War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1846
ตอนที่ 1,846 : ตำหนักฟ้าลี้ลับปั่นป่วน!
สุดท้ายกู่ลี่ก็ล้มเหลวในการโน้มน้าวใจต้วนหลิงเทียน
อันที่จริงเรื่องนี้คงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจต้วนหลิงเทียนได้ เพราะตัวเขามีความมั่นใจว่าสามารถกระทำได้สำเร็จ…ต้องเอาชนะตี้จิ่วและชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรนั่นมาได้แน่!
หลังจากพากู่ลี่ไปส่งแถวๆแท่นเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนก็กลับตำหนักหลักพร้อมบิดา ก่อนจะแยกไปพักยังบ้านที่มารดามาตระเตรียมไว้ให้
ในตำหนักเมฆาคราม นอกจากสระวิญญาณ สถานที่บ่มเพาะพลังของต้วนหรูเฟิงนับว่าเป็นสถานที่ๆดีที่สุด เพราะมันเชื่อมต่อกับสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 โดยตรง
สถานที่แห่งนี้ยังฟุ้งตลบไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินตลอดทั้งปี คล้ายหมอกที่ปกคลุมเขาเขียว
อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการของต้วนหลิงเทียน สถานที่พวกนี้ยังไม่เพียงพอ กระทั่งสระวิญญาณยังไม่พอด้วยซ้ำ!
เพราะแม้เขาจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณเหลวในสระวิญญาณจนหมดได้ในเวลาอันสั้น แต่สุดท้ายยามมันหมดลงก็จะเกิดการขาดห้วงของพลังวิญญาณฟ้าดินทันที สุดท้ายก็ส่งผลกระทบต่อความเร็วในการบ่มเพาะของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาจะเข้าใช้สระวิญญาณทั้งหมดของตำหนักเมฆาครามก็เกรงว่าจะไม่พอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกจะบ่มเพาะอยู่ในบ้านพักส่วนตัว ที่ตั้งอยู่ในเขตบ้านพักของบิดาอย่างเงียบงัน
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมาอยู่ในตำหนักเมฆาครามสักพักแล้ว แต่เรื่องราวของเขาก็ยังไม่ได้แพร่กระจายออกไป
กระทั่งในตำหนักเมฆาครามเองก็มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้ว่าเขาเป็นจ้าวตำหนักน้อย
จนถึงตอนนี้คนที่รู้ว่าตำหนักเมฆาครามมีนายน้อยแล้ว นอกจากบิดาเขาก็มีแต่อาวุโสระดับสูงที่เป็นคนสนิทบิดาเขาไม่กี่คน
และยังมีน้อยคนนักที่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในตำหนักเมฆาครามแล้ว!
เห็นผลที่ไฉนเรื่องราวของเขาจึงเงียบเชียบคล้ายคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่หวือหวานั้น…ทั้งหมดเพราะ ตราผนึกมาร!
ตราผนึกมารคือ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่พ้นต้องถูกยั่วยวนใจให้อยากได้อยากมี!
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนและตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิงจึงไม่ได้แพร่กระจายข่าวว่าบุตรชายของมันคือต้วนหลิงเทียนออกไป เพราะนามต้วนหลิงเทียนเป็นอะไรที่อ่อนไหวนักในภูมิภาคเบื้องล่าง
ตราบใดที่เอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมา ทุกคนจะนึกถึงตราผนึกมารทันที!
‘ภารกิจเร่งด่วนของข้าตอนนี้คือรีบเพาะสร้างรูปแบบที่ 2 ของปีกอีกาทองคำให้เสร็จ…หลังจากนั้นจะได้ทะลวงไปยังขอบเขตอริยะเซียน! และเพาะสร้างเวทย์พลังทั้งหมด! แถมด้วยเวลาที่มีคิดทะลวงให้ถึงอริยะเซียนขั้นกลางก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร!’
แม้จะฟังเหมือนต้วนหลิงเทียนมั่นใจ…
แต่ปฐมเวทย์กลืนกินเพาะสร้างง่ายนักหรือ?
อริยะเซียนขั้นกลางคิดจะทะลวงผ่าน ก็ทะลวงผ่านได้ทันทีรึไร?
หากเขาไม่อาจทำความเข้าใจจนเพาะสร้างปฐมเวทย์กลืนกินได้สำเร็จ และไม่อาจทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลางได้…นอกจากใช้กระบี่นิลสวรรค์แล้ว เขาจะเอาอะไรไปสู้กับตี้จิ่วได้?
หากไม่ได้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน และไม่อาจบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง ต่อให้เขาจะทำความเข้าใจจนบรรลุขั้นที่ 3 ของยอดใจกระบี่ แต่ถ้าไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์เขาก็เอาชนะตี้จิ่วไม่ได้อยู่ดี เพราะตอนนั้นถึงเขาจะใช้ปีกอีกาทองคำ จนมีความเร็วเหนือมันได้…
แต่ในด้านพลังโจมตีเขาจะไม่ได้มีเปรียบอะไรเลย!
ถึงตอนนี้ในด่านพลังฝึกปรือขอบเขตเดียวกันเขาจะแข็งแกร่งกวามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บ และมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บก็เทียบเขาไม่ได้
ทว่าแม้เขาจะทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลาง แต่ร่างกายของเขาก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บในขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น
แม้มังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บจะแกร่งกว่ามังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บทั่วไป ทว่าความแข็งแกร่งของร่างกายมังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บในขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญจะไปเทียบอะไรกับมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บที่ขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดได้?
ต้องทราบด้วยว่ามังกรเทพยาดาสีทอง คือสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์มังกร ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดพวกมันล้วนเหนือกว่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บ!
‘ข้าเกือบลืมไปแล้วไง…ความแข็งแกร่งของร่างกายตี้จิ่ว ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนมนุษย์จะเทียบได้เลย!’
พอคิดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายตี้จิ่วขึ้นมา สีหน้าต้วนหลิงเทียนกลายเป็นขึงขังทันที
ก่อนหน้านี้บ่อเกิดแห่งความมั่นใจของเขา เพราะคิดว่าเขากำลังจะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดหรือเซียนปฐพีขั้นต้น…
แต่ตอนนี้เขาพึ่งนึกได้ว่า…ตี้จิ่วมันคือมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ!
ลำพังมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ร่างกายมันก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวแล้ว….
เช่นนั้นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นเล่า?
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนพลันรู้สึกว่าหนังศีรษะกลายเป็นชาด้านทันที
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันไร้สภาพประการหนึ่งกำลังห้อมล้อมบีบคั้นมาจากทุกทิศทาง มันหนักอึ้งจนเขาแทบหายใจไม่ออก!
เผชิญกับแรงกดดันนี้ ต้วนหลิงเทียนเร่งเข้าไปในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนำไปเพาะสร้างปีกอีกาทองคำให้ยกระดับสู่ รูปแบบที่ 2 โดยเร็วที่สุด!
ปีกอีกาทองคำบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ใช้เวลาไม่นานมันก็ยกระดับกลายเป็น ปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ได้สำเร็จ!
ตอนนี้เขาไม่ต้องระงับพลังฝึกปรืออีกต่อไป โคจรสั่งสมพลังอีกครั้งก่อนชักนำพลังในร่างให้ไหลเชี่ยวปานน้ำหลาก ทะลวงสู่ขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นได้ในคราวเดียว!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง ทั้งเพาะสร้างเวทย์พลังนั้นเอง ตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ไกลห่างก็บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมา
“เติงเอ๋อ…เติงเอ๋อ!!”
มองไปยังไข่มุกวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยงในพานเบื้องหน้า ลูกตาของอาวุโสผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวจิน ถึงกับเบิกกว้างปานลูกวัวแรกเกิด
หลังจากนั้นในดวงตาก็คล้ายมีเส้นโลหิตฝอยสีแดงแผ่ขยายลุกลามไปทั่ว ก่อนที่จะกลับกลายเป็นแดงฉานทั้งลูกตา!
ปง! โครม! ตูม! เพล๊ง!!
…
ชุดคลุมจ้าวจินกระพือขึ้นราววิหกกระพือปีก ผมสีดอกเลายังสยายไปในลมดั่งอสรพิษ ข้าวของเครื่องใช้ ถ้วยชามภาพวาด ฉากกั้นในห้องล้วนปลิดปลิวกระเด็นจนพังเสียหายไม่เหลือชิ้นดี! เสียงข้าวของแตกหักยังแข่งกันดังสนั่นไปทั่ว!!
“ไม่ว่าเป็นผู้ใด ข้าจะฆ่ามันให้ตาย! ฆ่ามันให้ตาย!!”
จ้าวจินคำรามเสียงต่ำในลำคอ ลูกกระเดือกกระดกขึ้นลงให้เห็นชัด แม้เสียงจะไม่ดังอะไรมากมาย…หากแต่แฝงเร้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟันขุ่นคลั่ก!
ไข่มุกวิญญาณที่แตกไปนั้น ไม่ใช่ของใครที่ไหน แต่เป็นของจ้าวเติงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ…ลูกชายของมัน!
แน่นอนว่าจ้าวจินไม่รู้ว่าจ้าวเติงออกเดินทางไปยังตำหนักเมฆาคราม
จ้าวเติงที่เดินทางไปถึงตำหนักเมฆาคราม ไม่ทันได้ส่งสัญญาณอะไรมันก็ต้องตกตายไปเสียก่อน
ในเวลาไม่ถึงเดือน แต่จ้าวจินต้องพบพานกับการสูญเสีย หลานชาย และบุตรชายเพียงคนเดียว นี่นับว่าเคี่ยวกรำจิตใจมันหนักหนาสาหัสนัก! คนสติดีๆกลับกลายเป็นคุ้มคลั่งอาละวาดทำลายของในบ้านปานคนบ้า!!
และในขณะจ้าวจินคุ้มคลั่งอาละวาดดั่งคนบ้า คนของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ปวดหัวเช่นกัน!
จ้าวเติงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับไม่เพียงแต่มีไข่มุกวิญญาณเก็บไว้ที่บ้านเท่านั้น แต่ในโถงวิญญาณของตำหนักก็มีเก็บไว้เช่นกัน
และวันนี้ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มีเวรมาเฝ้าโถงวิญญาณ ก็อยู่ในเหตุการณ์ที่ไข่มุกวิญญาณแตกเป็นเสี่ยงพอดี!
หน้ามันเคร่งขรึมขึ้นเปลี่ยนสีไปทันใด เมื่อรับทราบว่าเป็นไข่มุกวิญญาณของใคร ก็เร่งรุดรายงานไปยังเบื้องสูงทันที!
ไม่มีกำแพงใดในโลกกั้นลมได้ตลอดไป…
เมื่อมีการรายงานเบื้องสูง เช่นนั้นระหว่างผู้นำสารไปรายงานก็มีการแพร่ข้อมูลออกมา สุดท้ายเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับดั่งพายุใต้ฝุ่น!
“เฮ้! พวกเจ้าได้ยินรึยัง ว่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเติงตกตายแล้ว!!”
“อะไร!? เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดไฉนข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย! รองจ้าวตำหนักจ้าวเติงมิใช่มีบิดาเป็นอาวุโสผู้พิทักษ์หรือไร ไฉนยังถูกฆ่าได้…ข่าวมั่วรึเปล่า!?”
“ข่าวสมควรเป็นจริง! เพราะเห็นว่าไข่มุกวิญญาณแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว…”
“ใครกันที่หาญกล้าฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเติงเช่นนี้?”
…
ในขณะที่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับตื่นตระหนกกับข่าวความสูญเสีย จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ก็ได้รับรายงานเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ยังเรียกระดมพลอาวุโสระดับสูงทั้งหมดทันที
ในบรรดาอาวุโสระดับสูงเหล่านี้ ที่มีฐานะต้อยต่ำที่สุดก็คืออาวุโสของยอดเขาวังทั้ง 4 สูงขึ้นมาก็คือชนชั้นรองจ้าววัง ต่อมาเป็นชนชั้นรองจ้าวตำหนัก ถัดไปก็อาวุโสผู้พิทักษ์แล้ว…
เมื่ออาวุโสผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นมาถึง ก็เรียกว่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับมากันพร้อมหน้า ขาดก็แต่จ้าวจินคนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักจ้าวจินก็มาถึง
“ข้าเสียใจด้วยอาวุโสจ้าว”
เมิ่งฉิงระบายลมหายใจออกมาทันที เมื่อเห็นสภาพจ้าวจิน ยังเร่งกล่าวปลอบออกไป
“เสียใจด้วยอาวุโสจ้าว”
หลังจากเมิ่งฉิงกล่าวคำแสดงความเสียใจ อาวุโสคนอื่นๆไม่เว้นกู่ซืออวิ๋นก็เริ่มกล่าวออกไปเช่นกัน
แน่นอนว่าบางคนเพียงกล่าวไปอย่างนั้น ในใจลอบลิงโลดยินดีไม่น้อยที่จ้าวเติงตกตาย กระทั่งแววตายังเผยประกายลุกวาวชัดเจน
“ขอบคุณทุกท่าน…”
เสียงจ้าวจินนับว่าเย็นชานัก ให้บรรยากาศราวกับจะผลักไสผู้คนให้ห่างไกลออกไปสักพันลี้
“อาวุโสจ้าว ข้าเรียกทุกคนมารวมกันเพื่อหารือเรื่องการตายของรองจ้าวตำหนักจ้าว…ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามที่ฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าว ตำหนักฟ้าลี้ลับเราไม่มีวันปล่อยมันไปง่ายๆ!”
เมิ่งฉิงกล่าว
“เอาล่ะเป็นธรรมดาที่พวกเราจำต้องหาตัวฆาตกรผู้ลงมือสังหารรองจ้าวตำหนักจ้าวให้ได้เสียก่อน…มีผู้ใดมีเบาะแสอันใดหรือไม่?”
เมิ่งฉิงว่ายตามองไปยังทุกคนในโถงประชุม
“เรียนท่านจ้าวตำหนัก”
ทันทีที่เสียงถามเมิ่งฉิงดังจบคำ พลันมีอาวุโสคนหนึ่งของวังปฐพีประสานมือกล่าวออกทันที “ไม่กี่วันที่แล้วข้าอยู่เวรเฝ้าระวังพื้นที่พอดี จึงได้เห็นรองจ้าวตำหนักจ้าว เดินทางออกจากตำหนักและมุ่งหน้าลงใต้…จริงสิ ก่อนหน้าไม่กี่ลมหายใจบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์กู่ กู่ลี่ ก็ออกจากตำหนักและมุ่งหน้าลงใต้ด้วยเช่นกัน”
ตำหนักฟ้าลี้ลับนั้น วังทั้ง 4 อันได้แก่ วังนภา ปฐพี ลี้ลับ เหลือง จะตั้งแยกย้ายกันไปตามทิศทั้ง 4 เหนือ ใต้ ออก ตก
คิดมุ่งหน้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับทางทิศใต้ จำต้องผ่านวังปฐพีเสียก่อน
“มุ่งหน้าลงใต้งั้นหรือ?”
เมิ่งฉิงขมวดคิ้วถาม
ได้ยินคำรายงานของผู้อาวุโสวังปฐพี สีหน้าของกู่ซืออวิ๋นเปลี่ยนไปทันใด ใจยังสะท้านสะเทือนไปไม่น้อย ‘จ้าวเติงกลับออกเดินทางหลังลี่เอ๋อไม่นาน…ไม่พ้นมันต้องตามลี่เอ๋อไปเพราะคิดหาเบาะแสเสี่ยวเทียนแน่!’
ในฐานะที่เป็นถึงอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ กู่ซืออวิ๋น เรียกได้ว่าเป็นมือเก๋าคนหนึ่ง จึงไม่ยากที่จะคาดเดาเรื่องนี้ได้ออก…
กระทั่งพอคิดไปแล้วยังอดหลั่งเหงื่อเย็นแทนบุตรชายเสียไม่ได้
อย่างไรก็ตามพอตระหนักได้ว่าไข่มุกวิญญาณของจ้าวเติงแตกไปแล้ว แต่ของกู่ลี่ลูกชายมันยังอยู่ดี กู่ซืออวิ่นก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะพอจะคาดเดาได้แล้วว่าจ้าวเติงตกตายเพราะอะไร…8 ใน 10 ส่วนล้วนไม่พ้นตำหนักเมฆาคราม!!
แน่นอนว่าถึงแม้กู่ซืออวิ๋นจะพอคาดเดาสาเหตุการตายของจ้าวเติงได้ แต่มันก็ไม่คิดจะกล่าวออกมา
ถึงแม้มันกับจ้าวจินจะเป็นผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะมีมิตรไมตรีอันใดต่อกัน
กระทั่งก่อนหน้านี้ลูกชายของมันเองก็ถูกลอบสังหารหลายครั้ง! ซึ่งมันก็ตั้งเป้าสงสัยไปที่จ้าวจิน น่าเสียดายที่มันไม่อาจหาหลักฐานอะไรได้!!
จนกระทั่งบุตรชายมันกล่าวว่าไม่คิดจะอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับอีกต่อไป และคิดจะขึ้นไปแสวงหาความก้าวหน้าที่ภูมิภาคเบื้องบน การลอบสังหารใดๆจึงหยุดลง
เรียกว่าจังหวะนั้นมันแทบจะยืนยันได้ 10 ส่วนเต็มว่า จ้าวจินอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารลูกชายมันแน่นอน!
เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากมันไปรับรู้มาโดนบังเอิญว่าจ้าวจินคิดปูทางให้ลูกหลานสกุลจ้าวนั่งเก้าอีกจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เพราะเหตุนี้มันจึงคิดกำจัดทุกคนที่อาจเป็นขวากหนามและหินที่จะกีดขวางแผนการของมัน