War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 1959
ตอนที่ 1,959 : ตาต่อตาฟันต่อฟัน!
ครู่ต่อมา ภายใต้สายตาที่เฝ้ามองจ้องด้วยความสนใจของทุกคน อาวุโสเฉียนก็ถอนรั้งสำนึกเทวะกลับคืน
ทันใดนั้นเว่ยเหอก็มองไปยังอาวุโสเฉียนด้วยสายที่เผยประกายแห่งความหวังอันริบหรี่
“พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้น…เป็นรากวิญญาณสีน้ำเงิน…”
ขณะกล่าวคำสายตาของอาวุโสเฉียนก็ได้กวาดมองไปยังทุกคนด้วยสายตาปกติ หากแต่พอเบนมาตกที่เว่ยเหอ แววตาของอาวุโสเฉียนก็กลายเป็นคมกล้าขึ้นมาทันใด ยังกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวราวกับจะตะโกน “เว่ยเหอ!”
“ข้อหาดูหมิ่นอาวุโสคุมกฏประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างอาวุโสกัวฉงนั้น เทียบได้กับการทำลายเกียรติและความน่าเชื่อถือของหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ! ยามนี้ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กระจ่างแจ้งแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ติดตามข้าไปยังหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับอาญาโทษนี้เถอะ!”
“อะ..อาวุโสเฉียน…เป็นข้าจิตใจมิอยู่กับเนื้อกับตัวหลังรับทราบข่าวที่ศิษย์เพียงคนเดียวของข้าถูกฆ่าตาย! เป็นเพราะข้าใจสับสนจึงก่อการวุ่นวายอย่างไม่ยั้งคิด! ขอท่านอาวุโสเฉียนได้โปรดเมตตาข้าสักครั้ง! ขอท่านผู้อาวุโสเฉียนได้โปรดเมตตาข้าด้วย!!”
จังหวะนี้ไหนเลยเว่ยเหอจะมีกะจิตกะใจไปสนใจอะไรต้วนหลิงเทียนอีก มันได้แต่รีบร่ำร้องขอความเมตตาจากอาวุโสเฉียนทันที!
เพราะหากมันถูกพาตัวไปยังหอคุมกฏเพื่อรับโทษทัณฑ์ครั้งนี้ล่ะก็…ถึงแม้ไม่ตายแต่มันก็ต้องอาเจียนเป็นเลือดแล้ว!
“เหอะ!”
อย่างไรก็ตามอาวุโสเฉียนที่แลดูใจดีก่อนหน้า กลับไม่แม้แต่จะแยแสเว่ยเหอ เพียงสบถแค่นคำเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง มือขวาพลันสะบัดออกอย่างไร้เรื่องราวปานปัดป่ายตามอำเภอใจ แต่มิคาดกลับปรากฏพลังมหาศาลขุมหนึ่งอุบัติขึ้นจากความว่างผนึกร่างเว่ยเหอเอาไว้จนมิอาจขยับเขยื้อนได้แม้องคุลีเดียว!
หลังจากที่ใช้พลังสะกดร่างเว่ยเหอแล้ว อาวุโสเฉียนก็สะบัดมืออีกคราดึงร่างเว่ยเหอเข้ามากอบกุมเอาไว้ที่ลำคอ ประหนึ่งอินทรีย์จับลูกไก่!
“อาวุโสกัวฉง…ครานี้เว่ยเหอใส่ความทำให้ท่านมีมลทิน ทั้งตกเป็นที่ครหาของผู้อื่นแล้ว…อย่าได้ห่วงไปหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา จักต้องมอบคำอธิบายอันดีให้แก่ท่าน!”
อาวุโสเฉียนหันไปมองกล่าวกับอาวุโสกัวฉงด้วยทีท่าเห็นใจทั้งรับประกัน หลังจากกล่าวจบคนก็หอบหิ้วร่างเว่ยเหอที่ตอนนี้ถูกความสิ้นหวังกัดกินหมดใจหายวับไปต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ…
“ต้วนหลิงเทียน…ข้าเองก็คาดมิถึงจริงๆว่าที่แท้พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าจักเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงิน”
หลังจากอาวุโสเฉียนจับกุมตัวเว่ยเหอจากไป เมิ่งจินก็มองต้วนหลิงเทียนก่อนระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างทอดถอน ค่อยกล่าวว่า “ข้ายังสงสัยนักว่าไฉนอาวุโสคุมกฏกัวฉงถึงได้ตัดสินคดีของเจ้าเช่นนั้นเมื่อ 2 เดือนก่อน…ที่แท้เพราะพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินนี่เอง…นี่อยู่ในกฏที่ไม่ได้พูดไว้ของลัทธิบูชาไฟเรา”
“ขอบคุณอาวุโสเมิ่งจิน ที่ลำบากไปพาตัวข้ามาที่นี่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพร้อมป้องมือกล่าวกับเมิ่งจิน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบหน้าจางจี้เพราะความถือดีของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่กับอาวุโสเมิ่งจินคนนี้เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร
อย่างน้อยๆเมิ่งจินก็ไม่ใช่คนสายตาฝ้าฟางเข้าข้างผู้กระทำผิด!
เรื่องนี้เห็นจากลักษณะวาจาและทีท่าเปิดเผยจริงใจของเมิ่งจินขณะที่พาเขามาส่งที่นี่
“เอาล่ะ ข้ายังมีธุระที่ต้องรีบกลับไปจัดการ…อาวุโสกัวฉงข้าขอตัวลา”
ครู่ต่อมาเมิ่งจินก็เร่งเหินร่างจากไปอีกคน ในโถงกว้างใหญ่ของตำหนักโบราณหลังนี้จึงเหลือเพียงต้วนหลิงเทียนกับกัวฉงสองคน
อันที่จริงการที่อยู่ๆเมิ่งจินก็รีบร้อนจากไปเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะกัวฉงส่งเสียงไปกล่าวบอกมันว่ามีธุระจะคุยกับต้วนหลิงเทียนเป็นการส่วนตัว…
“ต้วนหลิงเทียน หลังจากนี้อีก 1 เดือนก็ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องรับโทษไปใช้แรงงานที่เหมืองลำดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟเรา…เจ้าใช่เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่?”
กัวฉงมองถามต้วนหลิงเทียน
“อาวุโสกัวฉง ข้าเตรียมตัวพร้อมมานานแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะพูดออกมาต่อ “กล่าวไปทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณอาวุโสกัวฉง หากไม่ได้ท่านป่านนี้ข้าคงตายกลายเป็นผีเพราะโทษประหารไปเรียบร้อย…”
“เจ้ามิจำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ข้ามิกล้ารับ…เจ้าเองก็รู้ดีมิใช่หรือไรว่าอาศัยพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินของเจ้า ลัทธิบูชาไฟย่อมมิมีทางมอบโทษตายให้เจ้าแน่! หากพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ามิใช่สีน้ำเงิน แต่เป็นสีเหลืองอย่างที่ลือกัน…ให้มีข้า 10 คนก็มิมีทางช่วยอะไรเจ้าได้!”
กัวฉงกล่าวต่อ “บางทีหากเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนั้นจริง สุดท้ายตอนนี้มิพ้นพวกเราก็ต้องมาลงเอยที่นี่ หากทว่าสถานการณ์ของพวกเรากับเว่ยเหอคงต้องสับเปลี่ยนกันแล้ว…”
“เว่ยเหอ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใด ลึกลงไปในแววตายังเผยประกายเย็นเยียบวูบหนึ่งสว่างขึ้น กล่าวถามกัวฉงออกมาว่า “อาวุโสกัวฉง การที่เว่ยเหอมันมาใส่ร้ายท่านเช่นนี้ ย่อมเสมือนลูบคมหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ…ไม่ทราบมันจะต้องโทษสถานใด ข้าเชื่อว่าคงมิใช่เล็กน้อยใช่หรือไม่?”
“ยังไม่ถึงขั้นฆ่าคน!”
กัวฉงคาดเดาเจตนาของต้วนหลิงเทียนได้ออกจึงกล่าวตอบออกไปพร้อมส่ายหัว ค่อยพูดต่อพร้อมสองตาทอประเย็นเยียบว่า “แต่ถึงมันจักไม่ตายทว่ามันจำต้องเจ็บปวดราวถูกถลกหนังหัว! ดูหมิ่นหอคุมกฏของดินแดนศักดิ์ศิษย์มิใช่โทษเพียงเล็กน้อย…กอปรกับอาวุโสเฉียนเพิ่งรับปากว่าหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมอบคำอธิบายอันดีให้กับข้า!!”
“เช่นนั้นข้ามั่นใจได้เลยว่า…โทษทัณฑ์ที่มันจักต้องได้รับ อย่างน้อยๆก็มิใช่อะไรที่มันจะอยู่ดีได้แน่!!”
กัวฉงกล่าวสืบต่อจนจบ แววตายังดุร้ายขึ้นหลายส่วน
“มันจะไม่ถูกประหารงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาด้วยทีท่าผิดหวังทันที
สิ่งที่เว่ยเหอกระทำวันนี้ เห็นชัดว่ามันคิดให้เขาตาย!
หากพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาไม่ใช่สีน้ำเงินแต่เป็นแค่สีเหลืองล่ะก็ ไม่พ้นเขาต้องได้ตายเพราะเว่ยเหอขุดคุ้ยเรื่องคดีความครั้งนี้แน่นอน!
สำหรับคนที่คิดฆ่าเขา ต้วนหลิงเทียนย่อมคิดจะ ‘ตาต่อตาฟันต่อฟัน’! เขาอยากให้มันตายเช่นกัน!!
เช่นนั้นพอได้ยินว่าท้ายที่สุดแล้วหอคุมกฏก็ไม่ได้คิดมอบโทษประหารให้เว่ยเหอ จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังเป็นธรรมชาติ
“อะไร? เจ้าอยากให้มันตายเช่นนั้นรึ?”
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปกปิดอารมณ์ความรู้สึกรอบนี้แม้แต่น้อย กัวฉงย่อมมองเห็นสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย พอสบโอกาสจึงกล่าวถามออกมาอย่างประจวบเหมาะ
“อาวุโสกัวฉง…ท่านเองก็ถูกมันใส่ความให้มีมลทิน หรือท่านไม่อยากให้มันตาย?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม
“สำหรับข้าครั้งนี้ถึงมันไม่ตายแต่มันก็ไม่วายโดนถลกหนังหัว…ความเจ็บปวดที่มันจักได้รับ ก็นับว่าพอบรรเทาโทสะในใจของข้าแล้ว! แต่แน่นอนว่าหากมันต้องโทษประหาร ในใจข้าย่อมรื่นเริงกว่านี้แน่!”
วาจาต้นประโยคที่กัวฉงกล่าวออกทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่พอได้ฟังวาจาท้ายประโยคของกัวฉง สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายเรืองวูบขึ้นมา เพราะเหมือนกัวฉงกับเขาจะเป็น ‘คนประเภทเดียวกัน’
“อย่างไรก็ตามหากเจ้าคิดให้มันต้องโทษประหารชีวิต เรื่องนี้มิได้ง่ายดายเลย…อันที่จริงหากมันมิใช่ตัวตนที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ล่ะก็ อาศัยทัณฑ์ทรมานที่มันจักได้รับก็เพียงพอให้มันตายตกแล้ว…น่าเสียดายที่อย่างไรมันก็เป็นอาวุโสเพลิงทองแดงคนหนึ่ง พลังฝึกปรือย่อมบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว…”
ขณะกล่าวประโยคนี้ออกมาน้ำเสียงของกัวฉงก็เผยความสะทกสะท้อนจนใจไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเสียดายที่ไม่อาจเห็นเว่ยเหอตกตายเช่นกัน
“อาวุโสกัวฉง!”
อย่างไรก็ตามตอนนี้เองอยู่ๆสองตาต้วนหลิงเทียนก็เรืองสว่างวาบขึ้น กล่าวถามออกมาว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด…เรื่องที่เว่ยเหอกล่าวหาท่านวันนี้ รวมถึงเรื่องที่มันไปพาอาวุโสของหอคุมกฏมาสืบความหมายพลิกคดี ยังไม่ได้แพร่งพรายออกไปใช่หรือไม่?”
“มิผิด”
กัวฉงได้ฟังก็พยักหน้ารับ “เป็นธรรมดาที่ทางหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จักมิแพร่งพรายเรื่องเน่าเฟะเช่นนี้ออกไป…หลังจากท้ายที่สุดแล้วกระทั่งหอคุมกฏเองก็มิอาจมั่นใจได้ว่า ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์จริงหรือไม่…หรือที่แท้ข้าเห็นแก่พวกพ้องจึงใช้อำนาจโดยมิชอบ! เพราะหากเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไปก่อนแต่ท้ายที่สุดผลออกมาว่าเป็นข้ากระทำผิดจริง หอคุมกฏมิพ้นต้องถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรม ไม่พ้นต้องกลายเป็นที่ครหาของผู้คน…เรื่องนี้ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของหอคุมกฏนัก!”
“เป็นอย่างที่ข้าคิดเอาไว้จริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ ก่อนที่แววตาจะทอประกายเยียบเย็นออกมา พร้อมกล่าวถามออกมาอีกครั้ง “อาวุโสกัวฉง…หากข่าวการดูหมิ่นและเคลือบแคลงในหอคุมกฏครั้งนี้แพร่กระจายออกไปเล่า? เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าทำลายความน่าเชื่อถือหรือดูหมิ่นอะไรในเกียรติของหอคุมกฏใช่หรือไม่ เพราะไม่ได้เป็นการดูหมิ่นหรือหยามเกียรติอะไรของหอคุมกฏ? และทางหอคุมกฏก็คงไม่คิดเฟ้นหาตัวผู้ปล่อยข่าวลือออกมาเพื่อลงโทษใช่ไหม? และสุดท้ายหอคุมกฏคงไม่พ้นต้องคิดเรื่องลงโทษเว่ยเหอกันใหม่อีกครั้ง?”
“เรื่องนี้…ตามทฤษฎีแล้วก็ถูกของเจ้า เพราะผู้กล่าวเพียงกล่าวถึงเรื่องที่ข้าถูกใส่ความ ทางหอคุมกฏย่อมไม่คิดลงโทษผู้ปล่อยข่าวลือ…และเมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายออกมา ทางหอคุมกฏมิพ้นต้องตกอยู่ภายใต้แรงทัดทานครั้งใหญ่…หากการลงทัณฑ์ของเว่ยเหอมิหนักพอ เช่นนั้นก็จักเป็นการลดทอนบารมีของหอคุมกฏลง จากนี้คงมิอาจสะกดข่มผู้คนให้รู้สึกเคารพยำเกรงได้อีกต่อไป…”
พอได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน และได้คิดตามกัวฉงก็คล้อยตามและกล่าวตอบออกมาอย่างไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดสองตากัวฉงก็เบิกโพลงทอประกายสว่างวาบขึ้น “เจ้าหมายความว่า…หากพวกเราแพร่ข่าวลือเรื่องราวในครั้งนี้ออกไป จักเป็นการบีบให้ทางหอคุมกฏพิพากษาโทษตายเว่ยเหอ เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เป็นการรักษาอำนาจบารมีของตัวหอคุมกฏเอาไว้ใช่หรือไม่!?
“ไม่ใช่ข้า…แต่เป็นท่าน!”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “จะอย่างไรข้าก็เป็นเพียงศิษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งของแท่นบูชาเต่าทมิฬ ข้าย่อมไม่กล้าเสี่ยงก่อการที่อาจเป็นการลูบคมอำนาจของหอคุมกฏอย่างการแพร่ข่าวลือออกไปได้…แต่ถ้าเป็นตัวท่าน อาวุโสกัวฉง ผู้ที่ตกเป็นจำเลยในเรื่องนี้ทั้งๆที่ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์เรื่องราวจะแตกต่างออกไป! เมื่อข่าวลือว่าท่านที่เป็นคนของหอคุมกฏถูกเคลือบแคลงสงสัยในความชอบธรรมแพร่กระจายออกไปล่ะก็ แม้สุดท้ายหอคุมกฏจะสืบรู้ว่าเป็นฝีมือท่าน แต่ก็ไม่มีทางตำหนิท่านแน่!”
“กระทั่งหากท่านกระทำเช่นนี้ ทางหอคุมกฏสมควรรับทราบถึงเจตนาของท่านชัดแจ้ง! ว่าเป็นท่านอยากให้เว่ยเหอมันตาย เช่นนั้นท่านจึงจงใจล้างแค้นมันด้วยวิธีนี้ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นมันที่ใส่ร้ายป้ายสีลบหลู่การทำงานของท่านเอง! กระทั่งทางหอคุมกฏยังจะได้รับความยำเกรงเพราะการตัดสินโทษอย่างเด็ดขาด ไม่มีอะไรจะเสียแม้แต่น้อย!!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจายืดยาวออกมารวดเดียวจบ ความที่คิดจะสื่อไม่มีตกหล่น
“ต้วนหลิงเทียนเจ้านับว่าดีดลูกคิดรางแก้วมาดีแล้วจริงๆ…”
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนทำให้กัวฉงอดมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งอย่างละเอียดเสียไม่ได้ “อย่างไรก็ตาม….เจ้าแน่ใจได้อย่างไรเล่า…ว่าข้าจักให้ความร่วมมือกับเจ้า บีบคั้นให้หอคุมกฏตัดสินโทษประหารให้เว่ยเหอ?”
“ข้าไม่แน่ใจ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ข้าเพียงบังอาจให้คำแนะนำต่ออาวุโสกัวฉงเท่านั้น…ส่วนเรื่องที่ท่านจะไปแพร่ข่าวลือเรื่องนี้หรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลยพินิจของอาวุโสกัวฉงเอง…หากท่านอยากให้มันตายมันก็ต้องตาย! แต่ถึงมันไม่ตาย ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับข้าแม้แต่น้อย…”
“ข้าต้วนหลิงเทียน กระทั่งอาจารย์ของมันอย่างหลี่อันข้ายังไม่กลัวที่จะต่อต้าน หรือข้ายังจะต้องกลัวมันด้วย?”
วาจาท้ายประโยคของต้วนหลิงเทียนเผยความดูแคลนหยันหยามออกมาชัดเจน
“ต้วนหลิงเทียน ข้าเคยคิดว่าการที่เจ้าต่อต้านทั้งงัดข้อกับหลี่อันเช่นนี้ นับเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย ข้ายังหลงคิดว่าเป็นเพราะเจ้าวู่วามมิอาจควบคุมอารมณ์ได้เสียอีก…แต่ตอนนี้เพราะอันใดมิทราบ แต่ข้ารู้สึกว่าเกมระหว่างเจ้ากับหลี่อันครั้งนี้ ผู้ที่จักหัวเราะเป็นคนสุดท้ายกลับเป็นเจ้าได้กัน?
กัวฉงมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งอย่างลึกซึ้ง แม้ตอนนี้ผิวเผินมันจะยังแลดูสงบไม่ออกอาการอะไร แต่ในความเป็นจริงใจมันอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปแต่แรก!
ต้วนหลิงเทียนกลับเสนอวิธีการดังกล่าว เพื่อเป็นการบีบคั้นให้หอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ประหารเว่ยเหอทางอ้อม นับเป็นการยืมมีดฆ่าคนอันร้ายกาจ! และสิ่งนี้ยังเผยให้รู้ว่าจิตใจของต้วนหลิงเทียนนั้นไม่เพียงไม่ยินยอมเสียเปรียบผู้ใด ยังระแวดระวังตัวเองเป็นที่สุด!!
กระทั่งมันกัวฉง ในเวลาอันสั้นยังไม่อาจคาดคิดได้ถึงขนาดนี้!
“อาวุโสกัวฉง ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว ข้ามันก็แค่ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬตัวเล็กๆคนหนึ่ง ไหนเลยจะไปมีเรี่ยวแรงอะไรงัดข้อกับอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 อย่างอาวุโสหลี่อันได้?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวคำอย่างสุภาพ หากแต่วาจานั้นไร้ซึ่งความจริงจังอันใด ไหนเลยกัวฉงจะมองไม่เห็นเรื่องนี้
แต่แน่นอนว่าแม้กัวฉงจะแลเห็นความไม่จริงจังของต้วนหลิงเทียนยามกล่าว แต่มันก็ไม่คิดจี้แขวะอะไร
หลังจากไตร่ตรองอีกครั้ง กัวฉงคล้ายนึกอะไรได้พลันยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นกันเอง “ต้วนหลิงเทียน อันที่จริงสองเดือนที่แล้วข้าคิดจะแนะนำเจ้ากับท่านจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ เพื่อให้ท่านจ้าวแท่นยอมรับเจ้าเป็นศิษย์…ถ้าจ้าวแท่นบูชารับเจ้าเป็นศิษย์และตราบใดที่ท่านจ้าวแท่นมอบเอกสารแนะนำตัวเจ้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็…เจ้าจักได้รับการยกเว้นโทษทัณฑ์ให้ไปใช้แรงงานขุดเหมืองตามธรรมขาติ”
“อนิจจาสองเดือนที่แล้วยามข้าไปเข้าพบจ้าวแท่น กลับพบว่าจนบัดนี้ท่านจ้าวแท่นยังมิออกจากการกักตัวฝึกตนเลย…”
กัวฉงกล่าวสืบต่อ “เช่นนั้นอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้หากท่านจ้าวแท่นยังมิออกจากการกักตัวฝึกตนแล้วจริงๆ ข้าก็ทำได้แค่ส่งเจ้าไปรับโทษใช้แรงงานขุดเหมืองตามหน้าที่…แต่ขอเจ้าอย่าได้กังวลใจไป ข้าจักแนะนำเจ้าให้อาวุโสแท่นบูชาเต่าทมิฬเราคนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลคนหนึ่งในเหมืองรู้จัก”
ได้ยินคำของกัวฉงลูกตาของต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันที
จ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ…กักตัวฝึกตนอยู่งั้นหรือ?
พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าหาจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ เพื่อรบกวนให้อีกฝ่ายสำแดงเวทย์พลัง ‘ปราการเต่าทมิฬ’ ให้เขาดูชมสักรอบไว้เป็นแนวทางทันที…