War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2049
ตอนที่ 2,049 : ข้าเรียกว่า หลี่อัน!
“จ้าววังจู…ป่านนี้คงแจ้งบิดาข้าเรียบร้อยแล้วแท้ๆ แต่ไฉนใจข้าถึงสั่นแปลกๆ? สังหรณ์แบบนี้…คล้ายกำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น…”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสังหรณ์ใจแบบนี้
ในอดีตเขาเคยสังหรณ์ใจลักษณะนี้หลายครั้ง และทั้งหมดล้วนเกิดเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น! จัดเป็นสังหรณ์อัปมงคลโดยแท้!!
ต้วนหลิงเทียนไม่อาจคิดฝันได้เลย ว่าอดีตจ้าววังนภาจูลู่ฉีที่เขาฝากฝังให้ไปแจ้งข่าวแก่บิดาเขาที่ภูมิภาคเบื้องล่าง จะประสบคราวเคราะห์จนถูกส่งไปยังแดนเนรเทศ…
และเพราะจ้าววังจูไม่ได้ไปแจ้งข่าวให้แก่บิดาเขา นั่นหมายความว่าตำหนักเมฆาครามไม่ได้รับการแจ้งเตือนภัยที่กำลังจะมาถึงได้ทันท่วงที…
และตอนนี้หลี่อันก็ได้พาคนของหยางชงเหินร่างตัดฟ้าเจียนบรรลุถึงตำหนักเมฆาครามอยู่รอมร่อแล้ว!
ทว่าคนในตำหนักเมฆาครามกลับไม่อาจตระหนักถึงหายนะครั้งนี้ได้เลย!!
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ทางตอนเหนือของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เบื้องหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างในชุดคลุมลมดำหนึ่งยืนอยู่
บริเวณพื้นที่เท้าปรากฏร่างเล็กๆ 3 ร่าง ซึ่งแลแล้วอายุราวๆ 6-7 ขวบปีนอนหลับไหลเรียงรายอย่างไม่ได้สติ
เป็นเด็กหญิง 2 คนเด็กชาย 1 คน
เด็กหญิงตัวน้อยหนึ่งในนั้นอยู่ในชุดสีทองวับวาว ส่วนอีกหนึ่งอยู่ในชุดสีขาวปลอด ใบหน้าทั้งคู่แลดูสมบูรณ์จ้ำม่ำน่าหยิกนัก แก้มน้อยๆสีอมชมพูช่างน่ารักน่าชังชวนให้ผู้คนอยากหอมสักฟอด
สำหรับเด็กชายตัวน้อยมันใส่ชุดสีดำ
แต่หากเทียบกับชายในชุดคลุมลมดำแล้ว ชุดสีดำของเด็กชายตัวน้อยไม่ได้ปกปิดใบหน้าแต่อย่างไร ใบหน้าอ่อนวัยไร้เดียงสาเผยความน่าเอ็นดูออกมาให้เห็นชัด
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ เขาคงจดจำได้แทบจะทันที
เด็กหญิงตัวน้อยทั้ง 2 รวมถึงเด็กชายที่นอนหลับไหลไม่ได้สติอยู่นั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอดีตหนูสีทองตัวกลม กับเจ้าอสรพิษตัวน้อยสีขาวและสีดำ
เสี่ยวจิน เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวเฮย
“ไม่รู้ผู้เฒ่าพยากรณ์คิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ให้ข้าอาศัยจังหวะที่หานเฉวี่ยไน่ไม่ระวัง ลักพาตัวเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 นี่แล้วให้พาไปส่งที่ภูมิภาคเบื้องล่างแบบนี้…”
ทันใดนั้นเอง ร่างในชุดคลุมลมดำพลันกล่าวบ่นออกมาอย่างเบื่อหน่าย ฟังจากเสียงแล้วยากที่จะบอกได้นักว่าที่แท้มันเป็นชายหรือหญิงกันแน่
“หากให้สตรีดุร้ายนางนั้นล่วงรู้ ข้ามีหวังได้โชคร้ายไปอีกนานแน่ๆ…”
เสียงไม่ชายไม่หญิงบ่นออกอีกครั้ง คราวนี้ยังเผยความหวั่นหวาดเล็กน้อย
และคนในชุดคลุมลมดำนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือทายาทของ เงาทมิฬ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 4!
เยว่อู๋หยิ่ง!
เด็กน้อยทั้ง 3 ตอนแรกก็ติดตามหานเฉวี่ยไน่มายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนท่ด้วยกัน ทว่าตอนนี้ทั้งหมดถูกเยว่อู๋หยิ่งฟาดจนหลับไหลไม่ได้สติ…
และสาเหตุที่เยว่อู๋หยิ่งกระทำเช่นนี้ ล้วนเป็นคำสั่งของผู้เฒ่าพยากรณ์ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์!
อีกฝ่ายกำชับไว้ให้มันหาโอกาสที่หานเฉวี่ยไน่เผลอไผลไม่ระวัง ลักพาตัวเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 นี่ไปปล่อยในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้จงได้
จากคำกล่าวของชายชรา
มันได้เห็นความลับสวรรค์ประการหนึ่ง…และเจ้าตัวน้อยทั้ง 3 มีโอกาสได้พบพานมหาวาสนาครั้งใหญ่!
และด้วยกลัวว่าหานเฉวี่ยไน่จะเป็นห่วงเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 จนไม่อาจตัดใจปล่อยให้พวกมันเดินทางตามลำพัง ผู้เฒ่าพยากรณ์จึงสั่งให้เยว่อู๋หยิ่งลอบลงมือลักพาตัวทั้ง 3 แล้วไปปล่อยทิ้งไว้ที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…
ยิ่งไปกว่านั้น ยังสั่งห้ามไม่ให้ปล่อยเจ้าพวกตัวเล็กไว้ที่ คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน หรือตำหนักเมฆาครามอีกด้วย
และเมื่อวานนี้ในที่สุดเยว่อู๋หยิ่งก็สบโอกาสเหมาะ ตอนหานเฉวี่ยไน่ปิดด่านบ่มเพาะ ลักพาตัวเด็กน้อยทั้ง 3 มาได้สำเร็จ
“เฮ่ๆๆ…เจ้าทั้ง 3 อย่าได้โทษข้าเล่า…หากพวกเจ้าจะโทษใครก็ไปโทษตาแก่นั่นเถอะ! มันเป็นคนสั่งให้ข้าลักพาตัวพวกเจ้าไปปล่อยที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…หวังว่าพวกเจ้าจะดูแลตัวเองได้อย่างดี”
เยว่อู๋หยิ่งส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะใช้พลังหอบหิ้วร่างเล็กทั้ง 3 ขึ้นมา
และวินาทีต่อมามันก็เหินร่างเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคทันที
ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคเรืองแสงสว่างวาบหนึ่ง ก่อนที่ร่างในชุดคลุมลมดำและ 3 เด็กน้อยจะหายลับไป ประตูหยินหยาง
ราวๆ 2 เค่อต่อมา บริเวณภูมิภาคตะวันออก ของภูมิภาคเบื้องบน ก็ปรากฏร่างเยว่อู๋หยิ่งที่พึ่งย้อนกลับมาจากภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเพียงลำพัง เมื่อหันซ้ายหันขวาตรวจสอบทิศทางดีแล้ว มันก็เหินร่างมุ่งหน้ากลับทางเหนือทันที
ขาไป เยว่อู๋หยิ่งไปพร้อมเด็กน้อยทั้ง 3
ขากลับ มันกลับมาคนเดียว…
….
ณ ดินแดนเนรเทศ หรือที่รู้จักกันในนามดินแดนที่ถูกทอดทิ้งของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…
เผ่าพันธุ์ปีศาจวัวนั้น…ถือเป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่ในแดนเนรเทศ พวกมันมีสมาชิกในเผ่ามากมายนับไม่ถ้วน และยอดฝีมือระดับสูงๆของเผ่าพันธุ์ก็ได้พยายามทำลายม่านพลังที่ฉาบคลุมกำแพงมิติกั้นแดน เพื่อจะหาหนทางเข้าสู่แดนเซียนมาตลอดเวลา…
แดนเซียนที่พวกมันกล่าวถึงก็คือโลกอันมีดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างและทวีปมนุษย์ทั้ง 3 ดำรงอยู่
ณ เขตที่พักของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัว บริเวณใจกลางจัตุรัสอันกว้างขวางใหญ่โต
วันนี้จัตุรัสนับว่าเปี่ยมล้นไปด้วยผู้คนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายพันปี…
ไม่สิ!
สมควรกล่าวว่าเปี่ยมล้นไปด้วยเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวมากกว่า!
สมาชิกของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวนั้นมีลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์นัก นอกจากตัวเป็นคนหัวเป็นวัวแล้ว ไม่ว่าจะภูมิปัญญาหรือคำพูด ก็แทบไม่ต่างอะไรจากผู้คนในแดนเซียนแม้แต่น้อย
และตอนนี้สมาชิกเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวก็กำลังห้อมล้อมมุงดู ร่างมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกขึงตรึงไว้กลางจัตุรัส!
ไม่ผิด เป็นมนุษย์!
มนุษย์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในดินแดนเนรเทศตั้งแต่ครั้งอดีต!
“นี่น่ะหรือมนุษย์?”
“ไม่ผิดแน่…นับว่ามันคล้ายพวกเรายิ่ง มีสองมือสองเท้าเช่นเดียวกัน”
“เหอะ! เจ้าดูอย่างไรว่ามันคล้ายพวกเรา? ดูเถอะ ตัวมันเล็กจ้อยถึงเพียงนี้ หน้าตายังอัปลักษณ์นัก สีผิวก็ขาวซีดๆ…ข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าอ่อนแอยิ่ง ต้องพวกเราเถอะร่างกายแข็งแกร่งบึกบึน ทั้งมีผิวสีแทนเยี่ยงนักรบผู้กล้า!!”
“ใช่! ข้ามองมันปราดเดียวก็ทราบได้ทันทีว่ามันช่างอ่อนแอยิ่ง ราวกับลูกพลับนุ่มนิ่มที่พวกเราจะบีบให้แหลกเมื่อใดก็ได้! ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันจะถูกนักรบในเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวของเราจับกลับมาได้โดยง่าย!!”
“มนุษย์อ่อนแอเกินไป!”
…
สมาชิกของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวทั้งหมดในจัตุรัสส่วนใหญ่แล้วพึ่งจะเคยพบเห็นมนุษย์เป็นครั้งแรก พวกมันกล่าวสนทนากันอย่างออกรส ชี้มือชี้ไม้ไปทางมนุษย์ที่ถูกตรึงกางเขนไม่หยุด
หากเป็นก่อนหน้า จูลู่ฉี คงไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งมันจะถูกจับมาให้ปีศาจชมดูเหมือน สัตว์ ในนิทรรศการเช่นนี้
และเมื่อเห็นว่ารอบกายมีปีศาจหัววัวมากมาย หนังศีรษะก็อดไม่ได้ที่จะชาด้าน ใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนัก
นั่นเพราะมันล่วงรู้อัตลักษณ์ของปีศาจเหล่านี้แล้ว
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ดำรงอยู่ในแดนเนรเทศ เผ่าพันธุ์ปีศาจวัว!
ในบรรดาบันทึกเรื่องราวโบราณที่มันเคยได้อ่านผ่านตาจากหอตำราตอนอยู่ที่แท่นบูชาพยัคฆ์ขาว 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้น ในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็มีบันทึกเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวเอาไว้เช่นกัน
ปีศาจวัวนั้นเกิดมาเป็นนักรบโดยกำเนิด ไม่เพียงมีร่างกายอันทรงพลังกล้าแกร่ง และความทนทานสูงล้ำ พวกมันยังมีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดสูงนัก!
ในยุค ‘มนุษย์ปีศาจ’ ครั้งเกิดมหาสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจ ปีศาจวัวก็เป็นดั่งทัพหน้า! พวกมันบุกมาเข่นฆ่าล้างผลาญผู้ฝึกตนมนุษย์ไปมากมายนับไม่ถ้วน กล่าวได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ชาติก็ไม่ผิด!
จูลู่ฉีไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าวันหนึ่งมันจะได้มาพบเจอเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวในลักษณะนี้
กระทั่งยังต้องตกเป็นเชลยของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวเช่นนี้!
“หืม?”
ทันใดนั้นจูลู่ฉีพบว่า หลังมีเสียงหนึ่งคำรามออกมาอย่างดุร้าย เหล่าปีศาจวัวมากมายก็เริ่มเคลื่อนร่างหลีกออกเปิดเส้นทางสายหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นานจูลู่ฉีก็เห็นปีศาจวัว 2 ตัวที่จับมันมา
อย่างไรก็ตามตอนนี้ปีศาจวัวทั้ง 2 ตอนนี้เสมือนเด็กน้อยที่เดินนำทางให้ร่างปีศาจวัวตัวเขื่องที่แลแล้วประหนึ่งขุนเขาย่อมๆตนหนึ่งเข้ามา
ตึง! ตึง! ตึง!
…
ปีศาจวัวตัวนี้สูงใหญ่นัก! กะด้วยสายตาคร่าวๆแล้วสมควรสูงไม่ต่ำกว่า 7-8 หมี่! มันนับว่าสูงใหญ่กว่าปีศาจวัวในจัตุรัสแห่งนี้ 2-3 เท่า ทุกย่างก้าวของมันพาลให้ปฐพีสะเทือนเลือนลั่น!!
สองขาใหญ่โตปานเสาวังของมันย่ำอาดๆเข้ามาใกล้จูลี่ฉีมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมาร่างจูลู่ฉีก็ยิ่งสะเทือนสะท้านปานแผ่นดินไหว!
และเมื่อปีศาจวัวร่างใหญ่มาถึง ปีศาจวัวอื่นๆ ก็เงียบปากไม่กล่าวคำ ต่างมองมาที่ร่างใหญ่ด้วยสายตาเปี่ยมความเคารพ
“มันเป็นมนุษย์จริงๆ!”
ปีศาจวัวที่ตัวใหญ่ปานขุนเขาย่อมๆก้มมองพินิจจูลู่ฉีพักหนึ่งค่อยกล่าวออกมา เสียงกล่าวของมันยังดังสนั่นปานฟ้าร้อง สร้างความปวดร้าวให้แก้วหูจูลู่ฉีนัก
‘แข็งแกร่ง…’
ตอนนี้จูลู่ฉีสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างปีศาจวัวตัวเขื่องชัดเจนดี แรงกดดันนี้บีบคั้นมันจนแทบหายใจไม่ออกแล้ว!
และนี่ยังเป็นเพราะปีศาจวัวเบื้องหน้าไม่ได้จงใจแผ่แรงกดดันใส่มันด้วยซ้ำ!
เผยให้รู้ว่าปีศาจวัวตัวเขื่องเบื้องหน้าร้ายกาจถึงเพียงใด!
“ท่านอาวุโส 10 มันคือมนุษย์ที่พวกเราพบเจอด้านนอกและจับตัวมา”
ขณะเดียวกันปีศาจวัว 2 ที่ถอยร่นไปยืนเรียบๆร้อยๆด้านหลังปีศาจวัวตัวเขื่องก็กล่าวคำออกมาอย่างสุภาพ
‘อาวุโส 10’
ลูกตาจูลู่ฉีหดเล็กลงทันใด สีหน้ายังเผยความประหลาดใจออกมาอย่างยากจะปกปิด
เท่าที่มันรู้ ตัวตนที่ร้ายกาจที่สุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวก็คือ ราชาปีศาจวัว ที่เป็นผู้นำเผ่าพันธุ์
รองลงมาก็มีอาวุโสทั้ง 10 กุมอำนาจเอาไว้
ในครั้งนั้นที่เกิดมหาสงครามขึ้นที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่ทราบอาวุโสทั้ง 10 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวเข่นฆ่าผู้ฝึกตน และคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมายถึงเพียงใด
และแน่นอนว่าจูลู่ฉีรู้ดีว่า ตอนนี้อาวุโสทั้ง 10 รวมถึงราชาปีศาจวัวรุ่นก่อน หาได้ดำรงอยู่ในแดนเนรเทศอีกต่อไป ทั้งหมดสมควรทะลวงผ่านขอบเขตเซียนสวรรค์ บรรลุถึงขอบเขตเซียนอมตะและย่างเยื้องขึ้นสู่แดนสวรรค์ในระนาบเทวโลก
เผ่าพันธุ์ปีศาจวัวก็เหมือนกับผู้ฝึกตนมนุษย์ ยามเมื่อทะลวงผ่านขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน พวกมันก็จะขึ้นสู่แดนสวรรค์ในระนาบเทวโลกเช่นกัน เรื่องนี้ผู้คนมักกล่าวกันสั้นๆว่าขึ้นสวรรค์!
อีกทั้งด้วยความที่แดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอยู่ในระนาบโลกียะเดียวกัน เช่นนั้นต่างก็ขึ้นไปสู่แดนสวรรค์แดนเดียวกัน!
“ดี! พวกเจ้าทั้งคู่ทำได้ดีมาก เมื่อใดที่ท่านราชาออกจากการปิดด่าน พวกเจ้าทั้งคู่จะได้รับรางวัลอย่างงาม!”
ปีศาจวัวตัวเขื่องที่มีฐานะ อาวุโส 10 กล่าวออกมาด้วยเสียงดังปานฟ้าร้อง สองตายังมองสำรวจจูลู่ฉีด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จูลู่ฉีที่มีบทเรียนก่อนหน้าย่อมเตรียมตัวรับมือไว้แต่แรก มันได้ใช้พลังเซียนต้นกำเนิดปิดหูเอาไว้แล้ว จึงไม่ต้องเจ็บปวดจากเสียงดังของอีกฝ่ายอีกต่อไป
และในขณะเดียวกันกับที่ปีศาจวัวกำลังชมมองจูลู่ฉีด้วยความสนอกสนใจนั้น…
ณ ตำหนักเมฆาคราม ของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ปรากฏร่างแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งมาเยือน…
แขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มนี้ บุกรุกเข้ามายังตำหนักเมฆาครามโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น! เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬทั้งหลายที่พยายามหยุดขวางพวกมัน ล้วนถูกฆ่าตกตายโดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร…!
ไม่ว่าจะเป็นสือฟูฉางหรือไป่ฟูฉาง ไม่อาจมีใครต้านทานรับมือกลุ่มแขกไม่ได้รับเชิญที่มีชายชราคนหนึ่งเหินร่างนำหน้าได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว!
และคนที่ลงมือฆ่าคนทั้งหมดยังไม่ใช่ชายชราที่นำหน้ามาด้วยซ้ำ แต่เป็นผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง!
กระทั่งผู้ติดตามยังมีพลังฝีมือสูงล้ำถึงขั้นฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ น่ากลัวว่าพลังฝีมือของชายชราผู้นำต้องน่าสะพรึงกลัวสุดที่พวกมันจะจินตนาการได้ออก!!
“พวกเจ้าที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่!?”
ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่ไม่ทราบความเป็นมาแต่พลังฝีมือกล้าแข็งที่ขีดสุด เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬได้แต่หวาดกลัว ทั้งหมดไม่คิดปะทะให้เสียกำลังพลอย่างสูญเปล่าอีกต่อไป แต่เลือกจะผนึกกำลังถอยร่นเข้าไปตั้งแนวรับใกล้ตำหนักหลักของตำหนักเมฆาคราม
วูบ! วูบ! วูบ!
……
และตอนนี้เองชายชราอันเป็นผู้นำกลุ่มคนอันน่ากลัวก็หยุดร่างลง ผู้ติดตามเบื้องหลังก็หยุดลงอย่างพร้อมเพรียง
ชายชราผู้นำเหลือบมองมายังร่างองครักษ์เกราะทมิฬที่ถามไถ่ ค่อยกล่าวตอบออกมาเสียงเบาด้วยสายตาไม่แยแส
“ข้าเรียกว่า หลี่อัน!”