
พลังฝีมือของมัน หากนับกันในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง น่ากลัวว่าจะเป็นระดับแนวหน้า ร้ายกาจอย่างหาตัวจับยาก
เช่นนั้นศิษย์วังนภาคนอื่นๆจึงอดไม่ได้ที่จะเผยความอึ้งออกมายามที่ได้ยินวาจานี้ของมัน
เพราะในสายตาของทุกคน แม้จะอยู่ในด่านพลังเดียวกัน แต่ไหนเลยจะไม่มีความเหลื่อมล้ำได้เปรียบ?! ชายวัยกลางคนเรียกว่าได้เปรียบเต็มประตู!!
มุมหนึ่งบริเวณหน้าประตูบ้านอันไร้ผู้ใดสังเกตเห็น ปรากฏเงาร่างงดงามมากเสน่ห์ยืนแอบอยู่..
เงาร่างนี้นับว่าดูดีไม่เบารูปร่างยังสมส่วนยวนยั่วปานปีศาจ
และตอนนี้นางกำลังมองต้วนหลิงเทียนที่กำลังเผชิญหน้ากับศิษย์วังนภาด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่จะเชิดหน้าเผยอปากกล่าวอย่างสะใจ “ฮึ! ของขวัญที่ข้าจัดให้รอบนี้เจ้าชอบหรือไม่เล่า…ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่ให้สิทธิ์ข้าเข้าสระวิญญาณเองนะ!”
ฟังจากวาจาที่นางกล่าวพึมพำแล้ว ที่แท้เงาร่างสตรีที่ซ่อนตัวอยู่นี้กลับเป็น หวางเฟยเซวียน หลานสาวคนดีของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราช!
ตอนแรกแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณจากรองจ้าววัง ก็ไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจอะไรมากมาย
อย่างไรก็ตามด้วยการยั่วยุกระตุ้นทั้งใส่ไฟของหวางเฟยเซวียน ยิ่งมายิ่งทำให้ไฟโทสะและความไม่ยินยอมในใจศิษย์ทั้งหลายลุกฮือขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายพวกมันถึงขั้นรวมตัวกันมาบ้านต้วนหลิงเทียนแบบนี้!
“อ่า ข้าไม่เสียเปรียบ”
แววตาประหลาดใจของศิษย์วังนภา ต้วนหลิงเทียนย่อมเห็นชัด แต่เขาไม่ได้แยแสอะไร
ดั่งคำที่ว่า ‘ผู้คนล้วนมึนเมา เพียงเราที่สร่าง’ ตอนนี้เขามีความรู้สึกเช่นนี้
(คนอื่นไม่รู้เรื่อง มีเพียงตัวเองที่กระจ่าง)
อันที่จริงทันทีที่เขาเดินออกมาจากประตูบ้าน สองตาเขาก็ใช้ออกด้วยเนตรเทวะที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมา ตรวจสอบด่านพลังฝึกปรือของชายทั้ง 3 คนที่หมายบุกเข้าบ้านเขาเรียบร้อยแล้ว…พลังฝึกปรือของพวกมันล้วนบรรลุถึงแค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น
ไม่ต้องกล่าวถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแค่ 3 คน ต่อให้มีนับสิบนับร้อยก็ไม่พอมือต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ!
เช่นนั้นหลังจากที่ได้ยินคำของมัน ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกกล่าวออกไปว่าไม่เสียเปรียบ
“เช่นนั้นศิษย์น้องหลิงเทียน เชิญเจ้าลงมือป้อนกระบวนท่าก่อนเถอะ…”
ศิษย์ที่เผชิญหน้า พลันผายมือพร้อมกล่าวคำกับต้วนหลิงเทียนด้วยความมั่นใจเต็มพิกัด เห็นชัดว่ามันไม่กลัวที่จะให้ต้วนหลิงเทียนลงมือก่อน ในเมื่อมันคิดว่าจะอย่างไรมันก็ต้องชนะ!
“ศิษย์พี่ ท่านแน่ใจเหรอว่าจะให้ข้าลงมือก่อน?”
เผชิญหน้ากับการยั่วยุท้าทายของศิษย์วังนภาเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนเพียงหยีตากล่าวถามเสียงเรียบ
“ย่อมแน่! ข้าหวงจี้กล่าวคำไหนคำนั้น!!”
ศิษย์วังนภากล่าวคำเป็นมั่นเหมาะ
“เช่นนั้น ศิษย์พี่โปรดชี้แนะด้วย…”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆประสานมือทั้งโค้งเบาๆ และพริบตานั้นเองแววตาสบายๆของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมกล้า!
