War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1840
ตอนที่ 1,840 : ลัทธิชะตาฟ้า
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหรูเฟิง สองตาต้วนหลิงเทียนพร่าไปคล้ายมีม่านหมอกบดบัง
ตอนนี้เขากำลังหวนรำลึกถึงเรื่องราวในวันวาน
ในตอนนั้นที่อาณาจักรนภาล่องของทวีปเมฆาคราม เขาได้ลองไปสำรวจบึงแห่งความตาย กระทั่งพบเจอตราผนึกมารในพระราชวังใต้ดินลึกลับ
และทันทีที่เขาลองแผ่พลังวิญญาณไปหมายตรวจสอบ วิญญาณอันร้ายกาจหนึ่งก็พุ่งสวนเข้ามาหมายยึดครองร่างกายของเขา!
แต่น่าเสียดายในช่วงเวลาสำคัญนั้นเอง วิญญาณนั่นกลับคล้ายถูกพลังอำนาจลี้ลับบางประการป่นสลายเป็นธุลี…
และเรื่องราวดังกล่าวก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกันกับตอนที่ดวงวิญญาณของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดแหลกสลายไป ในขณะที่คิดช่วงชิงร่างของเขาเช่นกัน
‘เจ้าไม่ใช่คนของโลกใบนี้!’
เขายังจดจำได้ชัดเจน วาจาสุดท้ายที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดตะโกนออกมา
และวิญญาณที่พุ่งพรวดออกมาจากตราผนึกมารนั่น มันก็ทรงพลังและร้ายกาจกว่าจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่ทว่ามันก็ถูกทำลายไปดว้ยพลังลี้ลับบางอย่างเช่นกัน คล้ายว่าดวงจิตกับวิญญาณของเขามีบางสิ่งที่คอยปกปักษ์คุ้มครองอยู่!!
อย่างไรก็ตามจวบจนวันนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าที่แท้มันคืออะไรกันแน่
“ผู้เฒ่าหั่ว!!”
มีปัญหาอะไรให้ถามผู้เฒ่าหั่ว! เรื่องนี้เสมือนทางออกที่ดีที่สุดสำหรับต้วนหลิงเทียน!!
“ผู้เฒ่าหั่วหลังจากที่วิญญาณของข้าข้ามโลกมาอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นาน…ตอนนั้นมีวิญญาณของตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปมนุษย์คิดจะพุ่งเข้ามาในดวงจิตหมายทำลายวิญญาณเพื่อยึดครองร่างของข้า แต่ทันทีที่มันคิดจะทะลวงเข้ามาในดวงจิตของข้า วิญญาณของมันกลับแตกสลายไปเสียเองโดยที่ข้าไม่เป็นอะไรเลย! เรื่องนี้มันเป็นเพราะอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาตรงๆ
และก่อนที่ผู้เฒ่าหั่วจะทันได้ตอบอะไร เขาก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมออกไปว่า “จริงสิ! ก่อนที่วิญญาณนั่นมันจะสลายไป มันบอกว่า…ข้าไม่ใช่คนของโลกนี้!”
“นี่เป็นกฏจำเพาะของระนาบโลกียะ! ดั่งข้อจำกัดที่ไม่อาจฝ่าฝืน!”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “เมื่ออยู่ในระนาบโลกียะที่แตกต่างกัน กฏเกณฑ์ย่อมไม่เหมือนกัน…วิญญาณที่ถือกำเนิดในระนาบโลกียะนี้ก็มีกลิ่นอายตามกฏของระนาบโลกียะนี้ ส่วนวิญญาณจากระนาบโลกียะอื่นก็จักมีกลิ่นอายตามกฏระนาบโลกียะนั้นๆ”
“จากคำพูดนี้ของเจ้าสามารถทำให้ข้าสรุปได้อย่างชัดเจนทันที…พิภพเหยียนหวง หรือโลกมนุษย์ที่เจ้าจากมานั้น มิได้อยู่ในระนาบโลกียะเดียวกันกับโลกใบนี้”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “ด้วยเหตุนี้วิญญาณของเจ้าที่ข้ามมาจากพิภพเหยียนหวง จึงถูกปนเปื้อนด้วยกลิ่นอายของระนาบโลกียะแห่งนั้น…เช่นนั้นกล่าวได้ว่า ในโลกใบนี้ตลอดทั้งระนาบโลกียะแห่งนี้…หากเจ้าคิดใช้วิญญาณของเจ้า รุกรานทำลายวิญญาณผู้อื่นหมายยึดครองดวงจิตควบคุมร่างใครล่ะก็ นั่นจักเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย! แน่นอนว่าคนอื่นก็ทำแบบนี้กับเจ้าไม่ได้เช่นกัน…”
“แต่แน่นอนว่านี่มิใช่หมายความว่าวิญญาณของเจ้าจะเป็นอมตะในระนาบโลกียะแห่งนี้ หากไม่ใช่การจู่โจมของวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เป็นการใช้ทักษะโจมตีทางวิญญาณจากวิญญาณของผู้ที่มีร่างเนื้อ…พวกมันยังสามารถทำลายวิญญาณของเจ้าได้!”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ
ผู้เฒ่าหั่วแม้จะกล่าวออกมามากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนก็ใช่จะเข้าใจทุกอย่างกระจ่าง
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถจับประเด็นได้ชัด 2 เรื่อง
ประการแรกเลยก็คือ หากเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ไร้ร่างกาย พวกมันไม่มีทางเล่นงานวิญญาณเขาและยึดครองร่างเขาได้เลย เพราะเสมือนเขามีเกราะกำบังจากกฏของระนาบอะไรนั่น…และผู้ที่หาญกล้าลงมือก็รังแต่จะทำลายตัวเองเท่านั้น!
ประการที่สอง หากผู้ที่มีร่างเนื้อหรือคนทั่วไปใช้การโจมตีทางวิญญาณเล่นงานวิญญาณของเขา เกราะกำบังจากกฏที่ว่าจะไม่มีอยู่! และหากอีกฝ่ายมีการจู่โจมด้วยวิญญาณที่ทรงพลัง เขาก็ตายได้!
“เทียนเอ๋อ เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนนึกย้อนเรื่องราวตลอดทั้งหันไปสนทนากับผู้เฒ่าหั่ว นั่นทำให้เขาแลดูเสมือนเหม่อลอยไปใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต้วนหรูเฟิงจึงจำต้องเรียกเพื่อดึงสติเขากลับมา
“โทษทีท่านพ่อ…”
ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อลอยไปพอสติสตังกลับมาอยู่กับเนื้อตัว ก็ถามบิดาออกมาทันที “เมื่อกี้ท่านว่าอะไรนะ?”
หากเป็นคนอื่นมาเหม่อจนไม่สนใจฟังแบบนี้ล่ะก็ ต้วนหรูเฟิงคงได้มีโมโหกันบ้างแล้ว
ทว่าคนเบื้องหน้าคือต้วนหลิงเทียน ลูกชายของมันทั้งคน มันย่อมไม่ได้ขุ่นขึ้งใจอะไร
ต้วนหรูเฟิงค่อยๆกล่าวออกมาอีกครั้งอย่างอดทน “ข้าพึ่งถามเจ้าว่า ‘ตราผนึกมาร’ ในมือของเจ้า…เจ้าได้มันมาจากบึงแห่งความตายในบ้านเกิดของเราใช่หรือไม่?”
“ใช่!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง
ส่วนเรื่องที่บิดาเขาจะล่วงรู้ว่าเขาถือครองตราผนึกมารอยู่ก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะเรื่องนี้มันได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว
กระทั่งตอนนี้ยังคงมีหลายคนที่ออกตามหาตัวเขาให้วุ่น!
แน่นอนว่าที่พวกมันหาตัวเขา ล้วนเป็นเพราะต้องการช่วงชิงตราผนึกมาร!
“แล้วเจ้าพบพานเรื่องผิดปกติอันใดบ้างหรือไม่ยามหยิบตราผนึกมารขึ้นมา…อย่างเช่นมีวิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอจะหลุดจากผนึกของตราผนึกมาร และคิดช่วงชิงร่างของเจ้า?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
และนี่เป็นสิ่งที่มันอยากรู้มากที่สุด
หากมันจำไม่ผิด วิญญาณหลักของเฮยหมิงสมควรยังถูกสะกดอยู่ในตราผนึกมาร! ด้วยพลังวิญญาณอันน่ากลัว…มันจึงต้านทานการทำลายของตราผนึกมารได้! เพียงถูกสะกดผนึกเอาไว้เท่านั้น เมื่อมีใครแตะต้องตราผนึกมาร มันย่อมฉกฉวยโอกาสอันดีนี้ลงมือชิงร่างแน่ๆ
“ใช่!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนนั้นมีวิญญาณที่ทรงพลังมหาศาลคิดยึดครองร่างของข้าจริงๆ…อย่างไรก็ตามข้าไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ตอนนั้นกลับมีพลังมหาศาลอีกขุมปะทุออกจากตราผนึกมาร และทำลายวิญญาณดวงนั้นจนแหลกเป็นผุยผง!”
“ตอนที่วิญญาณดวงนั้นมันคิดช่วงชิงร่างกายเจ้ามันกล่าวอะไรออกมาบ้าง?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนมันจะบอกข้าว่า ต้องโทษที่ชะตาข้าอาภัพนัก และกล่าวทำนองว่าหากข้าไม่ถ่ายพลังวิญญาณลงไปยังตราผนึกมาร จนคล้ายสะพานเชื่อมมันคงไม่อาจออกจากตราผนึกมารได้…และตราบใดที่มันทำลายดวงจิตข้าได้มันก็จะยึดร่างกายของข้า…”
“นอกจากนี้เห็นมันบอกว่า…หลังยึดร่างข้าได้มันจะออกไปหาวิญญาณส่วนที่เหลือ พอวิญญาณหลักของมันรวมตัวกับวิญญาณอื่นได้ คราวนี้มันจะจัดการตัวอุบาทว์ ที่คอยสะกดมันไว้…ประมาณนี้ล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกย้อนไปก็กล่าวทวนวาจาที่ วิญญาณ ในตอนนั้นกล่าวออกมา
เขากล่าวเล่าทุกอย่างยกเว้นความจริงที่ วิญญาณ นั่นถูกทำลายอย่างไร
เพราะสุดท้ายแล้วความจริงเรื่องนี้ ก็เกี่ยวพันกับชีวิตที่แล้วของเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าบิดาไม่เอาไหนผู้นี้กับมารดาของเขาจะรับได้หรือไม่…
ในสายตาของเขา การที่ไม่บอกความจริงเรื่องนี้กระทั่งโกหกออกไปนับเป็นเรื่องดีที่สุด และไม่ต้องทำให้ใครเจ็บช้ำ…
“ตัวอุบาทว์? เฮอะ! เจ้าสิตัวอุบาทว์!!”
นับว่าสร้างความประหลาดใจให้ต้วนหลิงเทียนนัก เพราะทันทีที่เขาพูดจบ บิดาเขาต้วนหรูเฟิงอยู่ๆก็โพล่งคำด่าใครก็ไม่รู้ออกมาอย่างสะใจ สีหน้ายังแย้มยิ้มยินดีขึ้นมาทันตาเห็น “เฮยหมิงหนอเฮยหมิง…วิญญาณหลักของเจ้าคงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะ ว่าจะต้องมาพินาศเพราะลูกชายคนเดียวของข้า! เศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าพยายามชิงร่างข้ามาเกือบ 20 ปี แต่สุดท้ายก็เป็นข้าที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง! ฮ่าๆๆๆ!!”
“ท่านพ่อ…ท่านหมายความว่า ที่วิญญาณนั่นเรียกหาว่าตัวอุบาทว์ที่แท้เป็นท่านหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับชะงักค้างด้วยความตกตะลึง
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้ด้วยหรือ?
แต่จากที่ต้วนหรูเฟิงเล่ามาหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องเชื่อแล้วจริงๆว่าใต้หล้ากลับมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้อยู่จริงๆ!
ที่แท้บิดาของเขาถูกเศษเสี้ยววิญญาณของเฮยหมิงยึดครองร่างไปเป็นการชั่วคราว และมันก็นำพาร่างบิดาเขาเดินทางจากออกทวีปมนุษย์มาจนถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
สำหรับพลังฝึกปรือที่พุ่งกระฉูดทะยานฟ้าของบิดาเขาทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความดีความชอบของเฮยหมิง
ช่วงแรกๆแม้วิญญาณของบิดาเขายังไม่ถูกทำลายและคอยขัดขืนอยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ทำได้แค่เป็นผู้ชมเท่านั้น ไม่อาจควบคุมร่างได้เลย…
สุดท้ายเพราะความโลภของเฮยหมิง ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณของมันได้รับบาดเจ็บโดยบังเอิญ จึงทำให้บิดาของเขามีโอกาสชิงสิทธิ์ควบคุมร่างได้สำเร็จ ทำให้ไม่ใช่เฮยหมิงที่ใช้ร่างอยู่คนเดียวอีกต่อไป
ตั้งแต่วันนั้นทั้งคู่ก็ยื้อยุดฉุดกระชากสิทธิ์ครองร่างกันไปอย่างไม่มีใครคิดจะแพ้ง่ายๆ
ในขณะที่เรื่องราวน่าปวดหัวดำเนินไปทั้งอย่างนั้น ร่างบิดาเขาก็มีพลังฝึกปรือก้าวหน้าเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งก้าวข้ามจ้าวตำหนักเมฆาครามคนเก่า สุดท้ายเรื่องราวก็ดุจดั่งนกพิราบบุกมายึดครองรังนกกระจอก!
แน่นอนว่าช่วงแรกๆตำหนักเมฆาครามก็ทุลักทุเลไม่น้อย เพราะแม้ทุกคนจะหวาดกลัวพลังอำนาจของเฮยหมิงยามที่มันคุมร่างต้วนหรูเฟิง แต่ก็มีน้อยคนที่จะยอมรับเป็นจ้าวตำหนัก
จนกระทั่งถึงช่วงที่ต้วนหรูเฟิงควบคุมร่างบ้าง ก็เลือกใช้ทั้งพระเดชพระคุณ จนในที่สุดก็เอาชนะใจคนตำหนักเมฆาครามได้ไม่น้อย
หลังจากได้ใจคนตำหนักเมฆาครามแล้วพอถึงช่วงที่เฮยหมิงคุมร่างอีกครั้ง ตำหนักเมฆาครามก็ลงมือก้าวร้าวอุกอาจทันที กระทั่งผงาดขึ้นมาเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ระดับแนวหน้า ทัดเทียมกับตลาดมืดเหยินชาน!
ในตอนนั้นเองทุกคนในตำหนักเมฆาครามก็เริ่มยอมรับนับถือจ้าวตำหนักคนใหม่
และในที่สุดวันหนึ่งวิญญาณหลักเฮยหมิงก็ถูกทำลาย ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณที่ยื้อยุดร่างกับต้วนหรูเฟิงสลายหายไป ส่งผลให้ต้วนหรูเฟิงกลายเป็นเจ้าของร่างแต่เพียงผู้เดียว!
และวันนั้นก็เป็นวันที่ที่ต้วนหรูเฟิง…ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดทันที!
เพราะที่ทวีปเมฆาล่องมีภรรยาและบุตรชายที่มันรักและเป็นห่วงมากที่สุด!
“กลับมีเรื่องน่าหวาดเสียวถึงขนาดนี้…ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าวิญญาณหลักของเฮยหมิงอะไรนั่นที่คิดยึดครองร่างข้า เศษเสี้ยววิญญาณของมันกลับกำลังยื้อยุดชิงร่างกับท่านพ่ออยู่…กล่าวไปแล้วสุดท้ายทั้งหมดท่านต้องขอบคุณข้าจริงๆ ที่ทำให้ท่านสามารถกลับมาใช้ชีวิต กระทั่งกลับบ้านที่ทวีปเมฆาล่องได้อีกครั้ง”
มองไปยังต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ท่านพ่อ…แต่ถึงวิญญาณหลักของเฮยหมิงมันจะชิงร่างข้าไม่สำเร็จ แต่พลังวิญญาณของมันตอนนั้นช่างมหาศาลเหลือเกิน ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหิ่งห้อยที่กำลังเผชิญหน้ากับดวงตะวัน ท่านพ่อพอจะล่วงรู้ความเป็นมาของมันหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความอยากรู้
“ข้ารู้เพียงในครั้งที่มันยังรุ่งโรจน์ มันเป็นถึงสุดยอดฝีมือในภูมิภาคเบื้องบน แม้มันจะไม่ค่อยกล่าวถึงความหลังอะไรมาก แต่จากที่มันบ่นออกมาหลายครั้งข้าพอจับใจความได้ว่า มันสมควรมาจาก 1 ใน 3 ลัทธิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเบื้องบน ลัทธิชะตาฟ้า!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวบอกสิ่งที่รู้ออกมา
1 ใน 3 ลัทธิของภูมิภาคเบื้องบน…ลัทธิชะตาฟ้า!
ได้ยินเรื่องนี้ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันที
ลัทธิชะตาฟ้า ในเมื่อเป็น 1 ใน 3 ลัทธิได้ เช่นนั้นพลังอำนาจของมันสมควรทัดเทียมกับลัทธิบูชาไฟ!
ในตอนนั้นวิญญาณที่ทรงพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงที่คิดช่วงชิงร่างเขา แต่กลับต้องถูกทำลายวิญญาณด้วยกฏของระนาบโลกียะ ที่แท้เป็นถึงผู้ฝึกมารยอดฝีมือของ 1 ใน 3 ลัทธิอันทรงพลัง ลัทธิชะตาฟ้า!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับต้วนหรูเฟิงกำลังคุยกันอย่างออกรสนั้นเอง
ทางด้านตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ห่างไกล กู่ลี่ก็ได้สะสางเรื่องราวต่างๆที่ค้างคาจนหมด
และหลังจากร่ำลาบิดาอย่างกู่ซืออวิ๋นเรียบร้อยแล้ว มันก็เหินร่างออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับมุ่งหน้าลงใต้ทันที
“เป็นทิศทางเดียวกันกับที่หลิงเทียนจากไปวันนั้นจริงๆ…แถมยังมิใช่ทางไปภูมิภาคเบื้องบน!”
ไม่นานหลังจากที่กู่ลี่เหินร่างจากไป ก็ปรากฏร่างหนึ่งที่วูบออกมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับปานสายลม
ในสายตาของผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อย คงเห็นว่าอยู่ๆมันก็ผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า
“ดูเหมือนว่ามันจะไปหาหลิงเทียน”
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ย่อมจดจำได้ทันที
ผู้ที่ลอบสะกดรอยตามกู่ลี่มาไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือหนึ่งในบรรดารองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง!