War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1818
ตอนที่ 1,818 : เรื่องแดง…
“เช่นนั้นนับว่าท่านช้ากว่าข้ามาก…”
จ้าวจี้กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจหลังได้ยินคำตอบของจูลู่ฉี
ใช้เวลาไป 1 ปีเท่ากัน หากแต่มันกลับสามารถทะลวงขอบเขตพลังได้ถึง 5 ขีดขั้น จากเซียนขัดเกลาขั้นกลางจนบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!
แน่นอนว่าอันที่จริงแล้วสมควรกล่าวว่ามันสามารถบรรลุได้ถึง 4 ขั้น เพราะแม้มันจะไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน แต่เดิมทีมันก็เจียนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญอยู่แล้ว…
อย่างไรก็ตามแม้มันจะทะลวงด่านพลังได้ถึง 4 ขั้น แต่ก็ยังนับว่าเหนือกว่าจูลู่ฉีที่ทะลวงผ่านได้ 1 ขั้นพลัง
“เท่าที่ข้ารู้มา…ท่านกระทั่งดูดซับพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรีไปมากมายยิ่งกว่าข้าเสียอีก…”
จ้าวจี้ยิ่งกล่าวออกมา ยิ่งเผยความกระหยิ่มยิ้มย่องมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตลอดปีที่ผ่านมาแม้จำนวนสตรีที่ข้าดูดซับพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตจะมีมากกว่าเจ้า แต่ด่านพลังเจ้าตอนแรกอยู่ด่านใดส่วนข้าอยู่ด่านใด…มันเอามาเทียบกันได้ด้วยหรือ?”
จูลู่ฉีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย มันรู้สึกว่าจ้าวจี้ผู้นี้ช่างหน้าไม่อายอย่างยิ่ง ที่มาเทียบการก้าวหน้าของพลังฝึกปรือใน 1 ปี
จ้าวจี้เดิมทีมันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น ก่อนที่จะฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินและสูบพลังจากสตรี…
หากแต่ตัวมันนั้น ในอดีตก็เพียงมีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเท่านั้น! แม้จะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทะลวงด่านพลังได้ง่ายๆ…แค่มันสามารถทะลวงผ่านมาถึงเซียนปฐพีขั้นแรกได้ในเวลาแค่ 1 ปี มันก็พึงพอใจมากแล้ว!
“จ้าววังจู ข้าล่ะไม่เข้าใจท่านจริงๆ…เดิมทีด้วยพลังฝึกปรือของท่าน หากท่านเลือกจะดูดซับพลังจากสตรีพรหมจรรย์เพื่อบ่มเพาะพลังตามเคล็ดมารกลืนหยิน ท่านต้องบรรลุถึงเซียนปฐพีได้เร็วกว่านี้แน่นอน! สตรีเหล่านั้นก็แค่ปุถุชนธรรมดาไร้ราคาอันใดไฉนท่านถึงได้บ่ายเบี่ยงนัก กระทั่งยังมาขัดขวางข้าและไม่ให้ข้าใช้พวกนางบ่มเพาะพลังต่อหน้าอีก…”
จ้าวจี้ ขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ สตรีจะพรหมจรรย์หรือไม่พรหมจรรย์ก็มีค่าเท่ากัน ไฉนท่านถึงได้เรื่องมากนัก…”
“เฮอะ!”
จูลู่ฉีแค่นคำออกมาคำหนึ่ง หากแต่ไม่ได้ตอบอะไรจ้าวจี้
ในใจของจูลู่ฉีมีความลับเรื่องหนึ่งที่มันล่วงรู้เพียงผู้เดียว…นานมาแล้วมันก็มีบุตรีที่น่ารักซุกซนคนหนึ่ง เป็นบุตรีที่ภรรยาของมันคลอดไว้ให้มันก่อนที่นางจะตกตาย
มันจึงรักถนอมบุตรีนางนี้นัก เลี้ยงดูนางกับมือแต่เล็กจนเติบใหญ่ มอบทุกสิ่งให้ทุกอย่างประหนึ่งนางเป็นแก้วตาดวงใจ ให้นางใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงน้อย…
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาและวาสนาของผู้คนบางครั้งก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ดั่งสภาพดินฟ้าอากาศ…บางคนจำต้องจากไปก่อนวัยอันควร
วันเกิดปีที่ 16 ของบุตรีมัน ด้วยภาระหน้าที่ทำให้มันไม่อาจมาร่วมฉลองงานวันเกิดของนางได้…และวันนั้นเองสหายสนิทที่คิดไม่ซื่อคนหนึ่งของนาง ก็ได้ก่อการอุกอาจระยำ เลือกที่จะย่ำยีขืนใจนางเสียหลังจากนางไม่ยอมรับรักของอีกฝ่าย!
เมื่อมันกลับมาก็พบซากร่างไร้วิญญาณที่จากโลกไปเนิ่นนานแล้วของบุตรี
นอกจากนั้น นางยังเหลือจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง…
บุตรีของมันเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพราะทนรับความอัปยศอดสูหลังถูกข่มขืนไม่ได้…
ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นมันจะลงมือฆ่าล้างโคตรของอดีตสหายอุบาทว์คิดไม่ซื่อคนนั้นของนางจนตกตายทั้ง 9 ชั่วโคตร แต่บุตรีของมันก็มิอาจย้อนคืนหวนมา…
และเป็นเพราะการตกตายของบุตรีอันเป็นที่รัก ซึ่งเป็นคนในครอบครัวคนสุดท้ายของมัน…จูลู่ฉีจึงทุ่มเทจิตใจและวิญญาณให้แก่การบ่มเพาะพลัง จนมีความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
การบ่มเพาะพลังด้วยการสูบกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจาก ‘สตรีพรหมจรรย์’ นั้นให้ผลเลิศล้ำดีกว่า มันเองก็รู้ดีแก่ใจ หากแต่มันมิอาจลงมือย่ำยีสตรีบริสุทธิ์ได้ลงคอ…
เพราะยามใดก็ตามที่มันเห็นดรุณีน้อยบริสุทธิ์ไม่เดียงสา ก็อดนึกถึงบุตรีที่ตกตายไปเสียไม่ได้ จึงไม่มีใจลงมือทำร้ายดรุณีน้อยวัยใสเหล่านี้ได้ลงคอ กระทั่งยังไม่อาจทนเห็นใครย่ำยีดรุณีน้อยบริสุทธิ์เหล่านี้ต่อหน้าได้…
เหมือนเช่นตอนนี้ ที่มันเร่งรุดมาเพื่อหยุดจ้าวจี้…หากแต่มันมาสายเกินไป
ปึงง!!
เพียงจูลู่ฉีสะบัดมือคราหนึ่ง พลังไร้สภาพอันน่ากลัวพลันแยกปฐพีเป็นช่องสูบกลืนซากร่างสตรีที่เคยบริสุทธิ์จมหายลงไป ก่อนที่หน้าดินจะกลบถมพูนเป็นหลุมศพให้นางได้หลับไหลไปตลอดกาล…
“ข้าล่ะไม่เข้าใจท่านจริงๆ!”
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวจี้เห็นจูลู่ฉีกระทำอะไรแบบนี้ แต่มันก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา เพราะมันไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนจูลู่ฉีถึงได้ปกป้องสตรีพวกนี้นัก
“จ้าววังจู หวังว่าต่อไปพวกเราไม่ต้องเจอกันอีกจะประเสริฐกว่า!”
จ้าวจี้มองจูลู่ฉีด้วยสายตาเพ่งพิจครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างจะวูบเหินจากไปดั่งสายลมกรรโชก คล้ายหวาดกลัวโรคห่าอย่างไรอย่างนั้น
จูลู่ฉีก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงจากไปตามทางของตัวเช่นกัน
หากเลือกได้มันก็ไม่อยากเจอจ้าวจี้
เพราะทุกครั้งที่มันเจอจ้าวจี้ เป้าหมายของจ้าวจี้ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีบริสุทธิ์เยาว์วัยทั้งสิ้น มันเองก็ไม่อาจทนเห็นจ้าวจี้รังแกพวกนางได้ แม้สตรีบริสุทธิ์เดียงสาเหล่านี้จะไม่ใช่บุตรีของมัน แต่มันไม่อาจทนมองพวกนางถูกย่ำยีได้จริงๆ…
เรื่องนี้เสมือน ‘มารในใจ’ จูลู่ฉี
หากจูลู่ฉีไม่เลือกสรรแต่สตรีขายบริการและสตรีที่ย่างเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่เลือกสตรีที่บริสุทธิ์ด้วยเหมือนจ้าวจี้ ป่านนี้มันคงบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางไปเนิ่นนาน…และต่อให้ยังไม่บรรลุก็คงเจียนบรรลุในเวลาอันสั้น!
ทว่าตอนนี้จูลู่ฉียังต้องเสียเวลาบ่มเพาะอีกราวๆ 3 เดือนถึงจะบรรลุได้…
ต้องกล่าวเลยว่าจ้าวจี้กับจูลู่ฉีปกปิดร่องรอยได้ดีไม่น้อย นอกจากนั้นทั้งคู่ยังเลือกลงมือในพื้นที่อันห่างไกลและสงบเงียบบริเวณตะวันตกของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ในพื้นที่แถบนี้อย่าว่าแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 กระทั่งขุมพลังชั้น 4 ไม่สิ…กระทั่งขุมพลังชั้น 5 ก็ไม่มี!
ดังนั้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา จึงไม่มีใครมารบกวนหรือวุ่นวายการลงมืออำมหิตของพวกมัน!
อย่างไรก็ตามไม่มีกำแพงใดที่กั้นลมไว้ได้ตลอด เพียงผ่านพ้นไปอีกครึ่งปี ‘เรื่องประหลาด’ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันตกอันไกลห่างแห่งนี้ก็แดงขึ้นมาในที่สุด…
เป็นผู้ฝึกตนที่มีบ้านเกิดอยู่ในพื้นที่ตะวันตกดังกล่าว แพร่กระจายเรื่องประหลาดอันผิดปกตินี้ออกมา…
3 ปีที่แล้วมันออกเดินทางไปท่องเที่ยวฝึกตนขัดเกลาตัวเอง ไม่ได้กลับบ้านเกิดจนกระทั่งตอนนี้…
อย่างไรก็ตามพอมันกลับไปถึงบ้านเกิด มันก็พบว่าสรวงสวรรค์อันสงบสุขไร้เรื่องราวแก่งแย่งใดๆอย่างหมู่บ้านเล็กๆของมัน กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง…
ศพอื่นๆของผู้คนในหมู่บ้านนั้นเป็นปกติ หากแต่ซากศพของอิสตรีทุกคนกลับกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยว!
“นิ…นี่มันเกิดเรื่องบัดซบอันใดขึ้น?”
ฉากประหลาดเบื้องหน้าเป็นอะไรสุดที่มันจะคิดคาดจินตนาการได้นัก กระทั่งความเศร้าที่เสียสตรีคนรักในหมู่บ้านยังถูกความหวาดกลัวกลบมิด
หลังจากนั้นมันก็เริ่มสำรวจพื้นที่โดยรอบ
หากแต่ทุกที่ทางที่มันผ่านไป หมู่บ้านเล็กๆอื่นใดในอดีต ล้วนกลายเป็นซากปรักหักพังทั้งสิ้น…
และศพผู้คนในหมู่บ้านเหล่านั้นก็เหมือนกันกับหมู่บ้านมันไม่ผิดเพี้ยน ศพอื่นๆไม่เป็นอะไร หากแต่ศพของสตรีทุกคนกลับกลายเป็นแห้งเหี่ยวหมดสิ้น ไร้เลือดแม้แต่หยดหยาด…หนังแห้งติดกระดูก ไม่ต่างใดจากใบไม้แห้งกรอบ
“บัดซบ ผิดท่าแล้ว!”
ด้วยเรื่องราวลึกลับไม่เข้าใจ ในที่สุดมันก็ถูกความกลัวครอบงำจิตใจไม่กล้ารั้งอยู่…เร่งรุดหลบหนีออกห่างจากพื้นที่ตะวันตกทันที
หลังจากนั้นมันก็เริ่มแพร่กระจายข่าวประหลาดที่ได้พบออกไป
“เฮ้ย! พวกเจ้าได้ยินหรือยัง…เห็นว่าแถวๆชานเมืองทางตะวันตก คนในหมู่บ้านเล็กๆทั้งหลายถูกฆ่าตายหมดสิ้น…แถมศพของสตรียังแปลกประหลาดนัก ทุกศพกลับแห้งเหี่ยวไร้โลหิต…”
“อันใด? ศพแห้งหรือ แล้วศพแห้งที่เจ้าว่ามันเป็นอย่างไรเล่า? “
“ข้ามิรู้หรอก หากเจ้าอยากรู้ ไฉนไม่ไปดูเองเล่า?”
……
เมื่อเวลาผ่านไปบทสนทนาทำนองนี้ก็ดังขึ้นบ่อยครั้งแถวๆพื้นที่ชายแดนที่ติดกับพื้นที่ส่วนตะวันตก
ในโลกใบนี้สิ่งที่ไม่เคยขาดหายก็คือความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน! และนี่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่นานเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่รับทราบเรื่องราวในพื้นที่ตะวันตก ก็ต่างเร่งรุดไปชมดูเรื่องราวให้เห็นกับตากันจ้าละหวั่น
และเมื่อพวกมันได้เห็นสถานการณ์ด้วยสองตา พวกมันก็ตระหนักได้ว่าข่าวลือที่ได้ยินมาล้วนเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล!
“บัดซบ! เป็นผู้ใดลงมือวิปลาศเช่นนี้กัน?”
“เฮ่อ…สตรีเหล่านี้ช่างน่าสงสารยิ่ง กระทั่งตกตายยังมิอาจได้ตกตายในสภาพดีๆ จำต้องกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวเช่นนี้…”
“ไม่ใช่แล้ว! พวกเจ้าชมดูเร็ว! เฉพาะสตรีที่ตกตายกลายเป็นซากร่างแห้งๆ ศพของพวกนางทุกคนมิมีรอยแผลอันใดบ่งบอกถึงการถูกฆ่าแม้แต่น้อย! นอกจากนี้พวกเจ้ามิสังเกตหรือ ว่าศพของพวกนางทุกศพมิมีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น…จะใช่การลงมือของผู้ฝึกมารหรือไม่?”
“หากเป็นการกระทำของผู้ฝึกมารจริง…เคล็ดบำเพ็ญมารของมันก็นับว่าชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
..
ในบรรดาคนที่อยากรู้อยากเห็น ก็ย่อมมีคนที่มีไหวพริบไม่น้อย สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้แทบจะทันที ยังเริ่มอนุมานเรื่องราว ปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน…
มีผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม..ก่อการอุกอาจไปทั่วพื้นที่ตะวันตก!
ผู้ฝึกตนหนทางมารนั้นไม่ใช่ไม่เป็นที่ยอมรับในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…หากเป็นผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยกลวิธีที่ปกติธรรมดาไม่ขัดต่อมโนธรรมและไร้มนุษย์ธรรม ก็ย่อมไม่มีใครว่าร้ายรังเกียจอะไร
ทว่าผู้ฝึกตนหนทางมารที่บ่มเพาะพลังด้วยกลวิธีนอกรีตทั้งหลาย ล้วนเป็นผู้ฝึกมารที่ถูกผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าชิงชังรังเกียจ และผู้ฝึกมารเหล่านี้คือผู้ฝึกตนที่สังคมไม่ยอมรับ!
มีคนกระจ่ายข่าวคนเดียวผู้คนมากมายอาจไม่เชื่อและสงสัย
อย่างไรก็ตามหากมีคนมายืนยันเป็นร้อยเป็นพัน เรื่องราวที่สงสัยก็เปลี่ยนเป็นข้อเท็จจริงทันที!
“ข้าจำได้ว่าเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว…ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับได้ออกมาประกาศให้รู้ไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ว่าเคล็ดมารกลืนหยินได้หวนกลับมาสู่โลกหล้าอีกครา! และผู้ที่ช่วงชิงเคล็ดมารนั่นไปก็เป็นถึงอดีตจ้าววังนภา!!”
“กล่าวกันว่าเคล็ดมารกลืนหยิน เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม ใช้การดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตของสตรีในการเพิ่มพูนพลัง…และสตรีทุกคนที่ถูกผู้ฝึกมารดังกล่าวดูดกลืนพลัง จักตกตายกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว…หรือที่แท้เรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันตก จักเกี่ยวข้องกับเคล็ดมารกลืนหยิน!”
“พอเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาข้าก็นึกออก…หากเป็นเคล็ดมารกลืนหยินจริงๆ เรื่องราวก็สมเหตุสมผลแล้ว!”
“เช่นนั้นมิว่าชาวบ้านที่ถูกฆ่าตายยกหมู่บ้านเหล่านั้น…กับซากร่างแห้งเหี่ยวของเหล่าสตรีทั้งหลาย เป็นการลงมือของผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…อดีตจ้าววังนภาจูลู่ฉี!!”
“8 ใน 10 ส่วน ไม่ผิดพลาดแน่”
…
เพียงเวลาแค่ไม่นานก็มีผู้คนที่สามารถโยงเรื่องราวเข้ากลับเคล็ดมารกลืนหยินที่เป็นเรื่องฮือฮาเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วได้ในที่สุด
เพียงเวลาแค่ไม่นาน จูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภา ก็จำต้องแบก ‘หม้อก้นดำ’ เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เพราะคนทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ารู้ว่ามันคือผู้ที่ได้รับเคล็ดมารกลืนหยินไป แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า จ้าวจี้ ก็บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินเช่นกัน…
“จ้าววังจู ตอนนี้เรื่องราวชักผิดท่าแล้ว…ดูเหมือนว่ายามนี้พวกเราต้องซ่อนตัวพักสักระยะ ท่านมีแผนอันใดหรือไม่”
ตอนนี้เอง มุมหนึ่งของป่าศิลาในแถบพื้นที่ตะวันตกอันห่างไกลอันเป็นสถานที่ๆกระทั่งวิหกยังไม่ยากแวะเวียนมาขับถ่ายของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ปรากฏร่างจ้าวจี้กับจูลู่ฉีมารวมตัวหารือกันอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งคู่รู้แล้วว่าเรื่องราวที่พวกมันกระทำ สุดท้ายก็แดงขึ้นมา
“ข้าจักมีแผนอันใดได้? ก็ต้องไปซ่อนตัวถ่ายเดียว! ข้ามิได้เหมือนเจ้าที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…เจ้ากระทั่งสามารถกลับบ้านได้อย่างสง่าผ่าเผยด้วยซ้ำ!”
จูลู่ฉีกล่าวตอบเสียงเข้ม
“ฮ่าๆๆ…เช่นนั้นข้าคงต้องลาท่านแล้วจ้าววังจู! อ่อจริงสิ ข้าฝากฉีจิ้งไว้ให้ท่านดูแลด้วยเล่า! เพราะอย่างไรเสียพวกเราก็ยังมิได้ล่วงรู้ทุกสิ่งของเคล็ดมารกลืนหยิน!!”
ก่อนที่จะจากไป จ้าวจี้ไม่ลืมกำชับเรื่องราวกับจูลู่ฉี
“พื้นที่แถบนี้มิอาจอยู่ได้แล้ว…”
จูลู่ฉีเองก็เหินร่างจากไปทันที หลังจากที่จ้าวจี้กลับไปแล้ว