ทันใดนั้นทั่วร่างของต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเรืองแสงสีทองออกมาจางๆ ร่างเขาโดดเข้าใส่หวงจี้ฉับไวปานกระต่ายเปรียว!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลงมือเต็มที่
ด้วยพลังทั้งหมดของเขา หากใช้ออกน่ากลัวหวงจี้คงตายไม่ทันรู้ตัว กระทั่งคงไม่มีใครในที่นี้มองทัน…
แต่นั่นมันรังแกผู้คนมากเกินไป…
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาเร่งเร้าพลังทั้งหมด ย่อมมิอาจปิดบังความพิเศษของปราณสุริยันแรกกำเนิด คราวนี้ไม่พ้นทุกคนต้องคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับลี่เฟิงแน่นอน ถึงแม้ทักษะแปลงโฉมเขาจะไร้ที่ติก็ตาม
ถึงแม้เขาจะไม่กลัวปัญหาที่จะตามมาหลังเรื่องราวเปิดเผย แต่หากเลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยง
และต่อให้ต้องเปิดเผยเรื่องราวนี้จริงๆ ก็ขอให้เป็นวันหลังไม่ใช่ช่วงนี้
สำหรับเรื่องที่เขากล่าวบอกหวางเฟยเซวียนว่าเป็นสหายของลี่เฟิงนั้น เขารู้แต่แรกแล้วว่าต้องไม่มีใครเชื่อ และก็เป็นดั่งคาด มันไม่มีใครเชื่อเขาจริงๆ
แต่ถ้าเขาใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดจนปรากฏแสงสีทองเรืองสว่างจ้าขึ้นมาเหมือนลี่เฟิงจริงๆ เกรงว่าต้องมีคนพยายามเชื่อมโยงเขากับลี่เฟิงเข้าด้วยกันแน่นอน! เพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา มันแตกต่างจากปราณแรกกำเนิดของผู้อื่นมากเกินไป
ปราณแรกกำเนิดของคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วก็ไร้คุณสมบัติอะไร เป็นปราณแรกกำเนิดธรรมดาสามัญ
“มาได้ดี!!”
เผชิญหน้าต้วนหลิงเทียนที่โจนร่างมาปานพยคฆ์ลงภู หวงจี้หรี่ตาเล็กหยี เผยประกายเย็นเยียบ!
ครู่ต่อมาปราณแรกกำเนิดทั่วร่างพลันปะทุออก ยังมีลักษณะคล้ายเปลวเพลิงลุกโชนเร่าๆ มองไปคล้ายปราณแรกกำเนิดของมันจะมีคุณสมบัติของไฟแฝงเร้นอยู่!
“หัตถ์อัคคีคลุมฟ้า!!”
ทันใดนั้นเสียงหวงจี้คำรามออก มันสืบเท้าแยกออกก่อนที่สองมือจะม้วนวนราวกับคลึงปั้นวัตถุทรงกลม บังเกิดเปลวเพลิงกองหนึ่งผนึกควบแน่นตรงใจกลาง ค่อยตบฟาดซัดออกไปอย่างเกรี้ยวกราด! เปลวเพลิงที่ผนึกควบพลันพวยพุ่งออกไปก่อลักษณ์เป็นฝ่ามือมหึมา ปรี่พุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยสภาวะดุดันแกร่งกล้า!
ฝ่ามือมหึมาดั่งกล่าว มองไปเห็นชัดว่าคือมวลเพลิงอันทรงพลัง! พุ่งแหวกความว่างสะท้านไปในอากาศด้วยความเร็วอัศจรรย์!!
พลังฝ่ามืออัคคีน่ากลัวผ่านพ้นไปที่ใดผลาญเผาหมดสิ้น! กลิ่นไหม้เหม็นคลุ้งในอากาศ!!
ตอนนี้เองมุมปากของหวงจี้พลันเผยรอยยิ้มแสยะเย้ยหยันออกมา คล้ายแลเห็นฉากต้วนหลิงเทียนที่มิอาจหลบหลีกได้ทันกาล ถูกพลังฝ่ามือของมันซัดกระแทกทำร้าย ชุดไหม้แพ้พ่ายเวทนา!
ต้องทราบด้วยว่าแม้มันจะไม่ได้ใช้พลังเต็มสิบส่วน หากแต่ก็จ่ายออกไปไม่ต่ำกว่าแปดส่วน! ต่อให้ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ด่านพลังมั่นคงดีพร้อม ก็ยากที่จะต้านทานรับไหว!!
ในสายตาของมันด้วยอายุของต้วนหลิงเทียนที่มิทันถึง 40 ขวบปี ถึงแม้จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง แต่คงต้องพึ่งบรรลุได้ไม่ทันไร ด่านพลังยังคงไม่มั่นคง คนไม่ทันปรับตัวได้ชัด พลังฝีมือที่ใช้ออกย่อมมีจำกัด!
ทว่าพริบตาต่อมามันก็พบว่าอยู่ดีๆร่างต้วนหลิงเทียนที่กระโจนมาเจียนปะทะกับพลังฝ่ามือของมัน กลับอันตรธานสาบสูญไปจากสายตา! พลังฝ่ามือของมันจึงทำได้แค่ซัดทำร้ายอากาศว่างเปล่า ยิ้มแสยะเย้ยบนใบหน้าถึงกับหดลงทันใด คนร่ำร้องด้วยไม่เข้าใจ “เป็นไปไม่ได้!”
“หวงจี้ระวัง! มันอยู่ข้างหลังเจ้าแล้ว!!”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงกล่าวเตือนด้วยความตื่นตระหนกโพลงดังขึ้น
เมื่อหวงจี้ได้ยินและตระหนกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็คิดจะหันกลับมารับมือ ทว่าทันใดนั้นร่างมันจำต้องชะงักค้างแน่นิ่ง เพราะมันสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบเสียดแทงขุมหนึ่งจี้ไว้ที่ท้ายทอย บันดาลให้ร่างของมันนิ่งค้างปานถูกแช่แข็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้องคุลี
หน้าผากพลันปรากฏเหงื่อเย็นเม็ดเขื่องผุดซึมร่วงผล็อยๆลงมาไม่ขาด แผ่นหลังยังชุ่มโชกปานวิ่งฝ่าห่าฝน
ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าไฉนอีกฝ่ายไปปรากฏตัวอยู่ข้างหลังมันได้!
กล่าวอีกอย่างมันไม่อาจตามความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ทัน!
‘ไม่จริงน่า เรื่องพรรค์นี้มันจักเป็นไปได้อย่างไร เจ้าหนูนี่มันยังไม่ทัน 40 เลยใช่หรือ ไฉนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้เล่า?’
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา กระทั่งหวงจี้ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอ
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตำหนักฟ้าลี้ลับเอง ก็ไม่เคยมีอัจฉริยะที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ก่อนอายุ 40 ปีเลยสักคน
‘หากมันมิใช่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ แล้วไฉนมันถึงรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้…’
หวงจี้รู้สึกงุนงง จนรู้สึกเสมือนหนังศีรษะชาด้าน
“ฮ่าๆๆๆ…”
จนกระทั่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ลั่นดังขึ้นไปทั่วลาน และสัมผัสได้ว่าความเย็นเยียบที่จี้ลงท้ายทอยหายไป หวงจี้ค่อยรู้สึกตัว แม้จะสงสัยไม่น้อยว่าไฉนศีรษะของมันยังรู้สึกเย็นวาบๆก็ตามที…
และตอนนี้เองหวงจี้ก็เลือกที่จะหันหลังกลับมา เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่ยืนยิ้มบางๆหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากมันเท่าไหร่
หน้าหวงจี้จมลงโดยพลัน
อย่างไรก็ตามแม้ใจไม่ยินยอมเพียงใด แต่มันก็รู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย
และไม่นานหวงจี้ก็พบว่าคล้ายบรรยากาศในลานมันผิดแปลกไปไม่น้อย ไฉนผู้คนถึงได้มองมาทางมันทั้งหัวเราะกัน? แล้วสายตานั่นมันอะไร…ไฉนแลคล้ายเห็นมันเป็นตัวลก?
ยิ่งไปกว่านั้นทุกสายตาคล้ายจะเพ่งเล็งไปที่ศีรษะของมัน!
หวงจี้พลันยกมือขึ้นจับศีรษะอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นสองตามันก็เบิกกว้างปากอ้าค้าง มือที่จับศีรษะพลันลูบๆตบๆไปมาด้วยความเหรอหรา
บัดนี้หวงจี้พบแล้วว่าเส้นผมบนหัวที่เคยดกดำกลับไม่มีอยู่…ไม่มีแม้แต่ตอ!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนมันรู้สึกเย็นวาบๆไปทั่วศีรษะ ที่แท้บนหัวกลับไร้เส้นผม…กลายเป็นคนหัวล้านไปแล้ว!
หวงจี้ไม่ได้มีโทสะหรือรู้สึกอับอายขายหน้าแต่อย่างไรที่มันถูกกล้อนผมจนหัวโล้น อันที่จริงมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณอีกฝ่าย! เพราะหากอีกฝ่ายลงมือหนักกว่านี้เพียงแค่เล็กน้อย มิใช่หนังศีรษะของมันจะถูกถลกออกมาเป็นแผ่นเลยรึไง?
“ขอบคุณศิษย์น้องที่เมตตา…”
คิดถึงจุดนี้หน้าหวงจี้พลันถอดสีกลายเป็นซีดเซียว เร่งประสานมือกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันหลังพุ่งร่างย่ำอากาศหนีหายขึ้นไปบนฟ้า จากไปด้วยความอับอาย
“ฮึ! เจ้าบ้านั่นไม่ได้เรื่องเลย!”
เงาที่ซ่อนตัวอยู่ไกลห่างในที่สุดก็เผยตัวออกมา และค่อยๆเดินเข้ามาในฝูงชน หัวเราะออกมาเสียงใสปานระฆังแก้ว
ตอนแรกที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนเอาชนะหวงจี้ได้นางก็รู้สึกอารมร์เสียเพราะรู้สึกขัดใจไม่น้อย แต่พอเห็นหวงจี้ยกมือขึ้นลูบหัวล้านเลี่ยนนั่น นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา…