War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1890
ตอนที่ 1,890 : ภูมิภาคตะวันตก…
“บัดซบ! สารเลวตัวใดที่มันมาปล้นสมุนไพรของข้าซุนยิงผู้นี้กันแน่!!”
หลังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ซุนยิง ก็ไม่อาจนึกออกได้จริงๆว่าใครกันแน่ที่เป็นคนปล้นสมุนไพรของมันไป เรื่องนี้ทำให้มันอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
สุดท้ายก็พิโรธหนักนัก!
เพราะความรู้สึกนี้เสมือนมันถูกตบหน้าท่ามกลางผู้คน หากแต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่ยื่นมือมาตบหน้ามัน!
ดังคำกล่าวที่ว่า น้ำท่วมปากยากจะพูด…
นับว่าราชาเม็ดยา ซุนยิง ถึงกับประสบกับอาการน้ำท่วมปากไม่อาจกล่าวอะไรกับใครได้แล้วจริงๆ
เพราะหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ไม่ทราบจะทำให้ผู้คนทั่วภูมิภาพเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ารู้สึกอย่างไร…
ส่วนอีกด้านนั้น ต้วนหลิงเทียนและพวกที่หลบหนีออกจากสวนสมุนไพร ย่อมไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเลย
ยังไม่ทราบด้วยว่าชายชราเจ้าของสวนสมุนไพร ที่คิดกักขังหน่วงเหนี่ยวพวกเขาไว้ 10 ปี ที่แท้กลับเป็นปรมาจารย์เซียนหลอมที่ลือชื่อในแดนดิน…!
เว้นเสียแต่ซุนยิงจะเลิกถือสาเรื่องมีภาระผูกพัน ไม่ว่ามันจะไปเยือนที่ใดใน 3 ลัทธิ เกรงว่าทั้ง 3 ลัทธิยินดีมอบตำแหน่งอันเป็นที่นับหน้าถือตาแก่มันแน่ และไม่พ้นต้องมีผู้ติดตามรับใช้มันนับพันหมื่นคน!
บางทีพลังฝีมือของมันอาจไม่นับว่าร้ายกาจมากมายอะไรในบรรดา 3 ลัทธิ แต่ความสำเร็จในเต๋าแห่งโอสถของมัน นับว่ายากจะหาใครเทียบได้จริงๆ!
ต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ และจูลู่ฉี ก็มุ่งหน้าบึ่งทิศตะวันตกตลอดทั้งเดือนไม่เคยหยุดพัก
ตลอดเดือนที่ผ่านมาพวกเขาก็พบกับปัญหาตามรายทาง ที่คอยขัดขวางการเดินทางไม่น้อย
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายอดฝีมือมีมากมายดั่งก้อนเมฆ บ้างก็มีตระกูลสำนักและต้นสังกัดสนับสนุนทรัพยากรบ่มเพาะ…แต่คนที่ไร้ขุมกำลังได้สนับสนุน และหันมาประกอบการค้าไร้ต้นทุนเองก็มีไม่น้อย…
เพื่อที่จะรวบรวมทรัพยากรบ่มเพาะทั้งหลายให้เพียงพอกับการึฝกปรือ ผู้ประกอบการค้าไร้ต้นทุนทั้งหลาย มักจะดักซุ่มตามเส้นทางดั่งเฝ้ารอกระต่ายออกจากโพรง! เมื่อพบกระต่ายน้อยที่ทะเล่อทะล่าออกมาอย่างไม่รู้ประสาพวกมันก็จะปล้นเสียให้สิ้น!
อย่างไรก็ตามครานี้นับว่าพวกประกอบการค้าไร้ต้นทุนถึงคราวซวยแล้วจริงๆ ที่มาปล้นชิงพวกต้วนหลิงเทียน เพราะด้วยพลังฝีมือของกลุ่มต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะรับมือพวกโจรเหล่านี้ไม่ได้!
มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่พบเจอกลุ่มโจรร้ายที่มีพลังฝีมือร้ายกาจ โดยมีโจรสองคนที่บรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง!
อีกทั้ง 1 ในโจรที่อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขั้นกลาง ยังก้าวเท้าเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญไปแล้วครึ่งก้าวเหมือนกับจูลู่ฉี ทำให้พลังรบของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าจูลู่ฉีเลย!
ทำให้ยามประมือกับโจรกลุ่มนี้ หน้าจูลู่ฉีถึงกับเปลี่ยนไปเป็นสีซีด เพราะมันพบว่าไม่อาจจัดการคู่มือได้เร็วไว! และยากจะไปช่วยเหลือพวกต้วนหลิงเทียนรับมือโจรปฐพีขั้นกลางอีกคนได้ในเวลาอันสั้น!!
จนกระทั่งมันได้เห็นว่า อยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนกลับแปลงกายเป็นนักรบมังกร และฆ่าโจรร้ายขอบเขตเซียนปบพีอีกคนไปได้ในไม่กี่กระบวนท่า!
สีหน้าที่มืดมนกังวลของจูลู่ฉีถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นกระจ่างสว่างใสปานตะวันขึ้นทันที!
นั่นเพราะการที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดพลังฆ่าฟันโจรขอบเขตเซีนปฐพีขั้นกลางอีกคนได้ในไม่กี่กระบวนท่า ทำให้หน้าของโจรที่พัวพันกับจูลู่ฉีถึงกับเปลี่ยนสี มันตื่นตระหนกและเสียสมาธิไม่น้อย!
และนั่นกล่าวได้ว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง!
ปะทะกันซึ่งๆหน้าตัวต่อตัว พลังฝีมือของมันก็ไม่ได้มีเปรียบจูลู่ฉีแต่แรก
กระทั่งหากการต่อสู้ดำเนินต่อไป มิแคล้วผลคงจบลงที่เสมอ!
ทว่าเพราะความตายของสหายที่อุบัติขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้มันวอกแวกเสียสมาธิทันที สุดท้ายห้วงเวลาพริบตานี้ก็ถูกจูลู่ฉีฉกฉวยไว้ได้สำเร็จ ใช้ออกด้วยกระบวนท่าสังหารอย่างงดงาม
ลมหายใจสุดท้ายของมันกลับถูกพรากไปอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้…
‘พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนที่แท้กลับร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยหรือ…’
และนับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา จูลู่ฉีก็ตระหนักได้ถึงความจริงอันน่าเหลือเชื่อประการหนึ่ง…
กลับกลายเป็นว่าในกลุ่มเล็กๆ 3 คนนี้ ที่แท้พลังฝีมือของมันหาได้สูงส่งที่สุดไม่…
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดกลับเป็นต้วนหลิงเทียนที่มีด่านพลังฝึกปรือเพียงแค่เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเท่านั้น!
ยังดีที่มันไม่ทราบว่าพลังฝึกปรือที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด และยังพึ่งอยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น!
‘ด้วยพลังฝึกปรือตอนนี้ ยามใช้พรสวรรค์มังกรแปลงและแปลงร่างกลายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ รวมถึงใช้เวทย์พลังอื่นๆร่วมด้วย เซียนปฐพีขั้นกลางไม่อาจทนรับข้าได้ถึง 3 กระบวนท่า…กระทั่งเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญก็ไม่แน่จะทำอะไรข้าได้ สมควรมีแต่เซียนปฐพีขั้นสูงสุดขึ้นไปถึงจะรับมือข้าได้!’
พอได้ใช้พลังลงมือสังหารผู้คนแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงสามารถทำความเข้าใจกับสภาพของตัวเองได้อย่างชัดเจน
หลังมุ่งหน้ามาตะวันตกได้เดือนกว่า ในที่สุดกลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็พบเจอเมืองๆหนึ่ง เมืองนี้แลดูเก่าแก่โบราณนัก หากแต่ผู้คนก็คึกครื้นแลดูมีชีวิตชีวาไม่คล้ายเมืองโดดเดี่ยวที่ตั้งไกลห่าง
เข้ามาในเมืองไม่นานต้วนหลิงเทียนกับพวกก็เลือกไปนั่งในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่าการดื่มกินเป็นเพียงกระทำไปตามพิธีการเท่านั้น
เมื่อบ่มเพาะฝึกฝนมาจนมีพลังฝึกปรืออย่างพวกต้วนหลิงเทียนแล้ว จะรับประทานหรือไม่รับประทานก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากมาย ต่อให้ไม่ได้ดื่มกินอะไรเลยก็อยู่ได้อย่างไม่รู้สึกอะไร มีเพียงรับประทานเนื้อสัตว์เซียนเลิศล้ำที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณเท่านั้นถึงจะส่งผลกระทบ
ที่ทั้ง 3 เลือกเข้ามากินดื่มในเหลาอาหาร เพียงเพื่อหาข้อมูลว่าตอนนี้เดินทางมาถึงไหนกันแล้ว
หลังจากตั้งหน้าตั้งตาเดินทางมาเดือนกว่าโดยไม่กล้าหยุด ทำให้ทั้ง 3 ไม่รู้อีกต่อไปว่าตอนนี้ที่แท้อยู่ส่วนไหนของโลกกันแน่…
“เฮ้ พวกเจ้าได้ยินรึยัง? เห็นว่าตราผนึกมารปรากฏขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!”
โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆโต๊ะของพวกต้วนหลิงเทียน อันมีชายวัยกลางคนแลดูกักขฬะ 4 คนนั่งอยู่ เป็น 1ในนั้นที่อยู่ดีๆก็เปิดประเด็นสนทนาขึ้นมา
“ตราผนึกมารงั้นหรือ…มิใช่มีข่าวว่ามันปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้วหรือไร เห็นว่ายังปรากฏขึ้นที่ภูมิภาคเบื้องล่างด้วย! เพื่อตราผนึกมารข้าได้ยินมาว่ายอดฝีมือมากมายถึงกับลงไปยังภูมิภาคเบื้องล่างอย่างตั้งใจ แต่สุดท้ายพวกมันก็ทำได้แค่คว้าน้ำเหลว มิได้อะไรกลับมา!”
อีกคนในโต๊ะกล่าว
“ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน เห็นว่าตราผนึกมารนั่นเป็นรุ่นเยาว์ในภูมิภาคเบื้องล่างคนหนึ่งได้ไป…”
ชายอีกคนในโต๊ะพูด
“ข่าวของพวกเจ้ามันล้าหลังไปแล้ว…เมื่อไม่นานมานี้ชายหนุ่มที่ได้รับตราผนึกมารในปีนั้น ในที่สุดก็ถูกเปิดเผยตัวตน! ที่แท้มันเป็นนายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่าง! ตำหนักเมฆาคราม!!”
สุดท้ายชายคนแรกจึงกล่าวออกมาหลังพบว่าสหายยังไม่ทราบเรื่องนี้กันสักคน
“ตำหนักเมฆาครามรึ? ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ร้ายกาจที่สุด 1 ใน 2 ขุมพลังของภูมิภาคเบื้องล่าง และเห็นว่าจ้าวตำหนักที่เรียกว่าต้วนหรูเฟิงก็มีพรสวรรค์ไม่น้อย! เหลือเชื่อจริงๆ ข้าไม่คิดเลยว่าที่แท้นายน้อยตำหนักเมฆาครามจะเป็นชายหนุ่มที่ได้ตราผนึกมารไปครองในปีนั้น!”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินเรื่องนี้
เขาไม่คิดเลยว่าในภูมิภาคเบื้องบนจะมีคนล่วงรู้ตัวตนของบิดาเขา
“ตำหนักเมฆาครามอาจเป็นขุมพลังที่ร้ายกาจที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่าง แต่หากขึ้นมาเบื้องบนก็ไม่นับเป็นอะไร! ในเมื่อตัวตนของชายหนุ่มที่ได้ตราผนึกมารไปครองเปิดเผยออกมาแบบนี้ ข้าคิดว่ามันคงเก็บไว้กับตัวได้อีกไม่นานแล้วล่ะ”
“เจ้ากล่าวถูกแล้ว…ตอนนี้ตราผนึกมารนั่นถูกอาวุโสเซี่ยจากลัทธิอารามทมิฬชิงไปแล้วจริงๆ!”
“เซี่ยจงน่ะหรือ! ฮัยยาช่างลงมือรวดเร็วยิ่งนัก! เช่นนั้นหมายความว่าตราผนึกมารตกอยู่ในความครอบครองของลัทธิอารามทมิฬแล้วสิ!”
……
ชายวัยกลางคนกล่าวถึงต้วนหลิงเทียนและตราผนึกมารออกมาแบบนี้…
พอมันเข้าหูต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้เขานึกย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักเมฆาครามทันที
ความโลภและความถือดีของอาวุโสลัทธิอารามทมิฬ เซี่ยจง เป็นเช่นไร…เขารู้ซึ้งดี!
จังหวะนี้สีหน้าต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบ กลายเป็นเศร้าทั้งคับแค้นขึ้นมาทันที
เห็นแบบนั้นกู่ลี่กับจูลู่ฉีก็ได้แต่หันหน้ามองตากัน แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ไม่คิดกล่าวอะไรออกมา
เพราะพวกมันรู้ดียิ่งกล่าวใดให้มากความตอนนี้ ก็รังแต่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนนึกย้อนทวนเรื่องราวเสียเปล่าๆ คงดีกว่าหากไม่พูดอะไร บางทีต้วนหลิงเทียนอาจฟื้นตัวได้เร็วกว่า
สุดท้ายเมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น ไม่นานสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆผ่อนคลายลง…
“ข้าได้ยินมาว่า ธิดาเทพ ที่หายตัวไปเมื่อหลายปีที่แล้วหลังได้รับการแต่งตั้ง ถูกคนของวิหารเทพพบตัวแล้ว”
เสียงเบาๆหนึ่งแว่วดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน และเสียงนี้ก็ดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนไปได้ทันที
เพราะเขารู้ว่าคนของวิหารเทพที่พบตัวธิดาเทพที่ว่า สมควรเป็นคนของลัทธิบูชาไฟแน่นอน!
ขุมพลังที่ถูกเรียกขานว่าวิหารเทพในภูมิภาคตะวันตกนี้มีเพียงขุมพลังเดียวเท่านั้น…ลัทธิบูชาไฟ!
ภูมิภาคตะวันตกยังเป็นดินแดนของลัทธิบูชาไฟ!
ในภูมิภาคตะวันตกกล่าวได้เลยว่า ลัทธิบูชาไฟเสมือนวิหารเทพที่ชี้ขาดความเป็นตายของทุกคนได้!
เช่นนั้นคนของลัทธิบูชาไฟ จึงถูกเรียกหาว่าคนของวิหารเทพ
และผู้คนในภูมิภาคตะวันตกก็จะเรียกหาลัทธิบูชาไฟว่า วิหารเทพ…
หลังจากที่ได้รู้ว่าตอนนี้ได้มาถึงถิ่นลัทธิบูชาไฟแล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึ้งไปพักหนึ่ง!
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าหลังจากขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนได้ไม่ทันไร ทิศทางที่เขาสุ่มมุ่งหน้ามาจะเป็นทิศทางที่ตั้งของลัทธิบูชาไฟเสียอย่างนั้น
‘ธิดาเทพที่หายตัวไปในปีนั้นหรือ?’
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นมาทันที แววตายังพร่ามัวไป ใจครุ่นคิดขึ้นมา ‘เค่อเอ๋อหรือ?’
ครั้นยังอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินบิดากล่าวว่าตำแหน่ง ‘ธิดาเทพ’ ที่จ้าวลัทธิบูชาไฟแต่งตั้งนั้น…สมควรเป็นตำแหน่งของเค่อเอ๋อ! ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางหายตัวมาปรากฏตัวอยู่ที่ทวีปเมฆาล่อง!!
ตั้งแต่วันที่เค่อเอ๋อหายตัวไป ลัทธิบูชาไฟก็ส่งคนออกมาค้นหาตัวนางตลอด แต่ก็หาไม่พบ
จนกระทั่งพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อสะกดรอบตามเขามาจนเจอนางที่เกาะป้านเยว่ สุดท้ายก็พาตัวนางกลับไป
“ใช่ เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตามเพราะนางถูกเลี้ยงดูจนเติบโตมานอกวิหารเทพนางจึงกระทำผิดศีลธรรม สุดท้ายกระทั่งให้กำนิดบุตรีออกมาคนหนึ่ง! ตอนนี้หอคุมกฏได้กักขังตัวนางไว้แล้ว รอให้จ้าวลัทธิออกจากการกักตัวฝึกตนค่อยตัดสินชะตาพวกนางแม่ลูก”
“เฮ่อ…เรื่องนี้ข้าไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี ทำผิดศีลธรรมหรือ? เท่าที่ข้ารู้ตอนที่ธิดาเทพหายตัวไปนางยังเป็นทารกแบเบาะด้วยซ้ำ ให้นางเฉลียวฉลาดมากปัญญาเพียงใด แต่ไหนเลยจะรู้ได้ว่าตัวเองคือธิดาเทพ? เช่นนี้นางผิดอันใดที่มีสามีและบุตร? มารดาของมันเถอะ! นางจะไปรู้หรือไม่ว่าตัวเองต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้ดั่งหยกบริสุทธิ์? เรื่องนี้ช่างเหลวไหลสิ้นดี!”
“ชู่ว! เจ้าบ้าเอ๊ย…เจ้าจะโมโหทำบัดซบอะไร! กล่าวเสียงดังเช่นนี้กลัวบิดาเจ้าไม่ได้ยินหรือ? เกิดคนหอคุมกฏของวิหารเทพผ่านมาได้ยินเดี๋ยวได้ตายห่ากันหมดหรอก!!”
“ฮึ่ม! ข้าก็แค่พูดความจริง!”
……
เสียงที่แว่วดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน นับว่าดังได้ประจวบเหมาะนัก พาลให้สีหน้าต้วนหลิงเทียนสลดลงไปอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมก็เศร้าเพราะการตายของคนตำหนักเมฆาครามและคับแค้นเรื่องเซี่ยจง พอมาได้ยินเรื่องเค่อเอ๋อแม่ลูกไปอีก ใจยิ่งเป็นกังวลแทบตาย!
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของเค่อเอ๋อแม่ลูกนั้นเอง
“เดือนหน้าใช่ครบกำหนดเวลาที่วิหารเทพจะรับสมัครศิษย์ล้ำเลิศทุกๆ 3 ปีแล้วหรือไม่…มิรู้ว่าคราวนี้วิหารเทพจักพบเจอศิษย์มากพรสวรรค์ที่เร้นกายฝึกปรืออย่างสันโดษอีกหรือไม่?”
พลันมีเสียงหนึ่งแว่วดังมาจากโต๊ะไกลๆ หากแต่เนื้อความในบทสนทนานี้กลับทำให้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปพักหนึ่ง ค่อยบังเกิดความคิดอะไรขึ้นมาในใจ
ลัทธิบูชาไฟ จะรับสมัครศิษย์หลังจากนี้อีก 1 เดือนงั้นเหรอ?
ยังเป็นการรับสมัครทุกๆ 3 ปี?
ทันใดนั้นลมหายใจของต้วนหลิงเทียนถึงกับถี่รัวขึ้นมาทันที ลูกตายังทอประกายวาวโรจน์ขึ้นมาปานหมาป่าพบเหยื่ออันโอชะ!
“พี่กู่!”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวเรียกกู่ลี่ทันที
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรออกมานั้น เป็นกู่ลี่กล่าวขัดคำขึ้นมาเสียก่อน “ข้าจะไปกับเจ้า”
“พวกเจ้าคุยอันใดกัน?”
ได้ยินต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่สนทนากันแบบนี้ จูลู่ฉีอดไม่ได้ที่จะงุนงง
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานจู่ลู่ฉีจึงได้รับรู้เรื่องราวจากกู่ลี่
ที่แท้ธิดาเทพที่เคยหายสาบสูญไปของลัทธิบูชาไฟ ก็คือคู่หมั้นของต้วนหลิงเทียน!
และลูกสาวของธิดาเทพก็คือลูกสาวของต้วนหลิงเทียน!
แม้มันจะตกใจแต่มันก็เข้าใจแล้วว่าที่แท้ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่คุยอะไรกัน
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนคิดอาศัยโอกาสที่ลัทธิบูชาไฟเปิดรับศิษย์ เพื่อเข้าสู่ลัทธิบูชาไฟ
กู่ลี่เองก็คิดไปด้วย
“ในเมื่อพวกเจ้าไป เช่นนั้นข้าก็ไปด้วย”
ผ่านไปพักหนึ่งจูลู่ฉีก็มองต้วนหลิงเทียนสลับกับกู่ลี่แล้วกล่าวออก
หากกล่าวว่าตอนแรกที่มันตัดสินใจมาภูมิภาคเบื้องบนพร้อมกู่ลี่กับต้วนหลิงเทียนเพื่อความปลอดภัยล่ะก็
หลังจากผ่านเหตุการณ์ปล้นสวนสมุนไพรมาแล้ว มันก็ถือว่าตัวเองเป็น 1 ในกลุ่ม 3 คนเล็กๆนี่แล้วเช่นกัน