War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2037
ตอนที่ 2,037 : ก่านหรูเยี่ยน
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะยังไม่เคยพบเห็นลูกสาวของเขาสักครั้ง หากแต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ไหนเลยจะไม่รู้สึกห่วงกังวลในฐานะบิดา
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย เมื่อนึกถึงความทรมานที่ลูกสาวของเขาจะได้รับในเรือนจำ
‘พ่อมันไม่เอาไหน…ต้องโทษที่พ่อของเจ้าคนนี้มันไม่เอาไหน!’
จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น ที่กระทั่งลูกสาวคนเดียวยังไม่อาจทำให้นางได้มีชีวิตที่ดีได้ ต้องมาตกระกำลำบากอะไรแบบนี้ วันหน้าเขาจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในฐานะพ่อคนเพื่อชดเชยให้แก่นาง
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆดีขึ้น
“อาวุโสเมิ่งฉี ตลอดทางที่ท่านพาข้ามา ทำไมข้าไม่เห็นมีใครเฝ้าเลยเล่า…แบบนี้พวกท่านไม่กังวลว่าจะมีใครบุกเข้ามาปล้นชิงตัวนักโทษหรือ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายสว่างวาบ มองถามเมิ่งฉีทันที
ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาในเรือนจำ ระหว่างทางที่ผ่านมาเขายังไม่เห็นบุคคลที่ 3 แม้แต่คนเดียวนอกเหนือจากเขากับเมิ่งฉี
ไม่สิ!
ไม่ต้องกล่าวถึงคนเป็นด้วยซ้ำ กระทั่งคนตายยังไม่มีให้เห็น!
เขาอยากรู้นักว่าใช่มี ‘จุดบอด’ อะไรในเรือนจำแห่งนี้หรือไม่ เขาจะได้ช่วยเหลือเค่อเอ๋อกับลูกสาวให้ได้โดยเร็วที่สุด
เขาไม่อยากให้เค่อเอ๋อแม่ลูกต้องทนอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว
“ปล้นชิงตัวนักโทษ?”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน เมิ่งฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ต้วนหลิงเทียนเจ้าประเมินเรือนจำของหอคุมขังพวกเราต่ำเกินไปแล้ว…เรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษของลัทธิบูชาไฟเรา ตลอดประวัติศาสตร์ตั้งแต่ครั้งลัทธิบูชาไฟยังตั้งรกรากที่ภูมิภาคเบื้องล่างจนถึงวันนี้ มิเคยมีผู้ใดสามารถปล้นชิงตัวนักโทษได้สำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว!”
“ในเรือนจำแห่งนี้แม้เจ้าจะมองไม่เห็นอะไร แต่มีค่ายกลสังหารจัดตั้งไว้ทุกแห่งหน! หากผู้ที่บุกรุกเข้ามาพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ ย่อมตกตายทันที!”
“กระทั่งผู้ที่ยังอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 4เปลี่ยน แม้จะเอาชีวิตรอดมาจากค่ายกลสังหารได้ แต่ก็จำต้องบาดเจ็บสาหัส! กระทั่งสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนก็มิอาจรอดพ้นชะตากรรมถูกพลังของค่ายกลทำร้ายจนสิ้นท่า!!”
“และต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสววรรค์ 5เปลี่ยน ถึงพวกมันจะเอาตัวรอดจากค่ายกลสังหารไปได้ แต่พวกมันก็มิมีวันบุกเข้าไปในห้องขังและช่วงชิงตัวนักโทษออกไปได้เด็ดขาด”
เมิ่งฉีกล่าวออก และในวาจาเผยเรื่องหนึ่งให้รู้ชัด
ภายในเรือนจำแห่งนี้ มีค่ายกลสังหารติดตั้งไว้ทุกแห่งหน
หากพลั้งเผลอไปกระตุ้นการทำงานของค่ายกลเข้าล่ะก็ กระทั่งสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 4เปลี่ยนยังไม่รอดแน่!
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนอยู่ในใจ ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้เขาก็ขจัดความคิดบุกเข้ามาในเรือนจำแล้วชิงตัวเค่อเอ๋อแม่ลูกออกไปทันที
เพราะเขารู้ตัวเองดี
ตอนนี้ต่อให้เขาจะใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมด ในสภาวะที่พลังเซียนสุริยันถูกเร่งเร้าเพิ่มพูนขึ้นเต็มพิกัดจากผลของปฐมเวทย์กลืนกิน เต็มที่เขาก็ฆ่าได้แค่ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 3เปลี่ยนเท่านั้น
นั่นเพราะพลังทำลายของกระบี่นิลสวรรค์ที่เข้าจ่ายพลังทั้งหมดลงไปนั้น มันก็เทียบได้กับพลังโจมตีของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนเท่านั้น
ทำให้ถึงแม้เขาจะต้านทานพลังสังหารของค่ายกลระลอกแรกที่ซัดเข้ามาได้ แต่พลังสังหารระลอกที่สองของค่ายกลเขาคงได้ตายคาที่อย่างไร้ซึ่งหนทางต้านทานแน่นอน! ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่สมควรมีค่ายกลสังหารจัดตั้งไว้เป็นสิบๆ
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้พลังของตัวเองดี
‘พลัง! ตอนนี้ข้ายังอ่อนแอเกินไป! ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าตอนนี้ยังเชื่องช้าเกินไป!!’
ต้วนหลิงเทียนลอบร่ำร้องในใจ ‘หากข้าสามารถกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณคนอื่นจนยกระดับให้กลายเป็นรากวิญญาณสีครามกระทั่งสีม่วงได้ล่ะก็…ถึงตอนนั้นความเร็วในการบ่มเพาะของข้าต้องพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด! ต่อให้จะยังมีจุดรอคอยอะไร แต่ด่านพลังของข้าก็ยังสามารถทะลวงผ่านได้ในเวลาอันสั้น!!’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ประกายตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายออกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าดั่งเพลิงไฟ
‘ดูเหมือนว่าจะได้เวลาหาหนทางลักลอบออกจากลัทธิบูชาไฟ เพื่อไปดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของคนอื่นข้างนอกแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีแก่ใจ
ในลัทธิบูชาไฟแห่งนี้ ด้วยกฏเกณฑ์และข้อจำกัดอันมากมาย เขาไม่อาจดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของคนที่มีเรื่องกับเขาได้เลย
เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยินดีลงนามในสัญญาประลองเป็นตายเพื่อขึ้นไปเข่นฆ่ากับเขาบนสังเวียนเป็นตาย
ก็เหมือนกับ เวินเยี่ยน อันดับ 9 ของทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริงครั้งที่แล้ว
เวินเยี่ยนตอนนั้นเรียกว่าคิดแค้นเขาจนแทบอยากจะฉีกร่างเขาเป็นหมื่นๆชิ้น แต่นางก็ไม่กล้าขึ้นสังเวียนเป็นตายเพื่อเข่นฆ่ากันได้อย่างถูกกกฏของลัทธิบูชาไฟ
และนี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่แม้จะประลองเป็นตายกันบนสังเวียนเป็นตายแล้ว เขาก็ไม่อาจดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณได้อย่างเปิดเผย!
ผู้ที่ควบคุมดูแลวิหารเป็นตายอย่างเนี่ยสุ้ย อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ เป็นผู้ที่มีสายตาแหลมคมนัก ตอนนี้ให้เขากางกั้นเขตแดนหมื่นกระบี่ด้วยพลังทั้งหมด ก็ยังไม่อาจปิดกั้นสายตาของอีกฝ่ายได้
ถึงตอนนั้นเกิดอีกฝ่ายเห็นกระบวนการดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณขึ้นมาล่ะก็ คราวนี้ได้เกิดเรื่องใหญ่หลวงแน่!
ถึงแม้การที่เขาสามารถดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของคนอื่นได้ จะสืบเนื่องมาจากเวทย์พลังที่เขาเพาะสร้างต้นแบบได้สำเร็จ
แต่ผู้ใดจะรับประกันให้เขาได้บ้าง ว่าถ้าหากลัทธิบูชาไฟล่วงรู้ว่าปฐมเวทย์กลืนกินของเขามีพลังอำนาจฝืนลิขิตสวรรค์เช่นนี้ พวกมันจะไม่จับกุมตัวเขาและบีบคั้นให้เขาถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินออกมา?
ถึงแม้เวทย์พลังนั้น จำต้องบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ จึงจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้
ทว่าลัทธิบูชาไฟก็สามารถกักขังเขาไว้ และบีบบังคับให้เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อทำความเข้าใจปฐมเวทย์กลืนกินให้มีความสำเร็จถึงขั้นตอนไร้ตำหนิก่อนอยู่ดี
การจองจำยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อเก็บเขาไว้
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนย่อมไม่กล้าเสี่ยง
หากเขาถูกลัทธิบูชาไฟจับขัง ย่อมไม่ต่างอะไรจากหนูติดจั่น อย่าได้กล่าวถึงเรื่องช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกอะไรอีกเลย ลำพังเอาตัวเองให้รอดก็แทบไร้หนทางแล้ว!
“เจ้าอย่าได้มองว่าระหว่างทางที่พวกเราเดินมาไฉนไม่พบเจอค่ายกลสังหารอันใดเล่า…ทั้งหมดเป็นเพราะข้าคุ้นเคยกับค่ายกลสังหารเหล่านี้ดียิ่ง ทำให้ข้ารู้ว่าต้องเดินไปทางใดถึงจะไม่เจอค่ายกลสังหาร…เจ้าเองก็สมควรสังเกตได้สักพักแล้วว่าขาพาเจ้าเดินวกวนอ้อมไปอ้อมมา”
เมิงฉีกล่าวออก
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองย่อมสังเกตเห็นเรื่องนี้ตั้งแต่แรกก กระทั่งเขายังจดจำเส้นทางเดินทั้งหมดตั้งแต่ที่เมิงฉีเริ่มพาเขาเข้ามาในเรือนจำได้แล้วด้วยซ้ำ
“อย่างไรก็ตาม มีอีกเรื่องที่เจ้าต้องทราบ ว่าตำแหน่งของค่ายกลสังหารนี้จักสลับสับเปลี่ยนทุกครั้งที่เข้ามา…ครั้งหน้าที่เจ้ามาก็มิใช่ว่าตำแหน่งของค่ายกลสังหารจะเป็นเหมือนดั่งตอนนี้”
เมิ่งฉีกล่าวสืบต่อ
ได้ฟังคำกล่าวเสริมของเมิ่งฉีต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลอบยิ้งแห้งๆในใจ
เขาเองก็มีคาดเดาไว้แล้วว่าตำแหน่งของค่ายกลสังหารสมควรเปลี่ยนแปลงไปไม่คงที่ แต่เขาก็ยังเลือกจะลองจดจำเส้นทางดูเผื่อว่ามันอาจจะคงที่ แต่ตอนนี้เมิ่งฉีก็ได้กล่าวยืนยันออกมาแล้ว…
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าเส้นทางที่เขาจดจำมาไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป…เพราะเขาไม่รู้ว่าที่แท้มันมีกี่รูปแบบกันแน่ และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมาได้บ่อยๆ!
ดังนั้นเขาจึงหยุดจดจำให้รกสมองทันที
‘ดูเหมือนข้าต้องหาโอกาสออกจากลัทธิบูชาไฟเงียบๆโดยไม่ทำให้พวกมันรู้ตัว…หากข้ายังอยู่ในลัทธิบูชาไฟก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะยกกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง’
ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจได้ทันที
เขาต้องลักลอบออกจากลัทธิบูชาไฟ!
ออกไปข้างนอกเพื่อยกระดับพัฒนาพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา!
และพวกมันที่เขากล่าวในใจเมื่อครู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลี่อันที่จ้องจะหาโอกาสฆ่าเขาตลอดเวลา หยางชงอาวุโสของวังอุดรไพศาล ตอนนี้ยังมามีบิดาของต่งหลิน รองจ้าวหอคุมกฏไม่เว้นกระทั่งคนของเวินเยี่ยนอีก
หากเขาออกไปทั้งๆที่ถูกคนเหล่านี้จับตาดูอยู่ล่ะก็ เขาได้ตกตายอนาถแน่!
‘หลังจากทำงานที่หอคุมกฏครบกำหนด 1 เดือน ข้าต้องหาวิธีออกจากลัทธิบูชาไฟอย่างปลอดภัยให้จงได้!’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวอย่างมาดมั่น
หากเขาจะออกจากลัทธิบูชาไฟ เขาต้องจัดการเรื่องราวให้ดี ไม่อาจเหลือร่องรอยใดๆอันจะนำไปสู่ความผิดพลาดได้เด็ดขาด!
หากเขาตายเค่อเอ๋อแม่ลูกย่อมไร้ความหวังอยู่รอด!
เพราะเหตุนี้เขาไม่อาจตายได้!
“ข้างหน้าที่เจ้าเห็นเป็นห้องขังที่ขังก่านหรูเยี่ยนเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะเปิดประตูให้เจ้าเข้าไปหานางด้านในแต่เจ้าโปรดจำไว้ด้วยว่าเจ้ามีเวลาเพียงเค่อเดียวเท่านั้น”
ทันใดนั้นเสียงเมิ่งฉีพลันดังขึ้น ดึงสติต้วนหลิงเทียนให้กลับมาอยู่กับตัว
ทันใดนั้นใจต้วนหลิงเทียนก็กระวนกระวายคิดนู่นนี่นั่นไปไม่น้อย
เค่อเอ๋อแม่ลูกจะถูกขังไว้ด้วยกันกับก่านหรูเยี่ยนด้วยหรือไม่?
นี่คือเรื่องที่เขาอยากรู้เป็นที่สุด!
หากไม่ได้อยู่ด้วยกัน เช่นนั้นวันนี้ก็ได้แต่เจอก่านหรูเยี่ยนคนเดียว และไม่ได้เจอหน้าเค่อเอ๋อกับลูกสาวของเขา…
ไม่นานเมิ่งฉีก็พาต้วนหลิงเทียนมาถึงหน้าห้องขังก่านหรูเยี่ยน
“นี่คือห้องที่ก่านหรูเยี่ยนถูกขังอยู่…ตอนนี้ข้าจะเปิดให้เจ้าเข้าไป และอย่าได้ลืมเสียเล่าว่าเจ้ามีเวลาเพียงเค่อเดียวเท่านั้น”
เมิงฉีมองกล่าวย้ำกับต้วนหลิงเทียนอีกรอบ
“ข้าเข้าใจแล้วอาวุโสเมิ่งฉี”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนพลันเห็นว่า
มือของเมิ่งฉีเริ่มขยับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเผยท่วงท่าสัญลักษณ์ประหลาด…และในขณะที่มือเมิ่งฉีเผยท่าทางความว่างเปล่าเบื้องหน้าก็คล้ายถูกมันควบคุมด้วยกลวิธีอันพิสดาร
ทันใดนั้นเอง
ปงงง!!
เพียงเห็นเมิ่งฉีตบฟาดฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า และเป็นฝ่ามือเปล่าเปลือยไม่ได้ผนึกพลังอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น
ทว่าต้วนหลิงเทียนแลเห็นชัดเจน
เมื่อฝ่ามือของเมิ่งฉีตบฟาดออกไป ความว่างเปล่าเบื้องหน้าคล้ายบีบอัดตัวอย่างมีรูปแบบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปกระแทกประตูศิลาแผ่นหนาเบื้องหน้า
ทันใดนั้นเอง ม่านพลังไร้สภาพหน้าประตูศิลาก็สั่นกระเพื่อมดั่งระลอกน้ำ
สุดท้ายม่านพลังก็สั่นกระเพื่อมจนก่อเกิดคลื่นเล็กๆแยกย้ายออกไป 4 ทิศทาง กระทบกับขอบประตู ก่อนจะปรากฏแสงพลังจางๆเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง
‘ข่ายอาคมหรือ?’
ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้ทันทีว่าม่านพลังที่ฉาบคลุมประตูศิลาเอาไว้เกิดจากข่ายอาคมจำเพาะชนิดหนึ่ง
และการลงมือของเมิ่งฉีก็ทำให้ข่ายอาคมคลายตัว
หลังจากข่ายอาคมคลายตัวแล้ว เมิ่งฉีก็ผลักประตูศิลาเบื้องหน้าให้เปิดออกได้อย่างง่ายดาย ค่อยหันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “เข้าไปเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยก้าวเข้าไปในห้องขังทันที
ปึงงง!!
เมื่อต้วนหลิงเทียนก้าวเข้ามาในห้องขังแล้ว ไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรพลันมีเสียงดังสนั่นลั่นขึ้นด้านหลัง เป็นประตูศิลาที่ถูกเมิ่งฉีเลื่อนปิด!
‘ระวังตัวแจจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบส่ายหัวไปมาในใจ ก่อนที่จะเริ่มมองสำรวจห้องขังศิลาเบื้องหน้า
ห้องขังศิลาห้องนี้ไม่ได้กว้างขวางอะไรมากมาย ขนาดยังเล็กว่าห้องนอนในคฤหาสน์บนเกาะส่วนตัวของเขา 2 เท่า ด้านในแลดูเรียบง่ายไร้ของตกแต่งอะไร นอกจากโต๊ะหินกับเก้าอี้หิน 2 ตัวก็มีแค่เตียงศิลาเตียงหนึ่ง
และตอนนี้บนเตียงศิลาดังกล่าวก็มีสตรีนั่งขัดสมาธิอยู่
หลังจากที่เขาเข้ามา สองตาของสตรีบนเตียงศิลาก็เปิดออกเผยประกายคมกล้ามองจ้องมาที่เขาเขม็ง
‘เค่อเอ๋อ…’
แว่บแรกที่เห็นใบหน้าสตรีดังกล่าว ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านสั่นไหวไปทันที
ทว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็แปรเปลี่ยนไปแทบจะทันทีที่เห็นแววตาที่มองจ้องมาของอีกฝ่าย
นั่นเพราะเขารู้ได้ทันที
สตีรผู้นี้เพียงแค่หน้าตาเหมือนเค่อเอ๋อเท่านั้น แต่ไม่ใช่เค่อเอ๋อ…นางคือก่านหรูเยี่ยน!
และในห้องขังแห่งนี้ก็มีเพียงนางที่ถูกกักขังไว้คนเดียว!
“เจ้าเป็นผู้ใด แล้วมาที่นี่ทำอะไร?”
ในขณะที่สีหน้าต้วนหลิงเทียนแปรเปลี่ยนไปเป็นผิดหวัง ก่านหรูเยี่ยนก็ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงศิลา ก่อนที่จะมองถามเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว น้ำเสียงกล่าวถามยังหนักเสียจนแทบจะเป็นการสั่ง
“เจ้ายังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวออกไปเสียงเบา